จากไกด์แนะนำร้านอาหารหรูๆจากบริษัทยางทั้งหมด มิชลินไกด์ก็ต้องอยู่ใน 3 อันดับแรกอย่างไม่มีข้อสงสัยการที่จะได้มิชลิน 1 ดาว 2 ดาวหรือ 2 ดาวขึ้นไป มิชลินไกด์ก็เป็นแหล่งแนะนำอาหารสำหรับคนที่พร้อมจะจ่ายเงินเพื่อแลกกับอาหารเลิศรส แต่เขาเอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินเรื่องความอร่อย?
นั่นจึงเป็นหน้าที่ของนักชิมมิชลิน นักกินมีอยู่ 2 ประเภทคือนักชิมและนักกินจุ ทั้งสองประเภทนี้ล้วนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างยกตัวอย่างเช่น Pete Wells ที่เป็นนักชิมของ New York Times หรือ Tom Sietsema ที่เป็นนักชิมของ The Washington Post หรือแม้กระทั่งพวกเราที่รีวิวอาหารลงใน Wongnai
แต่อะไรที่ทำให้นักชิมมิชลินไม่เหมือนใคร เหมือนกับสไปเดอร์แมนคือไม่มีใครรู้ตัวตนของนักชิมมิชลิน โดยธรรมชาติแล้วข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มีไม่ค่อยเยอะมาก แต่จากการอ่านบทสัมภาษณ์ที่ค่อนข้างจะหายากมาเกือบเดือน ในหนังสือปี 2004 L'inspecteur se met à table เขียนโดยนักข่าวนิรนามและการค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองบางส่วนผมได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักชิมมิชลินให้คุณได้เสียเวลาอ่านดังนี้
ขณะนี้มีนักชิมมิชลินอยู่ประมาณ 90 คนอยู่รอบๆโลก 15 คนในฝรั่งเศส 10 คนในสหรัฐอเมริกา และอีก 65 คนอยู่กระจายทั่วโลกและแน่นอนมี 1 คนแฝงตัวอยู่ในกรุงเทพฯ นักชิมมิชลินจะต้องมีวุฒิด้านการบริการ, การบริหารและด้านอาหาร และประสบการณ์ภาคสนามขั้นต่ำ 5 ปี ด้วยอัตราการจ้างงานแค่ 0.2%
หลังจากการสัมภาษณ์และทดสอบประสาทรับรสแล้ว เขาต้องผ่านการฝึกอีก 6 เดือนที่ฝรั่งเศส การฝึกครั้งที่ 2 ในเมืองต่างๆที่ยุโรปถึงจะได้บรรจุเป็นนักชิมมิชลินโดยเกณฑ์การประเมินมี 5 อย่างคือ
1.คุณภาพของวัตถุดิบ
2.บุคลิกของเชฟ
3.ความคุ้มค่าต่อราคา
4.การบริการต่างๆ
5.ความอร่อยของอาหาร
การที่นักชิมมิชลินนั้นแทบจะระบุตัวตนไม่ได้เลยนั้นง่ายมากเพราะเขาไม่บอกใครและวิธีการชิมและประเมินอาหารของเขานั้นก็จะค่อนข้างแปลกประหลาดเช่น การจองโต๊ะอาหารโดยไม่ใช่ชื่อของตนเอง การแต่งตัวที่เหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดาหรือแม้กระทั่งการนำคู่หมั้นของตนมาด้วยเพื่อเป็นการตบตาว่ามาเดตถึงแม้คู่หมั้นจะรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นนักชิมแต่เขาจะไม่แนะนำให้บอกกับคนอื่นว่าเขาเป็นนักชิมบางครั้งพ่อแม่ของตนก็ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นนักชิมมิชลินแต่เลี่ยงด้วยการบอกว่าทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารและในการเพิ่มหรือลดดาวจะมีนักชิมมาชิมเพิ่มอย่างน้อยอีก 2 คน
แต่ถ้าหากคุณอยากรู้ว่าเขาเป็นนักชิมมิชลินคุณจะรู้ได้อย่างไรอย่างแรกเลยนักชิมมิชลินถ้าหากเขามาร้านอาหารของคุณคุณสามารถเช็คได้ถ้าหากชื่อที่จองกับชื่อในบัตรเครดิตนั้นไม่ตรงกันคุณก็สามารถเดาได้ว่าเขาคือนักชิมมิชลินหรือไม่ก็ขโมยบัตรเครดิตมาใช้ อีกอย่างคือนักชิมมิชลินจะสั่งอาหารแทบทุกเมนูตั้งแต่อาหารรองท้อง อาหารคาวและอาหารหวานแต่เขาจะไม่สั่งซุปและสลัดเพราะถือว่าเป็นเมนูที่ทำง่ายเกินไป และเขาจะคอยจดโน้ตตลอดเวลาที่อาหารมาและสั่งหรือแม้กระทั่งถ่ายรูปลงเพจของมิชลิน
และนี่ก็เป็นข้อมูลคร่าวๆพี่ทำไมนักชิมมิชลินถึงแทบจะเป็นสายลับในวงการอาหาร
ทำไมนักชิมมิชลินถึงแทบจะเป็นสายลับในวงการอาหาร
นั่นจึงเป็นหน้าที่ของนักชิมมิชลิน นักกินมีอยู่ 2 ประเภทคือนักชิมและนักกินจุ ทั้งสองประเภทนี้ล้วนเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างยกตัวอย่างเช่น Pete Wells ที่เป็นนักชิมของ New York Times หรือ Tom Sietsema ที่เป็นนักชิมของ The Washington Post หรือแม้กระทั่งพวกเราที่รีวิวอาหารลงใน Wongnai
แต่อะไรที่ทำให้นักชิมมิชลินไม่เหมือนใคร เหมือนกับสไปเดอร์แมนคือไม่มีใครรู้ตัวตนของนักชิมมิชลิน โดยธรรมชาติแล้วข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มีไม่ค่อยเยอะมาก แต่จากการอ่านบทสัมภาษณ์ที่ค่อนข้างจะหายากมาเกือบเดือน ในหนังสือปี 2004 L'inspecteur se met à table เขียนโดยนักข่าวนิรนามและการค้นคว้าข้อมูลด้วยตัวเองบางส่วนผมได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนักชิมมิชลินให้คุณได้เสียเวลาอ่านดังนี้
ขณะนี้มีนักชิมมิชลินอยู่ประมาณ 90 คนอยู่รอบๆโลก 15 คนในฝรั่งเศส 10 คนในสหรัฐอเมริกา และอีก 65 คนอยู่กระจายทั่วโลกและแน่นอนมี 1 คนแฝงตัวอยู่ในกรุงเทพฯ นักชิมมิชลินจะต้องมีวุฒิด้านการบริการ, การบริหารและด้านอาหาร และประสบการณ์ภาคสนามขั้นต่ำ 5 ปี ด้วยอัตราการจ้างงานแค่ 0.2%
หลังจากการสัมภาษณ์และทดสอบประสาทรับรสแล้ว เขาต้องผ่านการฝึกอีก 6 เดือนที่ฝรั่งเศส การฝึกครั้งที่ 2 ในเมืองต่างๆที่ยุโรปถึงจะได้บรรจุเป็นนักชิมมิชลินโดยเกณฑ์การประเมินมี 5 อย่างคือ
1.คุณภาพของวัตถุดิบ
2.บุคลิกของเชฟ
3.ความคุ้มค่าต่อราคา
4.การบริการต่างๆ
5.ความอร่อยของอาหาร
การที่นักชิมมิชลินนั้นแทบจะระบุตัวตนไม่ได้เลยนั้นง่ายมากเพราะเขาไม่บอกใครและวิธีการชิมและประเมินอาหารของเขานั้นก็จะค่อนข้างแปลกประหลาดเช่น การจองโต๊ะอาหารโดยไม่ใช่ชื่อของตนเอง การแต่งตัวที่เหมือนนักท่องเที่ยวธรรมดาหรือแม้กระทั่งการนำคู่หมั้นของตนมาด้วยเพื่อเป็นการตบตาว่ามาเดตถึงแม้คู่หมั้นจะรู้ว่าบุคคลนั้นเป็นนักชิมแต่เขาจะไม่แนะนำให้บอกกับคนอื่นว่าเขาเป็นนักชิมบางครั้งพ่อแม่ของตนก็ยังไม่รู้ว่าลูกเป็นนักชิมมิชลินแต่เลี่ยงด้วยการบอกว่าทำงานเกี่ยวกับอุตสาหกรรมอาหารและในการเพิ่มหรือลดดาวจะมีนักชิมมาชิมเพิ่มอย่างน้อยอีก 2 คน
แต่ถ้าหากคุณอยากรู้ว่าเขาเป็นนักชิมมิชลินคุณจะรู้ได้อย่างไรอย่างแรกเลยนักชิมมิชลินถ้าหากเขามาร้านอาหารของคุณคุณสามารถเช็คได้ถ้าหากชื่อที่จองกับชื่อในบัตรเครดิตนั้นไม่ตรงกันคุณก็สามารถเดาได้ว่าเขาคือนักชิมมิชลินหรือไม่ก็ขโมยบัตรเครดิตมาใช้ อีกอย่างคือนักชิมมิชลินจะสั่งอาหารแทบทุกเมนูตั้งแต่อาหารรองท้อง อาหารคาวและอาหารหวานแต่เขาจะไม่สั่งซุปและสลัดเพราะถือว่าเป็นเมนูที่ทำง่ายเกินไป และเขาจะคอยจดโน้ตตลอดเวลาที่อาหารมาและสั่งหรือแม้กระทั่งถ่ายรูปลงเพจของมิชลิน
และนี่ก็เป็นข้อมูลคร่าวๆพี่ทำไมนักชิมมิชลินถึงแทบจะเป็นสายลับในวงการอาหาร