駅 (Eki-เอะกิ) เพลงดังที่คนร้องและคนแต่งตีความกันไปคนละทาง ทำให้เกิดเป็นเพลงสองเวอร์ชันที่มีบรรยากาศแตกต่างกันสุดขั้ว
เพลง 駅 (Eki-เอะกิ) ประพันธ์คำร้อง/ทำนองโดย นักร้องหญิงชื่อดัง ในยุค 80-90 ของญี่ปุ่น คุณทะเกะอุจิ มะริยะ (竹内まりや) โดยเพลงนี้แต่งให้กับนักร้องสาวสวยดาวรุ่งพุ่งแรงในสมัยนั้น คือ นะกะโมะริ อะกินะ (中森明菜) เป็นเพลงเพลงหนึ่งในอัลบั้ม "CRIMSON" ที่ออกเมื่อปี 1986 แต่ในปีต่อมา ทะเกะอุจิ มะริยะก็ได้ร้องเพลงนี้ไว้ในอัลบั้ม "REQUEST"
ภาพปก ซ้าย: อัลบั้ม "CRIMSON" ของอะกินะ ขวา: อัลบั้ม "REQUEST" ของทะเกะอุจิ มะริยะ
ซึ่งสำหรับผมรู้จักเวอร์ชันหลังมาก่อน จากเพลงตอนจบของซีรีส์ละครสืบสวนสอบสวนที่ฉายวันอังคารเย็นในช่วงนั้นที่ญี่ปุ่น (火曜サスペンス จำชื่อรายการเป๊ะ ๆ ไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ด้วยว่าฉายทางสถานีโทรทัศน์ไหน) เพิ่งมารู้ว่า อะกินะจังก็ร้องเพลงนี้ไว้ด้วย เมื่อไม่นานนี้เอง
ทั้งสองเวอร์ชันต่างกันขนาดไหน ก่อนอื่นลองฟังดูด้วยตัวเองกันก่อนครับ
เวอร์ชัน นะกะโมะริ อะกินะ
เวอร์ชัน ทะเกะอุจิ มะริยะ
เห็นความแตกต่างไหมครับ ทีนี้เรามาดูเนื้อเพลงกัน
ตรงที่กำกับ * คือ ท่อนที่มีปัญหา
*1* เป็นเวอร์ชัน อะกินะ ที่ออกมาก่อน เธอน่าจะตีความว่าแบบนี้
*2* เป็นเวอร์ชัน ทะเกะอุจิ มะริยะ เจ้าของเพลงไม่ได้พูดหรืออธิบายตรง ๆ แต่คาดว่า ความหมายที่เจ้าของเพลงต้องการสื่อคือแบบนี้
ตรงที่มีวงเล็บ (= เสริม) คือ ผมขออนุญาตแทรกคำชี้แจงลงไปตรงนั้นเลย
Eki (สถานี)
เนื้อร้อง/ทำนอง ทะเกะอุจิ มะริยะ
เสื้อฝนที่คุ้นตา
ที่สถานีรถไฟในยามอาทิตย์อัสดง ฉันรู้สึกใจสั่น (=ต้นฉบับใช้คำว่า อกสั่น)
อาการเดินจ้ำเร็ว ๆ นั่น ไม่ผิดแน่
คือเขาคนนั้นที่ฉันเคยรักในอดีต
ทั้งๆ ที่คิดถึงเขา
แต่ความทรงจำอันขมขื่นที่มันผุดขึ้นมา ทำให้ฉันหาคำพูดไม่เจอ (= พูดไม่ออก)
ทั้ง ๆ ที่แค่อยากเข้าไปบอกเฉย ๆ ว่า
ถึงจะไม่มีคุณแล้ว ฉันก็ยังสบายดีนะคะ แบบนี้ *1* *2*
สิ่งที่เวลาสองปีได้ทำให้เปลี่ยนไป
ก็คือแววตาของเขา กับ ผม (ทรงผม) ของฉันสินะ
(และตอนนี้ เราสองคน) แต่ละฝ่ายก็กำลังจะกลับไปหา (=มาขึ้นรถไฟกลับบ้าน)
คนที่รอตัวเองอยู่ โดยเขาไม่ได้สังเกตเห็นฉันเลย
เราขึ้นรถไฟไปบนโบกี้ที่อยู่ติดกัน
เมื่อฉันมองไปยังใบหน้าที่ก้มลงของเขาแล้ว
น้ำตาฉันก็แทบจะหลั่งออกมาโดยไม่คาดคิด
จนป่านนี้แล้วฉันถึงได้เข้าใจคุณเป็นครั้งแรก
เข้าใจจนเจ็บปวดเลยล่ะ
*1* รวมถึงเรื่องที่ฉันเป็นฝ่ายรักคุณเพียงฝ่ายเดียวด้วย
*2* รวมถึงเรื่องที่คุณรักฉันเพียงคนเดียวด้วย
ภาพด้านหลังของเขา ที่ค่อย ๆ เลือนหายไป
เพราะถูกฝูงชนในชั่วโมงเร่งด่วนกลืนกินไปนั้น
*1* ช่างทิ้งความเศร้าใจให้แก่หัวใจฉันเสียเหลือเกิน (=ภาพของเขาทิ้งความเศร้าใจให้กับฉัน)
*2* ช่างดูเศร้าเสียเหลือเกินในใจฉัน (= ดูเขาเศร้าเหลือเกิน ในสายตาฉัน)
ตอนที่เดินออกจากช่องตรวจตั๋วนั้น
ฝนก็เริ่มหยุดแล้ว (= ฝนตกตั้งแต่ตอนต้นเพลง เพราะบอกว่า เห็นเขาใส่เสื้อฝนอยู่)
ค่ำคืนที่แสนธรรมดาก็ได้หวนคืนมาสู่เมืองนี้อีกครั้งในที่สุด
ต้นฉบับ อยู่ในสปอยล์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้駅
作詞・作曲 竹内まりや
見覚えのある レインコート
黄昏の駅で 胸が震えた
はやい足どり まぎれもなく
昔愛してた あの人なのね
懐かしさの一歩手前で
こみあげる 苦い思い出に
言葉がとても見つからないわ
あなたがいなくても こうして
元気で暮していることを
さり気なく 告げたかったのに
二年の時が 変えたものは
彼のまなざしと 私のこの髪
それぞれに待つ人のもとへ
戻ってゆくのね 気づきもせずに
ひとつ隣の車両に乗り
うつむく横顔 見ていたら
思わず涙 あふれてきそう
今になってあなたの気持ち
初めてわかるの 痛いほど
私だけ 愛してたことも
ラッシュの人波にのまれて
消えてゆく 後ろ姿が
やけに哀しく 心に残る
改札口を出る頃には
雨もやみかけた この街に
ありふれた夜がやって来る
วิเคราะห์
เริ่มจาก
เวอร์ชันอะกินะก่อนครับ
ขอเริ่มจากท่อน "รวมถึงเรื่องที่ฉันเป็นฝ่ายรักคุณเพียงฝ่ายเดียวด้วย" จากท่อนนี้รวมกับท่อนต้น ๆ ทำให้เราอนุมานได้ว่า เมื่อสองปีก่อนที่คบกันอยู่นั้น ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรักแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายชายไม่ได้รักฝ่ายหญิงจริงเลย และในที่สุดทั้งสองก็ได้แยกทางกัน โดย ณ ปัจจุบันต่างฝ่ายต่างมีคนรักของตัวเองที่รออยู่ที่บ้าน
จากตรงนี้ ทำให้เห็นว่า เพลงของอะกินะ จะมีบรรยากาศของความเศร้าหมอง เป็นความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ติดยึดกับคนรักเก่าที่แม้จะเลิกกันมาแล้วแต่เธอก็ยังยึดติดกับเขาอยู่จนปัจจุบัน น้ำเสียงที่อะกินะร้อง จึงร้องด้วยน้ำเสียงที่ดูแทบจะขาดใจ แสดงความรู้สึกที่ผู้หญิงคนนี้ บังเอิญเห็นคนรักเก่าที่สถานี แล้วทำให้หวนนึกถึงความหลังอันขมขื่นในช่วงที่อยู่กับเขาขึ้นมา
"อยากเข้าไปบอกเฉย ๆ ว่าถึงจะไม่มีคุณแล้ว ฉันก็ยังสบายดีนะคะ แบบนี้" ตีความว่า ที่อยากเข้าไปบอกว่าสบายดี น่าจะอาการน้อยใจ/แค้นใจ ต้องการเข้าไปเยาะเย้ยอีกฝ่ายว่า ถึงไม่มีคุณ ฉันก็อยู่ได้สบายดี (แต่ก็ได้แต่คิด สุดท้ายไม่ได้เข้าไปทัก)
ตรงเรื่องทรงผม - เดาได้ว่า เป็นการที่ผู้หญิงอกหักคนหนึ่งตัดผมสั้น เพื่อ...อะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย ในวันนี้ เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยอยู่ดี (คงอยากให้เขาเห็นว่าตัดทรงผมใหม่นี้ด้วย)
สุดท้าย ตอนลงจากรถไฟ หญิงสาวเป็นฝ่ายยืนมองอีกฝ่ายเดินหายไปในฝูงชน ด้วยความรู้สึกที่ยังคงติดยึดกับอีกฝ่าย ยังตัดใจไม่ได้ การพบกันครั้งนี้ ทำให้เธอรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง
ประมาณนี้ครับ จริง ๆ มีรายละเอียดอีกแต่ลองไปคิดดูละกัน ว่าถ้าตีความแบบนี้ในเนื้อเพลงแต่ละประโยคจะสื่อถึงอะไร หรือบอกความรู้สึกแบบไหนได้บ้างซึ่ง ถ้าตีความอีกแบบ แต่ละประโยคในเนื้อเพลง เราก็จะมองมันในอีกมุมได้เลยเหมือนกัน
ทีนี้มาดู
เวอร์ชันของทะเกะอุจิ มะริยะ
ที่จริงเจ้าของเพลง (คนแต่งเพลง) ไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือวิจารณ์เกี่ยวกับการตีความของอะกินะเลยนะครับ แต่การที่เธอร้องเพลงนี้ ในบรรยากาศที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ในปีถัดมานี่ มันก็.... ชวนให้คิดแหละ ว่านี่เป็นการออกมาชี้แจงในแบบของเธอหรือไม่
เริ่มที่ประโยคเดิม "จนป่านนี้แล้วฉันถึงได้เข้าใจคุณเป็นครั้งแรก
เข้าใจจนเจ็บปวดเลยล่ะ รวมถึงเรื่องที่คุณรักฉันเพียงคนเดียวด้วย"
จากเนื้อเพลงตรงนี้และท่อนต้น ๆ ทำให้เราพอจะจินตนาการได้ว่า สองปีก่อน สองคนนี้ต้องแยกทางกันด้วยความจำเป็นบางอย่าง เนื้อเพลงยืนยันว่า มาถึงตอนนี้ฝ่ายหญิงถึงได้เข้าใจในที่สุดว่าเขาคิดยังไง การแยกทางครั้งนั้นอาจจะเป็นการทำเพื่อฝ่ายหญิงก็ได้ และฝ่ายชายเองก็รักฝ่ายหญิงมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตามมันบอกว่า การแยกทางครั้งนั้นเป็นการแยกทางกันด้วยดี เพียงแต่...
จากตรงนี้ย้อนไปต้นเพลง เลยทำให้รู้สึกว่า การพบกันโดยบังเอิญครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายหญิงที่ยังรู้สึกติดค้าง (แต่ไม่ได้รักแล้ว) อีกฝ่ายหนึ่ง อยากเข้าไปทัก เพื่อบอกว่า "ถึงไม่มีคุณ ฉันก็สบายดี" เป็นการบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ และเลิกโทษตัวเองได้แล้ว ความทรงจำที่ขมขื่น น่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจผิดของฝ่ายหญิงเอง รวมทั้งเรื่องตอนที่ต้องแยกทางกัน แต่ไม่น่าจะใช่ความทุกข์ในช่วงตลอดเวลาที่คบหากัน
เมื่อตีความมาทางนี้ (จริง ๆ คือ เจ้าของเพลงตั้งใจจะให้หมายความแบบนี้) เนื้อเพลง จึงเป็นการบรรยายถึง 1. ความห่วงใยที่ฝ่ายหญิงมีต่อฝ่ายชาย รู้สึกว่า เขาจะยังคงอยู่ในความทุกข์ ความเศร้าจากเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนอยู่ 2. ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้น move on ได้แล้ว และไม่รู้สึกอะไรกับความรักครั้งก่อนแล้ว เพียงแต่ยังรู้สึกผิดหรือเสียใจภายหลังที่ผู้ชายคนนี้ต้องจมอยู่ในความทุกข์แบบนี้
ทรงผมใหม่ของฝ่ายหญิงในความหมายของเพลงเวอร์ชันนี้ น่าจะเป็นทรงที่บอกว่า เธอได้เริ่มต้นใหม่แล้วมากกว่า ในขณะที่แววตาฝ่ายชายที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เปลี่ยนไปในทางที่อมทุกข์กว่าในอดีต
และตอนท้าย เมื่อลงจากรถไฟ ฝ่ายหญิงจึงรู้สึกว่า ภาพด้านหลังของฝ่ายชายที่เดินหายไปในฝูงชนให้ความรู้สึกว่า เขาช่างโศกเศร้า อมทุกข์เหลือเกิน
สุดท้าย--- ในแง่มุม
ภาษาญี่ปุ่น ทำไมมีการตีความแตกต่างกันได้แบบนี้
เพราะการละคำบางคำในประโยคไงครับ ซึ่งเป็นปกติของภาษานี้อยู่แล้ว แต่คราวนี้ อาจจะด้วยความที่เป็นเนื้อเพลง อาจจะต้องจำกัดจำนวนคำให้สละสลวย ให้ลงตัวกับทำนองที่จะใส่ ก็เลยเกิดเหตุนี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยคที่เป็นคีย์หลักเลยก็คือ
私だけ 愛してた
มันตีความว่า 私だけ
が愛してた ก็ได้ (อะกินะคงตีความแบบนี้) ซึ่งแปลว่า ฉันฝ่ายเดียวเท่านั้น ที่เป็นคนที่รัก (อีกฝ่ายไม่ได้รักตอบ)
ในขณะที่เจ้าของเพลง คงต้องการความหมายว่า 私だけ
を愛してた คุณรักฉันคนเดียว ... สื่อว่า การแยกทางครั้งนั้น เป็นการเสียสละของฝ่ายชาย หรือเกิดเหตุอะไรสักอย่างที่ฝ่ายชายต้องยอมเลิกกันทั้งที่เขายังรักฝ่ายหญิงอยู่
อีกประโยค คือ
後ろ姿がやけに哀しく 心に残る
ภาพด้านหลัง (ของเขา) ทิ้งความรู้สึกเศร้าไว้ในใจ
คำถามคือ ใครเศร้า
แบบอะกินะ- ทิ้งความรู้สึกให้ฝ่ายหญิงเศร้า
แบบทะเกะอุจิ มะริยะ- ทิ้งความรู้สึกให้ฝ่ายหญิงรู้สึกว่า ฝ่ายชายยังคงจมอยู่ในความเศร้า
จบประเด็นของภาษาญี่ปุ่นครับ
ประมาณนี้ครับ ใครคิดเห็นยังไงบ้างก็มาแลกเปลี่ยนกันได้ ผมเองก็ไม่กล้าฟันธงนะครับว่าผมตีความถูกต้องทั้งสองเวอร์ชัน เพียงแต่พอฟังเปรียบเทียบกันแล้วก็รู้สึกถึงอารมณ์ของเพลงในทั้งสองเวอร์ชันได้ในแบบที่วิเคราะห์มานี้
駅 (Eki) เพลงดังที่คนร้องและคนแต่งตีความกันไปคนละทาง ทำให้เกิดเป็นเพลงสองเวอร์ชันที่มีบรรยากาศแตกต่างกันสุดขั้ว
เพลง 駅 (Eki-เอะกิ) ประพันธ์คำร้อง/ทำนองโดย นักร้องหญิงชื่อดัง ในยุค 80-90 ของญี่ปุ่น คุณทะเกะอุจิ มะริยะ (竹内まりや) โดยเพลงนี้แต่งให้กับนักร้องสาวสวยดาวรุ่งพุ่งแรงในสมัยนั้น คือ นะกะโมะริ อะกินะ (中森明菜) เป็นเพลงเพลงหนึ่งในอัลบั้ม "CRIMSON" ที่ออกเมื่อปี 1986 แต่ในปีต่อมา ทะเกะอุจิ มะริยะก็ได้ร้องเพลงนี้ไว้ในอัลบั้ม "REQUEST"
ภาพปก ซ้าย: อัลบั้ม "CRIMSON" ของอะกินะ ขวา: อัลบั้ม "REQUEST" ของทะเกะอุจิ มะริยะ
ซึ่งสำหรับผมรู้จักเวอร์ชันหลังมาก่อน จากเพลงตอนจบของซีรีส์ละครสืบสวนสอบสวนที่ฉายวันอังคารเย็นในช่วงนั้นที่ญี่ปุ่น (火曜サスペンス จำชื่อรายการเป๊ะ ๆ ไม่ได้แล้ว จำไม่ได้ด้วยว่าฉายทางสถานีโทรทัศน์ไหน) เพิ่งมารู้ว่า อะกินะจังก็ร้องเพลงนี้ไว้ด้วย เมื่อไม่นานนี้เอง
ทั้งสองเวอร์ชันต่างกันขนาดไหน ก่อนอื่นลองฟังดูด้วยตัวเองกันก่อนครับ
เวอร์ชัน นะกะโมะริ อะกินะ
เวอร์ชัน ทะเกะอุจิ มะริยะ
เห็นความแตกต่างไหมครับ ทีนี้เรามาดูเนื้อเพลงกัน
ตรงที่กำกับ * คือ ท่อนที่มีปัญหา
*1* เป็นเวอร์ชัน อะกินะ ที่ออกมาก่อน เธอน่าจะตีความว่าแบบนี้
*2* เป็นเวอร์ชัน ทะเกะอุจิ มะริยะ เจ้าของเพลงไม่ได้พูดหรืออธิบายตรง ๆ แต่คาดว่า ความหมายที่เจ้าของเพลงต้องการสื่อคือแบบนี้
ตรงที่มีวงเล็บ (= เสริม) คือ ผมขออนุญาตแทรกคำชี้แจงลงไปตรงนั้นเลย
Eki (สถานี)
เนื้อร้อง/ทำนอง ทะเกะอุจิ มะริยะ
เสื้อฝนที่คุ้นตา
ที่สถานีรถไฟในยามอาทิตย์อัสดง ฉันรู้สึกใจสั่น (=ต้นฉบับใช้คำว่า อกสั่น)
อาการเดินจ้ำเร็ว ๆ นั่น ไม่ผิดแน่
คือเขาคนนั้นที่ฉันเคยรักในอดีต
ทั้งๆ ที่คิดถึงเขา
แต่ความทรงจำอันขมขื่นที่มันผุดขึ้นมา ทำให้ฉันหาคำพูดไม่เจอ (= พูดไม่ออก)
ทั้ง ๆ ที่แค่อยากเข้าไปบอกเฉย ๆ ว่า
ถึงจะไม่มีคุณแล้ว ฉันก็ยังสบายดีนะคะ แบบนี้ *1* *2*
สิ่งที่เวลาสองปีได้ทำให้เปลี่ยนไป
ก็คือแววตาของเขา กับ ผม (ทรงผม) ของฉันสินะ
(และตอนนี้ เราสองคน) แต่ละฝ่ายก็กำลังจะกลับไปหา (=มาขึ้นรถไฟกลับบ้าน)
คนที่รอตัวเองอยู่ โดยเขาไม่ได้สังเกตเห็นฉันเลย
เราขึ้นรถไฟไปบนโบกี้ที่อยู่ติดกัน
เมื่อฉันมองไปยังใบหน้าที่ก้มลงของเขาแล้ว
น้ำตาฉันก็แทบจะหลั่งออกมาโดยไม่คาดคิด
จนป่านนี้แล้วฉันถึงได้เข้าใจคุณเป็นครั้งแรก
เข้าใจจนเจ็บปวดเลยล่ะ
*1* รวมถึงเรื่องที่ฉันเป็นฝ่ายรักคุณเพียงฝ่ายเดียวด้วย
*2* รวมถึงเรื่องที่คุณรักฉันเพียงคนเดียวด้วย
ภาพด้านหลังของเขา ที่ค่อย ๆ เลือนหายไป
เพราะถูกฝูงชนในชั่วโมงเร่งด่วนกลืนกินไปนั้น
*1* ช่างทิ้งความเศร้าใจให้แก่หัวใจฉันเสียเหลือเกิน (=ภาพของเขาทิ้งความเศร้าใจให้กับฉัน)
*2* ช่างดูเศร้าเสียเหลือเกินในใจฉัน (= ดูเขาเศร้าเหลือเกิน ในสายตาฉัน)
ตอนที่เดินออกจากช่องตรวจตั๋วนั้น
ฝนก็เริ่มหยุดแล้ว (= ฝนตกตั้งแต่ตอนต้นเพลง เพราะบอกว่า เห็นเขาใส่เสื้อฝนอยู่)
ค่ำคืนที่แสนธรรมดาก็ได้หวนคืนมาสู่เมืองนี้อีกครั้งในที่สุด
ต้นฉบับ อยู่ในสปอยล์
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วิเคราะห์
เริ่มจากเวอร์ชันอะกินะก่อนครับ
ขอเริ่มจากท่อน "รวมถึงเรื่องที่ฉันเป็นฝ่ายรักคุณเพียงฝ่ายเดียวด้วย" จากท่อนนี้รวมกับท่อนต้น ๆ ทำให้เราอนุมานได้ว่า เมื่อสองปีก่อนที่คบกันอยู่นั้น ฝ่ายหญิงเป็นฝ่ายรักแต่ฝ่ายเดียว ฝ่ายชายไม่ได้รักฝ่ายหญิงจริงเลย และในที่สุดทั้งสองก็ได้แยกทางกัน โดย ณ ปัจจุบันต่างฝ่ายต่างมีคนรักของตัวเองที่รออยู่ที่บ้าน
จากตรงนี้ ทำให้เห็นว่า เพลงของอะกินะ จะมีบรรยากาศของความเศร้าหมอง เป็นความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ ติดยึดกับคนรักเก่าที่แม้จะเลิกกันมาแล้วแต่เธอก็ยังยึดติดกับเขาอยู่จนปัจจุบัน น้ำเสียงที่อะกินะร้อง จึงร้องด้วยน้ำเสียงที่ดูแทบจะขาดใจ แสดงความรู้สึกที่ผู้หญิงคนนี้ บังเอิญเห็นคนรักเก่าที่สถานี แล้วทำให้หวนนึกถึงความหลังอันขมขื่นในช่วงที่อยู่กับเขาขึ้นมา
"อยากเข้าไปบอกเฉย ๆ ว่าถึงจะไม่มีคุณแล้ว ฉันก็ยังสบายดีนะคะ แบบนี้" ตีความว่า ที่อยากเข้าไปบอกว่าสบายดี น่าจะอาการน้อยใจ/แค้นใจ ต้องการเข้าไปเยาะเย้ยอีกฝ่ายว่า ถึงไม่มีคุณ ฉันก็อยู่ได้สบายดี (แต่ก็ได้แต่คิด สุดท้ายไม่ได้เข้าไปทัก)
ตรงเรื่องทรงผม - เดาได้ว่า เป็นการที่ผู้หญิงอกหักคนหนึ่งตัดผมสั้น เพื่อ...อะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้าย ในวันนี้ เขาก็ไม่ได้สังเกตเห็นเธอเลยอยู่ดี (คงอยากให้เขาเห็นว่าตัดทรงผมใหม่นี้ด้วย)
สุดท้าย ตอนลงจากรถไฟ หญิงสาวเป็นฝ่ายยืนมองอีกฝ่ายเดินหายไปในฝูงชน ด้วยความรู้สึกที่ยังคงติดยึดกับอีกฝ่าย ยังตัดใจไม่ได้ การพบกันครั้งนี้ ทำให้เธอรู้สึกเศร้าขึ้นมาอีกครั้ง
ประมาณนี้ครับ จริง ๆ มีรายละเอียดอีกแต่ลองไปคิดดูละกัน ว่าถ้าตีความแบบนี้ในเนื้อเพลงแต่ละประโยคจะสื่อถึงอะไร หรือบอกความรู้สึกแบบไหนได้บ้างซึ่ง ถ้าตีความอีกแบบ แต่ละประโยคในเนื้อเพลง เราก็จะมองมันในอีกมุมได้เลยเหมือนกัน
ทีนี้มาดูเวอร์ชันของทะเกะอุจิ มะริยะ
ที่จริงเจ้าของเพลง (คนแต่งเพลง) ไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือวิจารณ์เกี่ยวกับการตีความของอะกินะเลยนะครับ แต่การที่เธอร้องเพลงนี้ ในบรรยากาศที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ในปีถัดมานี่ มันก็.... ชวนให้คิดแหละ ว่านี่เป็นการออกมาชี้แจงในแบบของเธอหรือไม่
เริ่มที่ประโยคเดิม "จนป่านนี้แล้วฉันถึงได้เข้าใจคุณเป็นครั้งแรก
เข้าใจจนเจ็บปวดเลยล่ะ รวมถึงเรื่องที่คุณรักฉันเพียงคนเดียวด้วย"
จากเนื้อเพลงตรงนี้และท่อนต้น ๆ ทำให้เราพอจะจินตนาการได้ว่า สองปีก่อน สองคนนี้ต้องแยกทางกันด้วยความจำเป็นบางอย่าง เนื้อเพลงยืนยันว่า มาถึงตอนนี้ฝ่ายหญิงถึงได้เข้าใจในที่สุดว่าเขาคิดยังไง การแยกทางครั้งนั้นอาจจะเป็นการทำเพื่อฝ่ายหญิงก็ได้ และฝ่ายชายเองก็รักฝ่ายหญิงมาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตามมันบอกว่า การแยกทางครั้งนั้นเป็นการแยกทางกันด้วยดี เพียงแต่...
จากตรงนี้ย้อนไปต้นเพลง เลยทำให้รู้สึกว่า การพบกันโดยบังเอิญครั้งนี้ ทำให้ฝ่ายหญิงที่ยังรู้สึกติดค้าง (แต่ไม่ได้รักแล้ว) อีกฝ่ายหนึ่ง อยากเข้าไปทัก เพื่อบอกว่า "ถึงไม่มีคุณ ฉันก็สบายดี" เป็นการบอกให้อีกฝ่ายสบายใจ และเลิกโทษตัวเองได้แล้ว ความทรงจำที่ขมขื่น น่าจะเป็นเรื่องความเข้าใจผิดของฝ่ายหญิงเอง รวมทั้งเรื่องตอนที่ต้องแยกทางกัน แต่ไม่น่าจะใช่ความทุกข์ในช่วงตลอดเวลาที่คบหากัน
เมื่อตีความมาทางนี้ (จริง ๆ คือ เจ้าของเพลงตั้งใจจะให้หมายความแบบนี้) เนื้อเพลง จึงเป็นการบรรยายถึง 1. ความห่วงใยที่ฝ่ายหญิงมีต่อฝ่ายชาย รู้สึกว่า เขาจะยังคงอยู่ในความทุกข์ ความเศร้าจากเหตุการณ์เมื่อสองปีก่อนอยู่ 2. ในขณะที่ฝ่ายหญิงนั้น move on ได้แล้ว และไม่รู้สึกอะไรกับความรักครั้งก่อนแล้ว เพียงแต่ยังรู้สึกผิดหรือเสียใจภายหลังที่ผู้ชายคนนี้ต้องจมอยู่ในความทุกข์แบบนี้
ทรงผมใหม่ของฝ่ายหญิงในความหมายของเพลงเวอร์ชันนี้ น่าจะเป็นทรงที่บอกว่า เธอได้เริ่มต้นใหม่แล้วมากกว่า ในขณะที่แววตาฝ่ายชายที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เปลี่ยนไปในทางที่อมทุกข์กว่าในอดีต
และตอนท้าย เมื่อลงจากรถไฟ ฝ่ายหญิงจึงรู้สึกว่า ภาพด้านหลังของฝ่ายชายที่เดินหายไปในฝูงชนให้ความรู้สึกว่า เขาช่างโศกเศร้า อมทุกข์เหลือเกิน
สุดท้าย--- ในแง่มุมภาษาญี่ปุ่น ทำไมมีการตีความแตกต่างกันได้แบบนี้
เพราะการละคำบางคำในประโยคไงครับ ซึ่งเป็นปกติของภาษานี้อยู่แล้ว แต่คราวนี้ อาจจะด้วยความที่เป็นเนื้อเพลง อาจจะต้องจำกัดจำนวนคำให้สละสลวย ให้ลงตัวกับทำนองที่จะใส่ ก็เลยเกิดเหตุนี้ขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประโยคที่เป็นคีย์หลักเลยก็คือ
私だけ 愛してた
มันตีความว่า 私だけ が愛してた ก็ได้ (อะกินะคงตีความแบบนี้) ซึ่งแปลว่า ฉันฝ่ายเดียวเท่านั้น ที่เป็นคนที่รัก (อีกฝ่ายไม่ได้รักตอบ)
ในขณะที่เจ้าของเพลง คงต้องการความหมายว่า 私だけ を愛してた คุณรักฉันคนเดียว ... สื่อว่า การแยกทางครั้งนั้น เป็นการเสียสละของฝ่ายชาย หรือเกิดเหตุอะไรสักอย่างที่ฝ่ายชายต้องยอมเลิกกันทั้งที่เขายังรักฝ่ายหญิงอยู่
อีกประโยค คือ
後ろ姿がやけに哀しく 心に残る
ภาพด้านหลัง (ของเขา) ทิ้งความรู้สึกเศร้าไว้ในใจ
คำถามคือ ใครเศร้า
แบบอะกินะ- ทิ้งความรู้สึกให้ฝ่ายหญิงเศร้า
แบบทะเกะอุจิ มะริยะ- ทิ้งความรู้สึกให้ฝ่ายหญิงรู้สึกว่า ฝ่ายชายยังคงจมอยู่ในความเศร้า
จบประเด็นของภาษาญี่ปุ่นครับ
ประมาณนี้ครับ ใครคิดเห็นยังไงบ้างก็มาแลกเปลี่ยนกันได้ ผมเองก็ไม่กล้าฟันธงนะครับว่าผมตีความถูกต้องทั้งสองเวอร์ชัน เพียงแต่พอฟังเปรียบเทียบกันแล้วก็รู้สึกถึงอารมณ์ของเพลงในทั้งสองเวอร์ชันได้ในแบบที่วิเคราะห์มานี้