คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
"เราไม่มีเวลามากพอที่จะอ่าน นส และแม้มีเวลาก็ไม่อ่าน มันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่สิ่งที่สนใจเลยแม้แต่นิด แล้วมันก็หมดไฟในการเรียนไป"
ประโยคนี้ทำให้ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง เพราะความรู้สึกนี้ ถ้าไม่เกิดขึ้นจริง มันน่าจะจินตนาการไม่ออก บอกเป็นคำพูดไม่ได้หรอก จึง login เข้ามาเพื่อตอบเม้นเลย
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันใกล้เคียงกับชีวิตจริงของผมส่วนนึง
อย่างแรกผมขอเม้นเหมือนกับเม้นของคุณ"รักกันไป^^รักกันมา
จขกท.เป็นคนที่มีความคิดความอ่านเกินวัยไปพอสมควร สำหรับบางคนรู้จักแต่คำว่ารักพ่อรักแม่ เพราะประสบการณ์ชีวิตมีมาแค่นั้น แต่สำหรับบางคนมีประมันมีคำว่าเคารพอยู่ แต่คำว่า"รัก"กลายไปเป็นคำว่า"ชินชาและหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำ"
สำหรับใครที่ดูหมิ่นความคิดของคนอื่น(บางคน) ที่ไม่เหมือนกับตัวเอง กลับไปพิจารณาตัวเองนะ คนประเภทไหนที่ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ด่วนตัดสินคนอื่นไปก่อนโดยที่ไม่พิจารณาให้รอบคอบ (แต่ผมว่าคนแบบนั้น คิดเองไม่ได้หรอก)
สำหรับ จขกท. วันนึงที่ความรู้สึกที่มีต่อคุณแม่ในปัจจุบัน จะเปลี่ยนไปได้ มี 2 กรณี
1.แม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องมาพึ่งพาคุณ คุณก็จะกลับไปสานสัมพันธ์ต่อเพิ่มอีกได้
2.แม่พึ่งพาคุณไม่สิ้นสุดและหนักขึ้น จนในที่สุดคุณจะเกลียดแม่ไปเลย
ณ วันนี้ คือ
A. ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไม่เอาสิ่งที่แม่พูดมาใส่ใจ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยที่ไม่อึดอัดจนเกินไป เพราะที่คุณทำอยู่ปัจจุบันถือว่าไม่แย่และทำได้ แต่ต้องระวังคำพูด/การกระทำนิดนึง ไม่จำเป็นต้องไปต่อปากต่อคำ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร (อย่างที่เคยพูดว่า "ถ้าไม่คืน รอบหน้าก็พูดเลยว่าขอ" คำนี้คนฟังเจ็บปวดเอาเรื่อง)
B. เป็นนางเอกไปเลย ขวนขวายถีบตัวเอง(ด้วยความสุจริต) ถวายพานให้แม่ เคลียร์ภาระทั้งหมดไปเลย ด้วยใจบริสุทธิ์ และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนจนเกินไป(ความกดดันที่เหมาะสม จะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่สมเหมาะ)
จากเรื่องที่เล่า ผมว่าแม่ของคุณ หวังดีต่อคุณนะ ไม่ได้หวังแต่จะให้คุณไปแก้ปัญหาให้(รวมถึงสามีแม่ด้วย) แต่กระบวนการและความสามารถในการแก้ปัญหาของแม่นั้นขาดประสิทธิภาพเท่านั้นเอง อาจเกิดจากการขาดความรู้และขาดทัศนคติที่ตรงโจทย์
แฟนคุณ ชายที่ไม่ยุ่งกับเงินแฟน ให้เงินใช้ด้วยโดยที่เราไม่เอ่ยขอ ให้คำปรึกษา มีแผนชีวิต คิดจะดำรงค์วัฒนธรรมประเพณีที่งดงามของไทย ผมว่าใช้ได้เลย ส่วนรายละเอียดอื่นก็ว่ากันเป็นเรื่องๆไป ยกเว้น มั่วกาม/ยาเสพติด/การพนัน ถ้าใครมีเรื่องนั้น=ที่สุดแห่งความฉิ_หา_
อย่างไรก็ตาม อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน
หวังว่าคุณจะไม่กลับไปคิดสั้น หวังว่าคุณจะมีอิสระภาพพอที่จะฉุดแม่ให้พ้นจากบ่วงทุกข์ หวังว่าคุณจะกลับไปรู้สึกรักและสนิทกับแม่ได้ หวังอย่างที่สุดว่าจะไม่เกินเลยไปถึงขั้นเกลียดแม่
คุณอายุยังไม่มาก สู้ต่อไปด้วยความสนุก ฝึกปล่อยวางขึ้นไปอีกขั้นและอีกขั้นและอีกขั้น... เป็นกำลังใจให้นะครับ
ประโยคนี้ทำให้ผมคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริง เพราะความรู้สึกนี้ ถ้าไม่เกิดขึ้นจริง มันน่าจะจินตนาการไม่ออก บอกเป็นคำพูดไม่ได้หรอก จึง login เข้ามาเพื่อตอบเม้นเลย
ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันใกล้เคียงกับชีวิตจริงของผมส่วนนึง
อย่างแรกผมขอเม้นเหมือนกับเม้นของคุณ"รักกันไป^^รักกันมา
จขกท.เป็นคนที่มีความคิดความอ่านเกินวัยไปพอสมควร สำหรับบางคนรู้จักแต่คำว่ารักพ่อรักแม่ เพราะประสบการณ์ชีวิตมีมาแค่นั้น แต่สำหรับบางคนมีประมันมีคำว่าเคารพอยู่ แต่คำว่า"รัก"กลายไปเป็นคำว่า"ชินชาและหน้าที่ของลูกที่พึงกระทำ"
สำหรับใครที่ดูหมิ่นความคิดของคนอื่น(บางคน) ที่ไม่เหมือนกับตัวเอง กลับไปพิจารณาตัวเองนะ คนประเภทไหนที่ไม่รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา ด่วนตัดสินคนอื่นไปก่อนโดยที่ไม่พิจารณาให้รอบคอบ (แต่ผมว่าคนแบบนั้น คิดเองไม่ได้หรอก)
สำหรับ จขกท. วันนึงที่ความรู้สึกที่มีต่อคุณแม่ในปัจจุบัน จะเปลี่ยนไปได้ มี 2 กรณี
1.แม่สามารถยืนด้วยตัวเองได้ ไม่ต้องมาพึ่งพาคุณ คุณก็จะกลับไปสานสัมพันธ์ต่อเพิ่มอีกได้
2.แม่พึ่งพาคุณไม่สิ้นสุดและหนักขึ้น จนในที่สุดคุณจะเกลียดแม่ไปเลย
ณ วันนี้ คือ
A. ช่วยเท่าที่ช่วยได้ ไม่เอาสิ่งที่แม่พูดมาใส่ใจ เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด โดยที่ไม่อึดอัดจนเกินไป เพราะที่คุณทำอยู่ปัจจุบันถือว่าไม่แย่และทำได้ แต่ต้องระวังคำพูด/การกระทำนิดนึง ไม่จำเป็นต้องไปต่อปากต่อคำ เพราะมันไม่เกิดประโยชน์อะไร (อย่างที่เคยพูดว่า "ถ้าไม่คืน รอบหน้าก็พูดเลยว่าขอ" คำนี้คนฟังเจ็บปวดเอาเรื่อง)
B. เป็นนางเอกไปเลย ขวนขวายถีบตัวเอง(ด้วยความสุจริต) ถวายพานให้แม่ เคลียร์ภาระทั้งหมดไปเลย ด้วยใจบริสุทธิ์ และไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อนจนเกินไป(ความกดดันที่เหมาะสม จะช่วยให้เกิดการพัฒนาที่สมเหมาะ)
จากเรื่องที่เล่า ผมว่าแม่ของคุณ หวังดีต่อคุณนะ ไม่ได้หวังแต่จะให้คุณไปแก้ปัญหาให้(รวมถึงสามีแม่ด้วย) แต่กระบวนการและความสามารถในการแก้ปัญหาของแม่นั้นขาดประสิทธิภาพเท่านั้นเอง อาจเกิดจากการขาดความรู้และขาดทัศนคติที่ตรงโจทย์
แฟนคุณ ชายที่ไม่ยุ่งกับเงินแฟน ให้เงินใช้ด้วยโดยที่เราไม่เอ่ยขอ ให้คำปรึกษา มีแผนชีวิต คิดจะดำรงค์วัฒนธรรมประเพณีที่งดงามของไทย ผมว่าใช้ได้เลย ส่วนรายละเอียดอื่นก็ว่ากันเป็นเรื่องๆไป ยกเว้น มั่วกาม/ยาเสพติด/การพนัน ถ้าใครมีเรื่องนั้น=ที่สุดแห่งความฉิ_หา_
อย่างไรก็ตาม อนาคตไม่มีอะไรแน่นอน
หวังว่าคุณจะไม่กลับไปคิดสั้น หวังว่าคุณจะมีอิสระภาพพอที่จะฉุดแม่ให้พ้นจากบ่วงทุกข์ หวังว่าคุณจะกลับไปรู้สึกรักและสนิทกับแม่ได้ หวังอย่างที่สุดว่าจะไม่เกินเลยไปถึงขั้นเกลียดแม่
คุณอายุยังไม่มาก สู้ต่อไปด้วยความสนุก ฝึกปล่อยวางขึ้นไปอีกขั้นและอีกขั้นและอีกขั้น... เป็นกำลังใจให้นะครับ
แสดงความคิดเห็น
แม่พูดว่ารับไม่ได้ที่เราปล่อยตัวแบบนั้ เราเสียใจมาก
ตั้งแต่เราเกิดได้เดือนแรกเราได้ย้ายไปอยู่กับพ่อเลี้ยง(เป็นน้าของแม่แท้ ๆ เราเอง)และแม่เลี้ยง เราเรียกคนที่เป็นแม่แท้ ๆ ว่าพี่มาโดยตลอดและเรารู้เรื่องทั้งหมดตอน ป.3 แต่ไม่ได้ใส่ใจอะไรด้วยความเป็นเด็กอะก็คือรับรู้แล้วจบ พ่อเลี้ยงและแม่เลี้ยงดูแลเราดีมาก และเราก็รักท่านมาก ๆ จนกระทั่งอายุ 16 ปี เราขึ้น ม.4 ได้เทอมแรกก่อนจะจบภาคเรียนนั้นแม่เลี้ยงเราได้เสียชีวิตลงและทางพ่อเลี้ยงได้มีภรรยาใหม่ ยายจึงขอให้เราย้ายมาอยู่บ้านยายซึ่งแม่แท้ ๆ ก็อยู่ด้วย แต่พ่อเลี้ยงยังรับผิดชอบเรื่องค่าเทอมและเงินไปกินที่โรงเรียนเหมือนเดิมแต่เมื่อขึ้น ม.5 เราก็เริ่มทำงานหลังเลิกเรียนเองพ่อก็หยุดให้เงินไป เราจ่ายทุกอย่างเองหมดค่าเรียนค่ากินบวกกับกู้ กยศ ตอนนั้นได้เป้นค่าครองชีพเดือนละ 1200 บาท แรก ๆ ที่เราย้ายมา แต่จะมีแม่ขอรับหน้าที่จ่ายค่าข้าวกลางวันที่โรงเรียนให้แทนพ่อเลี้ยง ช่วงแรก ๆ เขาให้เรา 70 - 100 บาท หลัง ๆ เราก็ขอเขามาแค่ 20 บาท คือกินข้าว 1 จานเท่านั้น เนื่องจากแม่มีหนี้สินรายวันดอกสูงเยอะมากเราจึงไม่อยากรบกวน แต่เมื่อเราทำงานแม่มักยืมเงินบ่อย ๆ ส่วนมากก็ไม่ได้คืนเราก็ไม่ได้คิดมากอะไร แต่ก็บอกเขาว่าถ้าจะไม่คืนรอบหน้าก็พูดเลยว่าขอ ถ้าบอกว่ายืมคนมันก็คาดหวังว่าจะได้คืน ถ้ายืมเยอะ ๆ คือไม่ได้คืนแน่นอน ถ้ายืมแค่ 100-300 ยังมีโอกาสได้คืนบ้าง เรามักมีปัญหากับแฟนของแม่(ไม่ใช่พ่อแท้ ๆ) แต่ก็พยายามเข้าใจว่าเขาคงเป็นห่วงเพราะเห็นเราเก็บตัวเนื่องจากเรื่องที่แม่เลี้ยงเสียชีวิต แต่จริง ๆ เราก็แค่ไม่คุ้นชินกับบ้านนี้เท่านั้น เขามักชอบบังคับให้ไปกินข้าวพร้อมกันหรือไปไหนมาไหนด้วย ซึ่งตัวเราไม่ได้เป็นคนมีเอเนอร์จี้เยอะแยะ และไม่ชอบสุงสิงกับใครมานานแล้ว เราก็พยายามอธิบายให้เขาฟังว่าเราเป็นคนแบบไหนชอบแบบไหน อยากให้เขามีความพอดีหรือขอบเขตในการลุกล้ำพื้นที่ส่วนตัวของเรา(รวมถึงความรู้สึก) เราพยายามปรับตัวให้เข้ากับทุกคนให้ได้ แต่บางทีมันก็รู้สึกเหนื่อยจนอยากให้เขาปล่อยเราไปอยู่เงียบ ๆ บ้าง มักจะทะเลาะกันบ่อย ๆ เพียงเพราะเราหน้านิ่ง และ ขก พูด เขาชอบคิดว่าเรามีอะไรในใจแต่ไม่พูด แต่จริง ๆ เราไม่มีอะไรเลย ก็แค่ไม่รู้จะพูดอะไรก็นั่งเงียบ ๆ
บรรทัดนี้เป็นสรุปเนื้อหาข้างบนสำหรับคนขี้เกียจอ่าน
เราอยู่บ้านพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงซึ่งเป็นญาติของแม่แท้ ๆ ตั้งแต่เกิด ตอนอายุ 16 แม่เลี้ยงเสียชีวิต ทางบ้านแม่แท้ ๆ ให้เราย้ายมาอยู่ด้วย ตั้งแต่ย้ายมาเราเริ่มกู้เรียนและทำงานหลังเลิกเรียน ไม่ได้ขอเงินใครอีกเลย แม่แท้ ๆ มักยืมเงินจ่ายหนี้สินของตัวเอง คืนบ้างไม่คืนบ้าง เราไม่ถือสา และเรามักทะเลาะกับแฟนแม่บ่อย ๆในช่วงแรก
ถ้า ขก อ่านเพิ่มเติมไปอ่านสรุปในย่อหน้าถัดไปได้ค่ะ
เราไม่ได้เป็นเด็กเรียนดีแต่เกรดก็อยู่ที่ 3.2+ ตลอดไม่เคยตกและยังทำงานหลังเลิกเรียนไปด้วย ด้วยความที่นิสัยเราหรืออะไรก็ตาม และเราไม่มีแฟนทำให้หลาย ๆ คนที่ได้เจอเรามักจะไปชมให้แม่ฟังว่าเราเป็นเด็กดี น่ารักเรียบร้อยนอบน้อมพูดเพราะต่าง ๆ เราพอจะดูออกว่านั่นมันทำให้แม่รู้สึกพราวในตัวเราล่ะมั้ง เรามีพี่ชาย 1 คนแต่เลิกเรียนไปตั้งแต่ ม.ต้น ไม่ได้นิสัยแย่อะไรเป็นคนปกติแค่ ขก เรียนเพราะเรียนไม่เก่งมาก ๆ และมั้งบ้านนั้นจะมีเด็ก ๆ คนอื่นอีก ซึ่งเหมือนเราจะเป็นผู้เป็นคนที่สุดในบ้าน อีกทั้งป้าข้างบ้านชอบอวยเรา เทียบกับลูกเขาอีกด้วย(เห็นใจน้อง นี่ว่าน้องไม่ได้ทำอะไรที่ไม่ดีเลยน้องแค่มีความสุขในแบบของตัวเอง) เหมือนยิ่งมีคนชมแม่คงยิ่งรู้สึกดี ทั้งที่เค้าก็ไม่ได้เลี้ยงเราให้เรามาเป็นคนแบบนี้ แต่เป็นอีกบ้านนึงต่างหาก เราต้องยอมรับว่านิสัยเราบางส่วนก็เหมือนกับแม่มาก ๆ แต่เราไม่ได้เป็นคนที่เก็บอารมณ์ไม่อยู่ เราใจเย็นกว่าแม่มากแต่เราก็เป็นคนอารมณ์ร้อน คือมันเดือดอยู่ในใจแต่คนดูไม่ออกว่ากำลังหงุดหงิดมาก ๆ คงเพราะได้ประสบการณ์หลาย ๆ อย่างจากการทำงานและเรียนในสังคมใหม่ ๆ ทั้งเราทั้งแม่จะเรียกว่าพึ่งพาอาศัยกันหรือเปล่าอะไรก็ไม่รู้อะ แต่ทางเราก็ให้เงินเขาไปเยอะ ส่วนตัวเขาก็มักจะให้เราทั้งที่เราก็ไม่ได้ขอ เขามักจะพยายามทำหน้าที่แม่ เราก็สนิทกับเขามากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ด้วยความที่นิสัยหรือความคิดส่วนใหญ่ไม่ตรงกัน ทำให้เราเริ่มเฉย ๆ กับเขาไป แต่ใจเราก็ยังหวังดีกับแม่เขาเสมอ เราพร้อมยื่นมือไปช่วยทุกครั้งที่เขาขอ แม้เราจะแทบไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย และเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเขารู้ตัวหรือเปล่า แต่ตัวแม่เองก็คงหวังดีกับเราเหมือนกัน เราไม่โกรธที่เขามักยืมเงินไปใช้หนี้แล้วไม่คืน เราเข้าใจว่าตัวเขาก็เครียด เราแทบจะไม่เคยทวงนอกจากเรามีเรื่องต้องใช้เงิน หรือบางครั้งที่เราไม่มีเงินเราก้กินข้าวด้วยเงินแม่เหมือนกันเราจึงไม่คิดมากอะไร
เรามักพูดกับแม่เสมอว่าเราอยากไปเรียนที่ มอดังแห่งหนึ่งเพราะตัวเราเองก็คาดหวังอนาคตดี ๆ แต่ด้วยหนี้สินของแม่ มันทำให้เราไม่มีทางเลือก ถ้าไม่ทำงานเราก็จะไม่มีเงินกิน เราต้องตัดใจสมัครเข้าเรียนรามจ่ายเองทุกอย่างเหมือนเดิม และทำงานประจำเป็นงานโรงงานซึ่งทำงานหนักพอสมควร ทำให้เราไม่มีเวลามากพอที่จะอ่าน นส และแม้มีเวลาก็ไม่อ่าน มันไม่ใช่สิ่งที่อยากทำ ไม่ใช่สิ่งที่สนใจเลยแม้แต่นิด แล้วมันก็หมดไฟในการเรียนไป เพราะแค่ทำงานมาก็หนักแล้ว ไม่มีอารมณ์จะอ่าน นส เลยสุดท้ายก็ลาออก
และเมื่ออายุ 20 ปีเราได้มีแฟนค่ะ (เจอกันในที่ทำงาน)และได้ออกมาอยู่บ้านแฟน(จะขอบอกก่อนว่าใจจริงเราอยากจะออกจากบ้านนั้นตั้งแต่ปีแรกที่เข้าไปด้วยหลายๆเหตุ)ทางบ้านแฟนก็เอ็นดูเราดี ถือว่าโชคดีมากเรื่องครอบครัวแฟน แม่เราแสดงออกตลอดว่าไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่เราก็ดูออกอะค่ะ ว่าเขาไม่โอเค แต่เราก็ไม่พูดอะไร จนกระทั่งเราได้ยินเขาพูดว่า เขารับไม่ได้ที่เราปล่อยตัวแบบนี้ .. เราเสียใจกับคำ ๆนี้มากค่ะ (เรามี first time sex กับแฟนคนนี้แน่นอนอยู่แล้วค่ะ)
พี่ชายเราก็มีแฟนตั้งแต่อายุ 17 และได้มีลูกตั้งแต่คบกับแฟนได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ ทำให้แม่ต้องไปหากู้หายืมมาเป็นค่าสินสอดให้ฝ่ายหญิง ในขณะที่เราเรียนจบ ม.ปลาย ไม่มีแฟนเลยสมัยเรียน ถ้าใครบอกว่าเพราะพี่เราเป็น ผช เราจะถือว่าทัศนคติบ้งนะคะ เพราะสุดท้ายแล้วการขาดความรับผิดชอบก็คือขาดความรับผิดชอบค่ะ ไม่มีข้อยกเว้นว่าจะเพศไหน
ตัวแม่เราเองก็มีเราตั้งแต่ 17-18
บรรทัดนี้เป็นสรุปเนื้อหาข้างบนสำหรับคนขี้เกียจอ่าน
แม่รู้สึกพราว ภาคภูมิใจที่ใครก็ชมเรา เอ็นดูเราว่าดีงั้นงี้ จบ ม.6 เราไม่ได้เรียนต่อสืบเนื่องมาจากไม่มีเงินและไม่อยากกู้จึงมาทำงานประจำจนกระทั่งอายุ 20 ปีเรามีแฟนและย้ายมาอยู่กกับแฟน แม่แสดงออกว่าโอเค แต่ไปบอกคนอื่นว่ารับไม่ได้ที่เราปล่อยตัวแบบนี้ เราเสียใจกับคำๆนี้ค่ะ ที่อยู่ในโอวาทมาตลอด 3 ปีนี่เขาคงลืมไปหมด เราเคยดียังไง เคยช่วยอะไร หวังดีกับเขาแค่ไหน
เรา: สนแต่เรื่องเรียนมาตลอดแต่ไม่มีโอกาสได้เรียนต่ออย่างที่หวัง มีแฟนในที่ทำงาน คบกันมานานแล้วในปัจจุบัน วางแผนซื้อรถ เก็บเงิน แฟนไม่เคยแตะต้องเงินเรา เพราะรุ้ว่าที่ผ่านมาเราไม่เคยได้ใช้เงินตามใจตัวเอง แฟนบอกเสมอว่าเอาไว้ใช้เองเลยและแฟนก็มักจะให้เงินไว้ใช้เสมอ ตอนที่แฟนรู้ว่าเราอยากเรียนต่อเขาก็หาลู่ทาง คำนวณเรื่องการเงินให้ บอกจะให้เราหยุดทำงานแล้วกลับไปเรียน (แต่มีโควิดเข้ามาพอดีและกระทบกับการเงินจึงพับเก้บแผนไปก่อน) แต่ตอนนี้เรามีโอกาสได้เรียนต่อในระดับ ปวส แม้จะเป็นภาคพิเศษเฉพาะวันอาทิตย์ก็ตาม เราได้กินอะไรตามใจตัวเองมากขึ้น ทั้งที่ตอนอยุ่บ้านตัวเองเรามองไม่เห็นทางสว่างของชีวิตเลยเราไม่ได้คิดว่าตัวเราในตอนนนี้น่าผิดหวังเลย มุมมองของเรากว้างมากขึ้น ใจเย็นมากขึ้น พยายามเข้าใจคนอื่นมากขึ้น เข้มแข็งมากขึ้น เราโตขึ้นพอสมควรจากการได้รู้จักกับแฟนคนนี้ ได้ฟังทัสนคติและมุมมองของเขา ทั้ง ๆ ที่เราก็อายุเท่ากัน ครอบครัวเราสองคนต่างกันมาก ฝั่งบ้านแฟนคือทำอะไรก็ดูนุ่มนิ่มอบอุ่นไไปหมด ในขณะที่บ้านเราอยู่เป็นครอบครัวใหญ่แต่ก้แยกกันอยู่ ไม่ชอบกัน
แต่เราก็เสียใจที่เขาพูดแบบนั้นเราสับสนมาตลอดหลาย ๆครั้งที่เขาขอความช่วยเหลือจากเรา แม้บางครั้งเราไม่มีกำลังมากพอที่จะช่วยแต่เราก็ฝืนตัวเองเพื่อจะช่วยเขา มันทำให้เราคิดว่า เราเป็นที่พึ่งสุดท้ายที่เขานึกถึงตอนที่มันจนปัญญาแล้วจริง ๆ หรือจริง ๆ บางทีเขาก็เครียดจนลืมไปว่าเขาควรทำอะไร ควรมาทำให้เราจิตตกไปด้วยมั้ย เราจิตตกจนเคยคิดสั้นแต่เพื่อนก็ช่วยไว้ จนกระทั่งวันนี้ความสับสนที่ว่าเขาหวังดีกับเรารู้สึกผิดกับเราหรือไม่กันแน่ มันก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
จนวันนี้เราไม่ลังเลที่จะตั้งคำถามว่า เขานึกถึงใจเราบ้างมั้ย สงสารเราบ้างมั้ย เห็นใจเราบ้างมั้ย
ทุก ๆเรื่องที่ทำให้เขาเครียดหรือไม่มีความสุขก็เกิดจากการกระทำของตัวเขาเองทั้งนั้น แล้วทำไมเราต้องเอาตัวเองไปอยุ่จุดเดียวกับเขาด้วย จิตใต้สำนึกเรามันเริ่มถอดเขาออกจากคำว่าแม่มากขึ้นเรื่อย ๆ มันมีรายละเอียดยิบย่อยมากมายในช่วง 3-4 ปีที่อยุ่ด้วยกันมา เราไม่เคยอยากคิดอะไรไม่ดีกับเขา พูดกับตัวเองเสมอว่าเขาคือแม่ แต่เขาก้ทำให้เราเสียใจและผิดหวังในตัวเขาได้ซ้ำ ๆ เสมอ
ใครเอาเรื่องบาปกรรมหรือบอกให้ยอมรับเพราะเขาคือแม่ผู้ให้กำเนิด มีบุญคุณอะไร ขอไม่รับฟังนะคะ
เราไม่รู้ว่าในอนาคตเราจะมีลูกมั้ย แต่ถ้าเรามีเราจะไม่ทำให้ลูกต้องมาเป็นแบบที่เราเป็น
เราเชื่อว่าบางครั้งเขาก็รู้สึกผิดที่ทำให้ชีวิตเรามันไปไหนไม่ได้ แต่เหมือนบางครั้งตัวเขาก็คิดมากจนคิดว่าช่างเถอะไปเลยอะ ทั้งที่ตัวเรามันไม่ได้ช่างไปกับเขาด้วยไง
และถ้าเขาได้อ่านและรู้ตัวว่าเป็นเขาเราขอบอกตรงนี้เลยว่าเรารักและหวังกับเขามาก ๆ พ่อเลี้ยงที่เลี้ยงเรามา 16 ปี ไม่เคยได้อะไรจากเราเลย แต่กับคุณเราให้ทุกอย่าง ถ้าไม่เชื่อในความหวังดีที่เรามีต่อคุณเสมอก็พอแค่นี้แล้วค่ะ ต่อไปอย่าคาดหวังอะไรจากตัวเราอีกนะคะ ถ้าตัวเรามันทำให้คุณต้องรู้สึกผิดหวัง