เอ็มพี มาร์คทู M&P M2.0 9มม. ใหม่จากสมิธขายดีอยู่สิบปี สมิธฯ ปรับแบบเอ็มพีเป็นรุ่นสอง เรียกว่า M2.0 ซึ่งชื่อนี้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าไว้แล้วยังรอผลอนุมัติจุดที่แตกต่างจากรุ่นแรกที่เห็นภายนอกคือ ผิว Armonite เงากว่า Melonite ของเดิมเล็กน้อย
บริษัทเก่าแก่อย่าง สมิธแอนด์เวสสัน ที่ก่อตั้งในปี 1832 อยู่มาได้ถึง 165 ปี เพราะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เป็นผู้บุกเบิกออกแบบปืนและกระสุนใหม่ ๆ เรื่อยมานับตั้งแต่กระสุนปลอกทองเหลือง, โครงปืนอัลลอยด์, เหล็กสเตนเลส เป็นต้น และแม้เมื่อไม่ได้เป็นผู้คิดค้นรายแรก ก็สามารถแก้ไขปรับแบบของคู่แข่งให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ปืนลูกโม่แบบเปิดโม่ออกข้าง โคลท์ทำได้ก่อนแต่เป็นสมิธ ที่พัฒนาจนกลายเป็นเบนช์มาร์ค (Benchmark) ให้อีกหลาย ๆ ยี่ห้อทำตาม
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ปืนพก “เก้าลูกดก” กำลังได้รับความนิยมสูงสุด มีตัวเอกคือ เบเร็ตต้า 92 กับ ซิก P226 ที่เป็นคู่ชิงในโครงการ XM9 ของกองทัพสหรัฐ เพื่อเป็นตัวแทนปืน 1911 มีบริษัทหน้าใหม่ในออสเตรีย คือ “กล็อก” ออกแบบปืนใหม่ ใช้วัสดุโพลิเมอร์เป็นโครงด้าม จุดชนวนด้วยระบบเข็มพุ่งแทนนกสับ และมีระบบความปลอดภัยสูงสุดโดยไม่ต้องพึ่งห้ามไกภายนอก ชนะประกวดได้สัญญาซื้อจากกองทัพออสเตรียในปี 1983 จากนั้นความนิยมพุ่งขึ้นสูงสุด เกิดกระแสคลั่งกล็อกไปทั่วโลก
สมิธ เป็นรายแรก ๆ ที่หันมาทำปืนโครงโพลิเมอร์ใช้เข็มพุ่ง คือ ซิกม่า ที่เหมือนกล็อกจนถูกฟ้อง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น SD (Self Defense) ขณะนี้ยังทำขายเป็นรุ่นประหยัด จากนั้นมี สมิธ SW99 ตามแบบวอลเธอร์ ที่เลิกผลิตในปี 2006 จนถึงกระบอกที่สาม ที่สมิธ ออกแบบเองใหม่หมด แต่เลือกใช้ชื่อปืนลูกโม่ยอดนิยมเดิม Military and Police นำตัวย่อเอ็มพี (M&P) มาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า เริ่มขายในปี 2005 รวบรวมจุดเด่นของปืนกล็อก เพิ่มความประณีตสวยงาม และวัสดุที่แตกต่าง เช่น โครงโพลิเมอร์แข็งกว่า และผิวปืน “เมโลไนท์” ที่ความแข็งระดับเดียวกับดอกสว่าน ปืนเอ็มพียุคใหม่ขายดีติดตลาด โรงงานเพิ่มแบบย่อยกว่า 20 แบบ ตั้งแต่ตัวเล็กแบนบาง คือ M&P Shield ไปจนถึงปืนแข่ง Pro Series และปืนแต่งพิเศษจาก Performance Centre
ขายดีอยู่สิบปี สมิธฯ ปรับแบบเอ็มพีเป็นรุ่นสอง เรียกว่า M2.0 ซึ่งชื่อนี้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าไว้แล้วยังรอผลอนุมัติจุดที่แตกต่างจากรุ่นแรกที่เห็นภายนอกคือ ผิว Armonite เงากว่า Melonite ของเดิมเล็กน้อย, ศูนย์หลังใช้แบบด้านหน้าเป็นสัน เกี่ยวเข็มขัดให้ขึ้นลำมือเดียวได้, ลายกันลื่นรอบด้าม, เพิ่มร่องกันลื่นที่ลำเลื่อนส่วนหน้า, ท้ายโครงตรงรับง่ามมือสั้นกว่า จับด้ามได้สูงกว่าเดิม และคันค้างลำเลื่อนที่รุ่นแรกมีปัญหาว่ากระแทกซองกระสุนเข้าที่แล้วจะหลุด เดินหน้าได้เป็นบางครั้ง ทำใหม่ให้จับมั่นคงกระแทกไม่หลุด, หลังด้ามที่ถอดเปลี่ยนได้ จากสามขนาดเพิ่มให้เป็นสี่
สำหรับภายใน โครงปืนเป็นแบบใหม่ มีโครงสเตนเลสยาวถึงส่วนรางปืนรับไฟฉาย และเพิ่มความยาวรางที่จับลำเลื่อน, ชุดลั่นไกใหม่ เปลี่ยนกลไกปลดล็อกเข็มแทงชนวน ช่วยให้ไกหลุดคม และคืนไกเพื่อยิงซ้ำสั้นกว่า น้ำหนักไกลดลงเล็กน้อย เหลือประมาณ 6 ปอนด์
โดยรวม สมิธ เอ็มพี 2.0 เป็นวิวัฒนาการของปืนระบบเข็มพุ่งที่ดีที่สุดกระบอกหนึ่ง จับจุดเด่นของปืนกล็อกยอดนิยม คือใช้งานง่าย ดูแลง่าย การทำงานเรียบร้อยไม่ติดขัด เสริมในจุดที่ถูกใจผู้ใช้ คือไกดีกว่า แต่งผิวสวยกว่า โครงโพลิเมอร์เสริมรางเหล็กตลอด ไม่บิดงอ ถอดทำความสะอาดได้ไม่ต้องเหนี่ยวไกยิงแห้ง มุมด้ามจับถนัดเหมือนปืน 1911 แนวลำกล้องต่ำคุมรีคอยล์ได้ดี รุ่นแรกของ เอ็มพี มีจุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย ได้รับการแก้ไขอย่างได้ผล เป็นปืนต่อสู้อเนกประสงค์ ใช้ได้ทั้งพกซองนอกหรือพกในชายเสื้อ.
https://www.dailynews.co.th/article/582752/
....................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 895 เอ็มพี มาร์คทู M&P M2.0 9 มม.
บริษัทเก่าแก่อย่าง สมิธแอนด์เวสสัน ที่ก่อตั้งในปี 1832 อยู่มาได้ถึง 165 ปี เพราะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เป็นผู้บุกเบิกออกแบบปืนและกระสุนใหม่ ๆ เรื่อยมานับตั้งแต่กระสุนปลอกทองเหลือง, โครงปืนอัลลอยด์, เหล็กสเตนเลส เป็นต้น และแม้เมื่อไม่ได้เป็นผู้คิดค้นรายแรก ก็สามารถแก้ไขปรับแบบของคู่แข่งให้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เช่น ปืนลูกโม่แบบเปิดโม่ออกข้าง โคลท์ทำได้ก่อนแต่เป็นสมิธ ที่พัฒนาจนกลายเป็นเบนช์มาร์ค (Benchmark) ให้อีกหลาย ๆ ยี่ห้อทำตาม
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ปืนพก “เก้าลูกดก” กำลังได้รับความนิยมสูงสุด มีตัวเอกคือ เบเร็ตต้า 92 กับ ซิก P226 ที่เป็นคู่ชิงในโครงการ XM9 ของกองทัพสหรัฐ เพื่อเป็นตัวแทนปืน 1911 มีบริษัทหน้าใหม่ในออสเตรีย คือ “กล็อก” ออกแบบปืนใหม่ ใช้วัสดุโพลิเมอร์เป็นโครงด้าม จุดชนวนด้วยระบบเข็มพุ่งแทนนกสับ และมีระบบความปลอดภัยสูงสุดโดยไม่ต้องพึ่งห้ามไกภายนอก ชนะประกวดได้สัญญาซื้อจากกองทัพออสเตรียในปี 1983 จากนั้นความนิยมพุ่งขึ้นสูงสุด เกิดกระแสคลั่งกล็อกไปทั่วโลก
สมิธ เป็นรายแรก ๆ ที่หันมาทำปืนโครงโพลิเมอร์ใช้เข็มพุ่ง คือ ซิกม่า ที่เหมือนกล็อกจนถูกฟ้อง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น SD (Self Defense) ขณะนี้ยังทำขายเป็นรุ่นประหยัด จากนั้นมี สมิธ SW99 ตามแบบวอลเธอร์ ที่เลิกผลิตในปี 2006 จนถึงกระบอกที่สาม ที่สมิธ ออกแบบเองใหม่หมด แต่เลือกใช้ชื่อปืนลูกโม่ยอดนิยมเดิม Military and Police นำตัวย่อเอ็มพี (M&P) มาจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้า เริ่มขายในปี 2005 รวบรวมจุดเด่นของปืนกล็อก เพิ่มความประณีตสวยงาม และวัสดุที่แตกต่าง เช่น โครงโพลิเมอร์แข็งกว่า และผิวปืน “เมโลไนท์” ที่ความแข็งระดับเดียวกับดอกสว่าน ปืนเอ็มพียุคใหม่ขายดีติดตลาด โรงงานเพิ่มแบบย่อยกว่า 20 แบบ ตั้งแต่ตัวเล็กแบนบาง คือ M&P Shield ไปจนถึงปืนแข่ง Pro Series และปืนแต่งพิเศษจาก Performance Centre
ขายดีอยู่สิบปี สมิธฯ ปรับแบบเอ็มพีเป็นรุ่นสอง เรียกว่า M2.0 ซึ่งชื่อนี้ยื่นขอจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าไว้แล้วยังรอผลอนุมัติจุดที่แตกต่างจากรุ่นแรกที่เห็นภายนอกคือ ผิว Armonite เงากว่า Melonite ของเดิมเล็กน้อย, ศูนย์หลังใช้แบบด้านหน้าเป็นสัน เกี่ยวเข็มขัดให้ขึ้นลำมือเดียวได้, ลายกันลื่นรอบด้าม, เพิ่มร่องกันลื่นที่ลำเลื่อนส่วนหน้า, ท้ายโครงตรงรับง่ามมือสั้นกว่า จับด้ามได้สูงกว่าเดิม และคันค้างลำเลื่อนที่รุ่นแรกมีปัญหาว่ากระแทกซองกระสุนเข้าที่แล้วจะหลุด เดินหน้าได้เป็นบางครั้ง ทำใหม่ให้จับมั่นคงกระแทกไม่หลุด, หลังด้ามที่ถอดเปลี่ยนได้ จากสามขนาดเพิ่มให้เป็นสี่
สำหรับภายใน โครงปืนเป็นแบบใหม่ มีโครงสเตนเลสยาวถึงส่วนรางปืนรับไฟฉาย และเพิ่มความยาวรางที่จับลำเลื่อน, ชุดลั่นไกใหม่ เปลี่ยนกลไกปลดล็อกเข็มแทงชนวน ช่วยให้ไกหลุดคม และคืนไกเพื่อยิงซ้ำสั้นกว่า น้ำหนักไกลดลงเล็กน้อย เหลือประมาณ 6 ปอนด์
โดยรวม สมิธ เอ็มพี 2.0 เป็นวิวัฒนาการของปืนระบบเข็มพุ่งที่ดีที่สุดกระบอกหนึ่ง จับจุดเด่นของปืนกล็อกยอดนิยม คือใช้งานง่าย ดูแลง่าย การทำงานเรียบร้อยไม่ติดขัด เสริมในจุดที่ถูกใจผู้ใช้ คือไกดีกว่า แต่งผิวสวยกว่า โครงโพลิเมอร์เสริมรางเหล็กตลอด ไม่บิดงอ ถอดทำความสะอาดได้ไม่ต้องเหนี่ยวไกยิงแห้ง มุมด้ามจับถนัดเหมือนปืน 1911 แนวลำกล้องต่ำคุมรีคอยล์ได้ดี รุ่นแรกของ เอ็มพี มีจุดบกพร่องเพียงเล็กน้อย ได้รับการแก้ไขอย่างได้ผล เป็นปืนต่อสู้อเนกประสงค์ ใช้ได้ทั้งพกซองนอกหรือพกในชายเสื้อ.
https://www.dailynews.co.th/article/582752/
....................................
ดร.ผณิศวร ชำนาญเวช