สวัสดีค่ะทุกท่าน รบกวนขอปรึกษาปัญหาชีวิตเกี่ยวกับ 'แม่และความรักของลูก' ค่ะ คือเรื่องมันมีอยู่ว่าตอนนี้เรากำลังคบกับผชคนนึงอยู่ค่ะ คบมาได้ 2ปีแล้ว เราอายุ 25 ส่วนแฟนเราอายุ 30 ค่ะ ความสัมพันธ์ของเรามันก็มีขึ้นๆลงๆตลอดเวลาค่ะ เนื่องจากเราสองคนพึ่งคบกันมา 2 ปี อายุก็ห่างกันเยอะอยู่ เลยต้องปรับตัวเข้าหากันค่อนข้างเยอะ ก็เลยตกลงกันว่า ค่อยๆศึกษา ค่อยๆเรียนรู้แล้วก็สร้างความสัมพันธ์ สร้างเรื่องราวของเราไปด้วยกันก่อน เมื่อพร้อมจะแต่งงานแล้วก็อยากแต่งค่อยมาคุยกันอีกที แต่ก็ชัดเจนในความสัมพันธ์กันนะคะ ไม่ได้มีฝ่ายไหนเหนื่อยคนเดียว
** ขอเกริ่นเรื่องราวของที่บ้านทั้งสองฝ่ายก่อนค่ะ คือครอบครัวเรา คุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นที่รู้จักในวงราชการของจังหวัดนั้นรวมถึงในหลายจังหวัดด้วย แต่ฐานะไม่ได้รวยนะคะ กลางค่อนไปทางจน เพราะได้เงินเดือนราชการปกติ ไม่มีใต้โต๊ะอะไร ซึ่งคุณพ่อเนี่ยเขาจะวางตัวดีมากในวงการ ว่าไม่โกงกินอะไร แล้วก็ไม่ได้ขัดขาใคร พอเป็นที่รู้จัก เราเองเป็นลูกเลยต้องพลอยวางตัวดีไปด้วย กลัวว่าถ้าไปทำอะไรเสียหายข้างนอก แล้วมีคนรู้จักมาเห็น พ่อแม่จะเสียหายค่ะ บวกกับที่บ้านจะเคร่งเรื่องมารยาทและการวางตัวมาแต่เด็ก คือต้องอยู่ในกรอบผู้ใหญ่ตลอดเลยก็ว่าได้
ส่วนบ้านแฟน แม่เขาก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เคร่งเรื่องการวางตัวและค่านิยมโบราณเหมือนกัน เราทั้งสองคนเลยทำอะไรก็ต้องรักษาหน้าพ่อแม่ไว้ค่ะ
** พอตอนนี้เราเรียนจบ ทำงานหาเลี้ยงตัวเองแล้ว ก็อยากได้อิสระในการใช้ชีวิต ในการเลือกแฟน การวางแผนอนาคตเองบ้าง เราเลยพาแฟนไปให้ที่บ้านรู้จัก เราทำตัวเหมือนคนเป็นแฟนกันทุกอย่าง แต่เราไม่มีเรื่องอย่างว่ากันค่ะ แล้วก็ไม่เดินจับมือกันในที่สาธารณะ ไม่กอดจูบหรือหอมกัน ถ้าไปเที่ยวตจว.กันสองคนก็อาจจะมีจับมือบ้าง โอบบ้างค่ะ เราคบกันแบบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่รับรู้และอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็อยากพัฒนาความสัมพันธ์กันไปด้วย
*** ทีนี้เรื่องมีอยู่ว่า พอเราอายุขนาดนี้ แน่นอนคนรอบตัวก็ต้องอยู่ในวัยที่มีครอบครัวได้แล้วเหมือนกัน เราวางแผนกันว่าอยากซื้อบ้านปีหน้า ค่อยเก็บเงินแต่งงาน และมีลูกเมื่อพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วุฒิภาวะและการเงิน แต่คุณแม่เขาเห็นลูกเพื่อน และลูกพี่ลูกน้องเราแต่งงานมีครอบครัวไปหลายคนแล้ว เขาเลยไม่อยากน้อยหน้าใคร (คุณแม่จะเป็นคนมีค่านิยมเหมือนละครค่ะ555 คืออยากให้ลูกได้คนหล่อ รวย มีชาติตระกูล ชอบเข้าสังคม เห็นคนมีอื่นมีอะไรก็ไม่อยากน้อยหน้า แล้วก็มีนิสัยแบบป้าข้างบ้านด้วย ซึ่งเราก็ไม่โอเคหรอกค่ะ เตือนเขาบ่อยๆ แต่เขาเป็นแม่ก็ทำอะไรไม่ได้เนอะ) ช่วงที่เรากลับมาบ้านหลายวันแล้วต้องกักตัว เราก็ไปขออนุญาตกักตัวอยู่ที่บ้านสวนกับแฟน (เป็นบ้านสวนแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวค่ะ เลยต้องขออนุญาตเพราะต้องนอนห้องเดียวกัน แยกนอนคนละมุมห้องค่ะ) พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แม่ก็บ่นอยู่ว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง มาอยู่คนกันสองคน เขาจะเอาไปพูดต่อเสียหายอายมาถึงพ่อแม่ได้ (ซึ่งแถวนั้นก็ไม่มีบ้านคนอาศัยเลยค่ะ บ้านที่มีก็ไมม่ได้อยู่ตลอด แล้วก็ไม่ได้รู้จักกันขนาดจะต้องมีเรื่องนินทากันด้วย เราก็งงว่าใครจะมาสนใจ) พ่อเราก็แก้ต่างให้ไปเรียบร้อย
สรุปทีนี้เรามาทราบทีหลังว่าแม่เราเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อให้เพื่อนแม่และญาติๆฟัง ไปเล่าละเอียดยิบว่า คนนี้เป็นแฟนลูก เป็นว่าที่ลูกเขย ต้องให้มานอนห้องเดียวกัน กลัวจะไม่เหมาะสมหรอกแต่ไม่มีทางเลือก เล่าไปถึงพื้นเพของแฟนเรา เล่าเรื่องส่วนตัวของเรา เล่าเรื่องแพลนอนาคตที่เรากับแฟนคุยกันแล้วแม่แอบได้ยิน มีเสริมเติมแต่งด้วยว่าก็คงจะให้ตบแต่งกันเร็วๆนี้ ให้มันถูกต้อง เดี๋ยวจะเสียหาย จนพอเราไปเจอใครๆ เขาก็มาถามเรื่องส่วนตัวของเรา ถามว่าจะแต่งเมื่อไหร่ เร่งรัดให้รีบแต่ง จนเราอึดอัดมากไม่อยากออกไปเจอใคร เราอยากมีชีวิตที่ไพรเวทกว่านี้ แล้วเราก็คิดว่าเราวางตัวดีมาตลอด สุดท้ายมาเป็นขี้ปากคนเพราะแม่ตัวเอง มันไม่โอเคมากๆเลย
ตอนนี้เราไม่เล่าอะไรให้แม่ฟังเลย แล้วก็ไม่ค่อยพาแฟนมากบ้านด้วย กลายเป็นเราสองคนต้องอยู่ห่างกัน นานๆทีเจอกัน ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ให้กันเท่าไหร่ เราสองคนยังรักกันดี แต่แค่เสียดายเวลาที่มันผ่านไป แทนที่จะได้อยู่ด้วยกันบ้าง สร้างความทรงจำร่วมกันบ้าง เราเองไม่ได้แคร์คำพูดใครมาก แต่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ พ่อเราก็ไม่โอเคนะคะ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าแม่เราทำแบบนี้เหมือนกัน ทุกคนมารู้อีกทีก็คือทำไปแล้ว แล้วแม่ก็มาเร่งรัดให้แต่งเร็วๆ เร่งให้เราต้องมีทุกๆอย่างในตอนนี้ จนเราใช้ชีวิตแบบกดดันมากๆค่ะ
แฟนเราเขาบอกว่า ปีหน้าจะซื้อบ้านให้ จะได้ออกมาอยู่เองไม่ต้องอึดอัดหรือทนฟังคำพูดแม่ ก็กลายเป็นว่าจากที่เราอยากค่อยๆศึกษาดูใจกันไป เราต้องมาเร่งรีบแต่งงานกันเพราะจะได้ออกมาจากบ้านหลังนี้ จะได้มีชีวิตส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก้ไม่ต้องรั่วไหลไปถึงคนภายนอกมากกว่านี้
**** อยากให้ทุกคนช่วยแนะนำหน่อยค่ะว่ามีทางไหนได้บ้างให้เราตัดสินใจ หรือใช้ชีวิตได้แบบสบายใจกว่านี้ เราเครียดมาก ไม่อยากรีบแต่งงานแล้วเกิดไปไม่รอดเข้ากันไม่ได้ก็ต้องมาเลิกทีหลังค่ะ *** ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ
ขอปรึกษาปัญหาค่ะ เมื่อแม่เอาเรื่องส่วนตัวของลูกไปเล่าให้คนอื่นฟัง
** ขอเกริ่นเรื่องราวของที่บ้านทั้งสองฝ่ายก่อนค่ะ คือครอบครัวเรา คุณพ่อคุณแม่เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นที่รู้จักในวงราชการของจังหวัดนั้นรวมถึงในหลายจังหวัดด้วย แต่ฐานะไม่ได้รวยนะคะ กลางค่อนไปทางจน เพราะได้เงินเดือนราชการปกติ ไม่มีใต้โต๊ะอะไร ซึ่งคุณพ่อเนี่ยเขาจะวางตัวดีมากในวงการ ว่าไม่โกงกินอะไร แล้วก็ไม่ได้ขัดขาใคร พอเป็นที่รู้จัก เราเองเป็นลูกเลยต้องพลอยวางตัวดีไปด้วย กลัวว่าถ้าไปทำอะไรเสียหายข้างนอก แล้วมีคนรู้จักมาเห็น พ่อแม่จะเสียหายค่ะ บวกกับที่บ้านจะเคร่งเรื่องมารยาทและการวางตัวมาแต่เด็ก คือต้องอยู่ในกรอบผู้ใหญ่ตลอดเลยก็ว่าได้
ส่วนบ้านแฟน แม่เขาก็เป็นนักการเมืองท้องถิ่น เคร่งเรื่องการวางตัวและค่านิยมโบราณเหมือนกัน เราทั้งสองคนเลยทำอะไรก็ต้องรักษาหน้าพ่อแม่ไว้ค่ะ
** พอตอนนี้เราเรียนจบ ทำงานหาเลี้ยงตัวเองแล้ว ก็อยากได้อิสระในการใช้ชีวิต ในการเลือกแฟน การวางแผนอนาคตเองบ้าง เราเลยพาแฟนไปให้ที่บ้านรู้จัก เราทำตัวเหมือนคนเป็นแฟนกันทุกอย่าง แต่เราไม่มีเรื่องอย่างว่ากันค่ะ แล้วก็ไม่เดินจับมือกันในที่สาธารณะ ไม่กอดจูบหรือหอมกัน ถ้าไปเที่ยวตจว.กันสองคนก็อาจจะมีจับมือบ้าง โอบบ้างค่ะ เราคบกันแบบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด แต่ก็อยากให้ผู้ใหญ่รับรู้และอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ ในขณะเดียวกันก็อยากพัฒนาความสัมพันธ์กันไปด้วย
*** ทีนี้เรื่องมีอยู่ว่า พอเราอายุขนาดนี้ แน่นอนคนรอบตัวก็ต้องอยู่ในวัยที่มีครอบครัวได้แล้วเหมือนกัน เราวางแผนกันว่าอยากซื้อบ้านปีหน้า ค่อยเก็บเงินแต่งงาน และมีลูกเมื่อพร้อมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ วุฒิภาวะและการเงิน แต่คุณแม่เขาเห็นลูกเพื่อน และลูกพี่ลูกน้องเราแต่งงานมีครอบครัวไปหลายคนแล้ว เขาเลยไม่อยากน้อยหน้าใคร (คุณแม่จะเป็นคนมีค่านิยมเหมือนละครค่ะ555 คืออยากให้ลูกได้คนหล่อ รวย มีชาติตระกูล ชอบเข้าสังคม เห็นคนมีอื่นมีอะไรก็ไม่อยากน้อยหน้า แล้วก็มีนิสัยแบบป้าข้างบ้านด้วย ซึ่งเราก็ไม่โอเคหรอกค่ะ เตือนเขาบ่อยๆ แต่เขาเป็นแม่ก็ทำอะไรไม่ได้เนอะ) ช่วงที่เรากลับมาบ้านหลายวันแล้วต้องกักตัว เราก็ไปขออนุญาตกักตัวอยู่ที่บ้านสวนกับแฟน (เป็นบ้านสวนแบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวค่ะ เลยต้องขออนุญาตเพราะต้องนอนห้องเดียวกัน แยกนอนคนละมุมห้องค่ะ) พ่อแม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่แม่ก็บ่นอยู่ว่าคนอื่นเขาจะมองยังไง มาอยู่คนกันสองคน เขาจะเอาไปพูดต่อเสียหายอายมาถึงพ่อแม่ได้ (ซึ่งแถวนั้นก็ไม่มีบ้านคนอาศัยเลยค่ะ บ้านที่มีก็ไมม่ได้อยู่ตลอด แล้วก็ไม่ได้รู้จักกันขนาดจะต้องมีเรื่องนินทากันด้วย เราก็งงว่าใครจะมาสนใจ) พ่อเราก็แก้ต่างให้ไปเรียบร้อย
สรุปทีนี้เรามาทราบทีหลังว่าแม่เราเอาเรื่องนี้ไปพูดต่อให้เพื่อนแม่และญาติๆฟัง ไปเล่าละเอียดยิบว่า คนนี้เป็นแฟนลูก เป็นว่าที่ลูกเขย ต้องให้มานอนห้องเดียวกัน กลัวจะไม่เหมาะสมหรอกแต่ไม่มีทางเลือก เล่าไปถึงพื้นเพของแฟนเรา เล่าเรื่องส่วนตัวของเรา เล่าเรื่องแพลนอนาคตที่เรากับแฟนคุยกันแล้วแม่แอบได้ยิน มีเสริมเติมแต่งด้วยว่าก็คงจะให้ตบแต่งกันเร็วๆนี้ ให้มันถูกต้อง เดี๋ยวจะเสียหาย จนพอเราไปเจอใครๆ เขาก็มาถามเรื่องส่วนตัวของเรา ถามว่าจะแต่งเมื่อไหร่ เร่งรัดให้รีบแต่ง จนเราอึดอัดมากไม่อยากออกไปเจอใคร เราอยากมีชีวิตที่ไพรเวทกว่านี้ แล้วเราก็คิดว่าเราวางตัวดีมาตลอด สุดท้ายมาเป็นขี้ปากคนเพราะแม่ตัวเอง มันไม่โอเคมากๆเลย
ตอนนี้เราไม่เล่าอะไรให้แม่ฟังเลย แล้วก็ไม่ค่อยพาแฟนมากบ้านด้วย กลายเป็นเราสองคนต้องอยู่ห่างกัน นานๆทีเจอกัน ไม่ได้สร้างความสัมพันธ์ให้กันเท่าไหร่ เราสองคนยังรักกันดี แต่แค่เสียดายเวลาที่มันผ่านไป แทนที่จะได้อยู่ด้วยกันบ้าง สร้างความทรงจำร่วมกันบ้าง เราเองไม่ได้แคร์คำพูดใครมาก แต่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ พ่อเราก็ไม่โอเคนะคะ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าแม่เราทำแบบนี้เหมือนกัน ทุกคนมารู้อีกทีก็คือทำไปแล้ว แล้วแม่ก็มาเร่งรัดให้แต่งเร็วๆ เร่งให้เราต้องมีทุกๆอย่างในตอนนี้ จนเราใช้ชีวิตแบบกดดันมากๆค่ะ
แฟนเราเขาบอกว่า ปีหน้าจะซื้อบ้านให้ จะได้ออกมาอยู่เองไม่ต้องอึดอัดหรือทนฟังคำพูดแม่ ก็กลายเป็นว่าจากที่เราอยากค่อยๆศึกษาดูใจกันไป เราต้องมาเร่งรีบแต่งงานกันเพราะจะได้ออกมาจากบ้านหลังนี้ จะได้มีชีวิตส่วนตัว เรื่องส่วนตัวก้ไม่ต้องรั่วไหลไปถึงคนภายนอกมากกว่านี้
**** อยากให้ทุกคนช่วยแนะนำหน่อยค่ะว่ามีทางไหนได้บ้างให้เราตัดสินใจ หรือใช้ชีวิตได้แบบสบายใจกว่านี้ เราเครียดมาก ไม่อยากรีบแต่งงานแล้วเกิดไปไม่รอดเข้ากันไม่ได้ก็ต้องมาเลิกทีหลังค่ะ *** ขอบคุณสำหรับความเห็นนะคะ