เลิกงานแล้วแต่หยุดคิดเรื่องงานไม่ได้เลย ทำยังไงดี กระทู้นี้ JobThai Tips เอาทริกที่จะช่วยให้หยุดคิดเรื่องงานมาฝากค่ะ
หาจุดมุ่งหมายที่ชอบทำหลังเลิกงาน
การเผลอคิดเรื่องงานบ่อย ๆ มันเป็นเพราะเราไม่มีจุดมุ่งหมายหลังเลิกงาน ไม่มีอะไรที่เรารอคอยเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เรื่องงานเลยย้อนกลับเข้ามาในความคิดเราอีกครั้ง ให้ลองหาสิ่งที่ชอบเพื่อให้หลุดโฟกัสจากงาน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือการนั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธิก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการพักสมองที่เจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารชื่อดังทำกัน ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง Apple, จอห์น แมคคีย์ ซีอีโอ Whole Foods Market หรือ อีแวน วิลเลียมส์ ผู้ก่อตั้ง Twitter
ระบายให้คนสนิทฟัง หรือลองปรึกษาจิตแพทย์
อย่าเก็บความเครียดเอาไว้คนเดียว แต่ลองแชร์มันกับคนอื่นดูบ้าง เพราะการพูดคุยระบายความเครียด การปรึกษาคนที่พร้อมรับฟัง ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ หรือมีทัศนคติที่ดี บางทีก็อาจจะช่วยให้เราหายเครียดเรื่องงานได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง เพื่อน หรือคนในครอบครัว แต่ถ้าไม่มีใครรับฟังจริง ๆ หรืออาการของเราค่อนข้างหนัก ลองปรึกษาจิตแพทย์ดู เพราะแน่นอนว่าจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเขาจะมีขั้นตอนการตรวจประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด และให้คำแนะนำเราอย่างตรงจุด ซึ่งปัจจุบันก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงโรงพยาบาล เพราะเขามีรับปรึกษาได้ทางออนไลน์แล้ว
ระบุเวลา Shut Down ตัวเอง แบ่งพื้นที่และเวลาการทำงานให้ชัดเจน
ลองระบุเวลา Shut Down ตัวเองจากเรื่องงาน อาจจะตั้งไว้ว่าต้องหยุดทำงาน หยุดคิดเรื่องงาน หรือปิดแจ้งเตือนแชทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานทั้งหมดในเวลาสองทุ่ม โดยห้ามยืดหยุ่นเด็ดขาด ในกรณี Work from Home ให้กำหนดพื้นที่การทำงานให้ชัดเจน เช่น เราจะทำงานและคิดเรื่องงานที่โต๊ะทำงานตัวนี้อย่างเดียว แต่พอลุกออกมาแล้วเราจะไม่มีงานอยู่ในสมองอีก สิ่งนี้จะทำให้ตัวเราและความคิดเราเชื่อว่าเวลาไหนคือทำงาน เวลาไหนคือพัก ไม่อย่างนั้นสมองก็จะพุ่งไปหางานอยู่ตลอด รวมถึงเสื้อผ้าก็อาจจะแบ่งให้ชัดเจนด้วยว่าตัวไหนสำหรับทำงาน แต่พอเปลี่ยนชุดแล้วเราก็ต้องหลุดออกมาจากงานให้ได้
รวมถึงลองเซตบรรยากาศรอบ ๆ ตัว เวลานั่งทำงานหรือคิดงานให้ลองใช้ไฟสีขาว เปิดเพลงสบาย ๆ หรือเพลงคลาสสิคคลอเบา ๆ แต่พอเลิกงาน ให้ลองปรับแสงเป็นสีส้ม หรือจุดเทียนสร้างบรรยากาศ เปิดเพลงโปรดที่เราชอบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้สมองและจิตใจเราแบ่งพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น เราอาจจะคิดว่าการทำแบบนี้ดูเหมือนหลอกตัวเอง แต่ความจริงแล้ว การทำซ้ำ ๆ มันจะกลายเป็นการจดจำพฤติกกรมแบบนี้ไปเอง แยกแยะไปเองว่าอันไหนคืองานอันไหนคือพัก
ปรับ Mindset ให้ได้ว่า “ทำได้เท่าไหร่เท่านั้น”
หลายคนเครียดกับงานจนเก็บไปคิด ส่วนใหญ่จะมาจากความรู้สึกกดดัน เพราะรู้สึกถูกคาดหวังจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัท จนกลายเป็นความเครียดสะสมไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัว ดังนั้นลองปรับ Mindset ตัวเองดูใหม่ ทำงานในเวลางานให้เต็มที่และเต็มประสิทธิภาพของเราที่สุด ถ้าสิ่งไหนที่มั่นใจว่าทำเต็มที่แล้ว แต่มันได้เท่านี้จริง ๆ จงยืดอกยอมรับ แล้วคิดว่า “ทำได้เท่าไหร่เท่านั้น เราทำสุดความสามารถแล้ว” อย่าไปเครียดจนเสียสุขภาพจิต จนพลอยทำงานอื่นเสียไปด้วย
การลาออกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถ้าทำทุกอย่างที่บอกไปทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้น หรืออาการหนักถึงขั้นเก็บเรื่องงานมาคิดจนนอนไม่หลับติดต่อกันยาวนาน ไมเกรนขึ้นบ่อย ๆ ผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน ท้องเสีย หรือเรียกง่าย ๆ คือคิดมากจนส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย การลาออกอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ลองออกมาพักผ่อนก่อนสักระยะ แล้วเปลี่ยนงานใหม่ แม้การเปลี่ยนงานใหม่อาจจะไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะดีขึ้นหรือร้ายกว่าที่เดิม แต่เราก็ต้องกล้าเผชิญและกล้าตัดสินใจ ในเมื่อการอยู่ที่เดิมจะทำให้เราแย่ลง การเดินไปข้างหน้าก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ในยุคที่การทำงานเต็มไปด้วยการแข่งขัน มันไม่ง่ายที่จะบอกให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องงานนอกเวลางาน เพราะถ้าเราหยุดคิด คู่แข่งอาจจะคิดไปได้ไกลกว่าเรา จนเราอาจจะตามพวกเขาไม่ทัน ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะคิดแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองด้วยว่า งานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวของชีวิตหรือเปล่า เรายังมีเพื่อน ครอบครัว หรือเป้าหมายในชีวิตอย่างอื่นอีกไหม ลองหาเวลาพักผ่อนให้เหมาะสม เพราะถ้าสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราไม่ดี งานที่ออกมาก็คงดีไม่ได้เช่นกัน
ทำยังไงถึงจะหยุดคิดเรื่องงานตลอดเวลาได้คะ
หาจุดมุ่งหมายที่ชอบทำหลังเลิกงาน
การเผลอคิดเรื่องงานบ่อย ๆ มันเป็นเพราะเราไม่มีจุดมุ่งหมายหลังเลิกงาน ไม่มีอะไรที่เรารอคอยเมื่อถึงเวลาเลิกงาน เรื่องงานเลยย้อนกลับเข้ามาในความคิดเราอีกครั้ง ให้ลองหาสิ่งที่ชอบเพื่อให้หลุดโฟกัสจากงาน เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ออกกำลังกาย หรือการนั่งสมาธิ ซึ่งการนั่งสมาธิก็เป็นอีกหนึ่งวิธีการพักสมองที่เจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหารชื่อดังทำกัน ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้ง Apple, จอห์น แมคคีย์ ซีอีโอ Whole Foods Market หรือ อีแวน วิลเลียมส์ ผู้ก่อตั้ง Twitter
ระบายให้คนสนิทฟัง หรือลองปรึกษาจิตแพทย์
อย่าเก็บความเครียดเอาไว้คนเดียว แต่ลองแชร์มันกับคนอื่นดูบ้าง เพราะการพูดคุยระบายความเครียด การปรึกษาคนที่พร้อมรับฟัง ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ หรือมีทัศนคติที่ดี บางทีก็อาจจะช่วยให้เราหายเครียดเรื่องงานได้ ซึ่งอาจจะเป็นเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า ลูกน้อง เพื่อน หรือคนในครอบครัว แต่ถ้าไม่มีใครรับฟังจริง ๆ หรืออาการของเราค่อนข้างหนัก ลองปรึกษาจิตแพทย์ดู เพราะแน่นอนว่าจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเขาจะมีขั้นตอนการตรวจประเมินสุขภาพจิตอย่างละเอียด และให้คำแนะนำเราอย่างตรงจุด ซึ่งปัจจุบันก็ไม่จำเป็นต้องไปถึงโรงพยาบาล เพราะเขามีรับปรึกษาได้ทางออนไลน์แล้ว
ระบุเวลา Shut Down ตัวเอง แบ่งพื้นที่และเวลาการทำงานให้ชัดเจน
ลองระบุเวลา Shut Down ตัวเองจากเรื่องงาน อาจจะตั้งไว้ว่าต้องหยุดทำงาน หยุดคิดเรื่องงาน หรือปิดแจ้งเตือนแชทต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานทั้งหมดในเวลาสองทุ่ม โดยห้ามยืดหยุ่นเด็ดขาด ในกรณี Work from Home ให้กำหนดพื้นที่การทำงานให้ชัดเจน เช่น เราจะทำงานและคิดเรื่องงานที่โต๊ะทำงานตัวนี้อย่างเดียว แต่พอลุกออกมาแล้วเราจะไม่มีงานอยู่ในสมองอีก สิ่งนี้จะทำให้ตัวเราและความคิดเราเชื่อว่าเวลาไหนคือทำงาน เวลาไหนคือพัก ไม่อย่างนั้นสมองก็จะพุ่งไปหางานอยู่ตลอด รวมถึงเสื้อผ้าก็อาจจะแบ่งให้ชัดเจนด้วยว่าตัวไหนสำหรับทำงาน แต่พอเปลี่ยนชุดแล้วเราก็ต้องหลุดออกมาจากงานให้ได้
รวมถึงลองเซตบรรยากาศรอบ ๆ ตัว เวลานั่งทำงานหรือคิดงานให้ลองใช้ไฟสีขาว เปิดเพลงสบาย ๆ หรือเพลงคลาสสิคคลอเบา ๆ แต่พอเลิกงาน ให้ลองปรับแสงเป็นสีส้ม หรือจุดเทียนสร้างบรรยากาศ เปิดเพลงโปรดที่เราชอบ สิ่งเหล่านี้จะทำให้สมองและจิตใจเราแบ่งพื้นที่ได้ชัดเจนขึ้น เราอาจจะคิดว่าการทำแบบนี้ดูเหมือนหลอกตัวเอง แต่ความจริงแล้ว การทำซ้ำ ๆ มันจะกลายเป็นการจดจำพฤติกกรมแบบนี้ไปเอง แยกแยะไปเองว่าอันไหนคืองานอันไหนคือพัก
ปรับ Mindset ให้ได้ว่า “ทำได้เท่าไหร่เท่านั้น”
หลายคนเครียดกับงานจนเก็บไปคิด ส่วนใหญ่จะมาจากความรู้สึกกดดัน เพราะรู้สึกถูกคาดหวังจากหัวหน้างาน เพื่อนร่วมงาน หรือบริษัท จนกลายเป็นความเครียดสะสมไปเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัว ดังนั้นลองปรับ Mindset ตัวเองดูใหม่ ทำงานในเวลางานให้เต็มที่และเต็มประสิทธิภาพของเราที่สุด ถ้าสิ่งไหนที่มั่นใจว่าทำเต็มที่แล้ว แต่มันได้เท่านี้จริง ๆ จงยืดอกยอมรับ แล้วคิดว่า “ทำได้เท่าไหร่เท่านั้น เราทำสุดความสามารถแล้ว” อย่าไปเครียดจนเสียสุขภาพจิต จนพลอยทำงานอื่นเสียไปด้วย
การลาออกอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
ถ้าทำทุกอย่างที่บอกไปทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่มีท่าทีจะดีขึ้น หรืออาการหนักถึงขั้นเก็บเรื่องงานมาคิดจนนอนไม่หลับติดต่อกันยาวนาน ไมเกรนขึ้นบ่อย ๆ ผื่นขึ้นตามตัว อาเจียน ท้องเสีย หรือเรียกง่าย ๆ คือคิดมากจนส่งผลถึงสุขภาพร่างกาย การลาออกอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด ลองออกมาพักผ่อนก่อนสักระยะ แล้วเปลี่ยนงานใหม่ แม้การเปลี่ยนงานใหม่อาจจะไม่มีใครรับประกันได้ว่ามันจะดีขึ้นหรือร้ายกว่าที่เดิม แต่เราก็ต้องกล้าเผชิญและกล้าตัดสินใจ ในเมื่อการอยู่ที่เดิมจะทำให้เราแย่ลง การเดินไปข้างหน้าก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
ในยุคที่การทำงานเต็มไปด้วยการแข่งขัน มันไม่ง่ายที่จะบอกให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องงานนอกเวลางาน เพราะถ้าเราหยุดคิด คู่แข่งอาจจะคิดไปได้ไกลกว่าเรา จนเราอาจจะตามพวกเขาไม่ทัน ซึ่งก็ไม่ผิดที่จะคิดแบบนั้น แต่ถึงอย่างนั้นก็อยากให้ทุกคนลองถามตัวเองด้วยว่า งานคือสิ่งที่สำคัญที่สุดเพียงอย่างเดียวของชีวิตหรือเปล่า เรายังมีเพื่อน ครอบครัว หรือเป้าหมายในชีวิตอย่างอื่นอีกไหม ลองหาเวลาพักผ่อนให้เหมาะสม เพราะถ้าสุขภาพกายและสุขภาพใจของเราไม่ดี งานที่ออกมาก็คงดีไม่ได้เช่นกัน