เวียนศีรษะบ้านหมุนบ่อย ทำอย่างไรดี?

     อาการเวียนศีรษะ (Dizziness) เป็นคำที่มีความหมายกว้าง ซึ่งความหมายของมันนั้นอาจรวมถึงอาการมึนศีรษะ หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม ทรงตัวได้ไม่ดี สับสน งุนงง หากผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อมรอบตัวกำลังหมุนหรือเคลื่อนที่ จะเรียกว่า “อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (Vertigo)”

     อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน เป็นอาการที่มักพบในผู้ใหญ่ สามารถรบกวนชีวิตประจำวันได้ และทำให้ต้องมาพบแพทย์บ่อยครั้ง ทั้งนี้การรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุและอาการที่ผู้ป่วยเป็น โดยทั่วไปการรักษามักจะมีประสิทธิผลดี แต่ผู้ป่วยอาจกลับมามีอาการซ้ำได้

อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน มีอาการอย่างไรบ้าง?
     อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน มักเกิดขึ้นเมื่อมีการเปลี่ยนตำแหน่งของศีรษะ โดยอาการที่พบ ได้แก่
     -   รู้สึกหมุน
     -   เอนเอียง
     -   แกว่ง
     -   เสียความสมดุล หรือถูกดึงจากทิศทางใดทิศทางหนึ่ง       

     นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ตากระตุก ปวดศีรษะ เหงื่อออก มีเสียงในหู ทั้งนี้ผู้ป่วยอาจมีอาการนานหลายนาทีจนถึงหลายชั่วโมง หรือหายจากอาการแล้วกลับมาเป็นซ้ำได้

อะไรเป็นสาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน?
     อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน มักเกิดจากความผิดปกติบริเวณหูชั้นใน โดยสาเหตุของอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบบ่อย ได้แก่

        1.โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน (Benign paroxysmal positional vertigo: BPPV) เกิดจากตะกอนแคลเซียมที่สะสมในบริเวณหูชั้นในเคลื่อนที่หลุดจากตำแหน่งปกติเมื่อมีการเคลื่อนไหวศีรษะ ทำให้ส่งผลกระทบต่อการทรงตัว เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้ ซึ่งสาเหตุของโรคนี้ยังไม่แน่ชัด แต่มักสัมพันธ์กับอายุของผู้ป่วย
        2.โรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ (Meniere's disease) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของน้ำที่อยู่ในบริเวณหูชั้นใน ส่งผลให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน ร่วมกับมีเสียงในหู (Tinnitus) และการได้ยินลดลง
        3.โรคเส้นประสาทการทรงตัวในหูอักเสบ (Vestibular neuritis) หรือโรคหูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) เป็นความผิดปกติของหูชั้นในที่สัมพันธ์กับการติดเชื้อ โดยส่วนใหญ่มักเกิดจากเชื้อไวรัส ส่งผลให้เกิดการอักเสบขึ้นในบริเวณหูชั้นใน ซึ่งมีความสำคัญต่อการรักษาสมดุลการทรงตัว

     ทั้งนี้อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น การได้รับบาดเจ็บบริเวณศีรษะหรือลำคอ อาการผิดปกติทางสมอง อาการปวดศีรษะไมเกรน หรือการรับประทานยาที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บในหู

การวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการเวียนศีรษะทำอย่างไร?
     แพทย์จะทำการวินิจฉัยด้วยการซักประวัติเพื่อหาสาเหตุของอาการเวียนศีรษะ ซึ่งได้แก่ ลักษณะของอาการเวียนศีรษะ ระยะเวลาที่มีอาการ ช่วงเวลาที่เกิดอาการ อาการร่วม ปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ และประวัติการใช้ยา จากนั้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกาย โดยตรวจทางระบบตา หู คอ จมูก โดยเฉพาะหู ทดสอบการเดิน การรักษาสมดุลการทรงตัว และตรวจการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง

     นอกจากนี้แพทย์อาจทดสอบเพิ่มเติมเพื่อช่วยในการวินิจฉัย ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบการได้ยิน การทดสอบการกลอกตา (Eye movement test) การทดสอบการเคลื่อนไหวศีรษะ (Head movement test) การตรวจประเมินความสามารถในการรักษาท่ายืน ตรวจเลือด ตรวจทางรังสี เป็นต้น

เราสามารถรักษาอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้อย่างไร?
     อาการเวียนศีรษะบ้านหมุนในผู้ป่วยหลายรายสามารถหายเองได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา หากจำเป็นต้องได้รับการรักษา แพทย์จะพิจารณาวิธีการรักษาตามสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการดังกล่าวด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้

        1.Vestibular rehabilitation: กายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูระบบประสาทส่วนที่มีหน้าที่ในการควบคุมการทรงตัว
        2.Canalith repositioning maneuvers: กายภาพบำบัดเพื่อให้ตะกอนแคลเซียมในบริเวณหูชั้นในที่หลุดจากตำแหน่งปกติ เคลื่อนกลับเข้าที่เดิม ซึ่งเป็นคำแนะนำสำหรับการรักษาโรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน
        3.การรักษาด้วยยา: ในบางกรณีผู้ป่วยอาจได้รับยาเพื่อบรรเทาอาการเวียนศีรษะและอาการอื่นๆ ที่มักเกิดร่วม เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน ทั้งนี้หากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดจากการติดเชื้อหรือการอักเสบ ผู้ป่วยอาจต้องได้รับยาปฏิชีวนะหรือสเตียรอยด์ นอกจากนี้หากอาการมีสาเหตุมาจากโรคน้ำในหูชั้นในผิดปกติ ผู้ป่วยอาจจำเป็นต้องได้รับยาขับปัสสาวะเพื่อลดความดันจากของเหลวภายในช่องหู
        4.การรักษาด้วยการผ่าตัด: ผู้ป่วยบางรายจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด หากไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น

     หากอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนเกิดจากสาเหตุที่รุนแรง เช่น เนื้องอกหรือการบาดเจ็บบริเวณสมองหรือลำคอ ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาภาวะดังกล่าวก่อนเพื่อบรรเทาอาการเวียนศีรษะบ้านหมุน

เราสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการเวียนศีรษะบ้านหมุนได้อย่างไร?
     -   ออกกำลังกายอย่างง่าย โดยใช้วิธีออกกำลังกายที่ไม่ทำให้เกิดการพลัดตกหกล้ม
     -   นอนยกศีรษะสูงขึ้นเล็กน้อยด้วยการใช้หมอนรองศีรษะอย่างน้อย 2 ใบ
     -   หลีกเลี่ยงการเอียงศีรษะหรือยืดลำคอ
     -   เคลื่อนไหวศีรษะด้วยความระมัดระวังระหว่างทำกิจกรรมต่างๆ
     -   เปลี่ยนท่าทางให้ช้าลง เช่น ใช้เวลา 1 นาที ในการลุกจากเตียงซึ่งเปลี่ยนจากท่านอนเป็นท่านั่ง หรือเปลี่ยนจากท่านั่งเป็นท่ายืน เป็นต้น
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่