เล่าอย่างย่อคือเมื่อหลายปีก่อน จขกท.โดนไม้ลูกชิ้นทิ่มเท้า ไปรพ.เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก
โดนหมอจับกรีดเปิดปากแผลมาล้าง ล้างแผลอยู่หลายวัน จนแผลเหมือนจะหาย แต่ติดเชื้อซ้ำ
ต้องกรีดใหม่อีกรอบ คราวนี้รักษาแผลนานกว่าเดิม เพราะแผลใหม่ลึกและกว้างขึ้น
เป็นแผลอยู่นานกว่าจะหาย ใช้ชีวิตลำบากมาก เดินไม่ถนัด และแผลห้ามโดนน้ำ ต้องไปล้างแผลที่รพ.ทุกวัน
ผลข้างเคียงที่ตามมาหลังจากแผลหายคือนิ้วเท้าบวมง่ายเวลายืนนานๆ หรืออยู่ในที่อากาศร้อน
เพราะหลอดเลือดขยายตัว เป็นอยู่หลายเดือนถึงเป็นปีกว่าจะกลับมาปกติ
ข้างล่างนี้คือเล่ารายละเอียดและภาพประกอบนิดหน่อยค่ะ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับใครในอนาคต
(ถ้าขี้เกียจอ่าน โปรดข้ามส่วนนี้ไปอ่านสรุปตัวหนาตอนท้ายเลยนะคะ)
จขกท.เป็นคนชอบใส่รองเท้าแตะ โดยเฉพาะแตะคีบ เพราะเบาสบายเท้า ไปไหนมาไหนใกล้ๆ จะใส่แตะตลอด
เมื่อต้นปี 60 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม้ลูกชิ้นทิ่มเท้า
วันนั้นเราออกไปทำธุระหน้าหมู่บ้าน เสร็จธุระก็แวะไปซื้อของที่ตลาดก่อนเข้าบ้าน
ระหว่างทางไปตลาดจะเป็นฟุตบาทที่ชอบมีแม่ค้ามาตั้งแผงขายของ จำพวกของเสียบไม้ย่าง
ปกติเราเป็นคนค่อนข้างระวัง เดินมองทางตลอด ไม่เคยก้มดูมือถือหรืออะไรเลย
วันนั้นไม่รู้ยังไง อาจจะเหม่อนิดหน่อย ไปเตะเอาไม้ลูกชิ้นเข้า
คือเดินอยู่ดีๆ รู้สึกเจ็บจี๊ด เหมือนมีไม้อะไรแหลมๆ จิ้มเข้าที่มุมนิ้วโป้งเท้าซ้าย
พอก้มดู ไม้ก็กระเด็นหายไปแล้ว มองหา เจอไม้ลูกชิ้นไม้หนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ
จากที่ดู มันคงจะวางอยู่ในท่าขวาง (แบบเฉียงๆ) พอเท้าขวาเราก้าวไปเหยียบเอาโคนไม้ด้านทู่
ปลายไม้ด้านแหลมก็กระดกขึ้นมาในท่ารอจิ้ม พอเท้าซ้ายก้าวตาม นิ้วเท้าก็ไปจิ้มถูกปลายแหลมที่รออยู่พอดี
ตอนนั้นเจ็บเหมือนกัน เริ่มมีเลือดซึมออกมานิดๆ เรารีบเอาทิชชู่เปียกเช็ด แล้วพยายามบีบเลือดออก
เพื่อให้พวกฝุ่นกับเชื้อโรคออกมากับเลือด บีบแล้วเช็ดอยู่งั้นจนเลือดแทบไม่ออกแล้ว
จากนั้นปิดพลาสเตอร์ แล้วเดินไปตลาดซื้อของต่อ
(ที่จริงหลังจากขั้นตอนนี้ ควรรีบกลับบ้านไปล้างแผลให้สะอาดแล้วใส่ยาให้เรียบร้อยจะดีกว่า)
ซื้อของอยู่ประมาณ 15 นาทีก็กลับบ้านไปล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่หลายๆ รอบ แล้วใส่ยาเบตาดีน+ปิดพลาสเตอร์ไว้
เวลาผ่านไป ไม่มีอะไรผิดปกติ จุดที่โดนจิ้มก็หายเจ็บแล้ว แต่คืนนั้นอยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องบาดทะยัก
รู้สึกกังวล วันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์) เลยไปรพ.รัฐใกล้บ้าน ขอฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก
(นิ้วเท้าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ปิดพลาสเตอร์ไว้กันสกปรก)
เจ้าหน้าที่ให้พบหมอ เป็นหมอเวร อายุน้อย หมอถามว่าโดนอะไรมา
เรา: โดนไม้ลูกชิ้นค่ะ แผลนิดเดียว ไม่เป็นอะไร แต่กลัวบาดทะยัก เลยจะมาฉีดวัคซีน...
หมอ: โดนมาเมื่อไหร่
เรา: เมื่อวานค่ะ
หมอ: กี่โมง
เรา: ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ค่ะ ประมาณ 4 โมงได้
หมอ: (ชำเลืองมองพลาสเตอร์ปิดแผล 1 วูบ) เนี่ย ต้องกรีดแผลออกมาล้างนะ
เรา: ห๊ะ
หมอ: อื้อ
เรา: หมอคะ มันจิ้มแค่ผิวๆ นะคะ ไม่ได้ลึกขนาดนั้น ยังไม่ทันเป็นแผลด้วยซ้ำ
หมอ: ก็นั่นแหละ เชื้อบาดทะยักนั่นแหละมันเข้าไปแล้วไม่มีทางออก
เดี๋ยวก็จะอักเสบอยู่ในนั้น แล้ว..... (หมอพูดอะไรต่ออีกสัก 1-2 ประโยค จำไม่ได้แล้ว)
เรา: แต่...
หมอ: (เขียนใบอะไรสักอย่าง ยื่นให้บุรุษพยาบาลที่พาเราเข้ามาในห้องตรวจตอนแรก) ไปห้องฉุกเฉิน
นึกในใจ เฮ้ยย แค่จะฉีดวัคซีนเฉยๆ มันมาถึงขั้นนี้ได้ไง
ออกจากห้องตรวจ บุรุษพยาบาลยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เรา แล้วชี้บอกทางให้เราเอาไปยื่นที่ห้องฉุกเฉิน
ตอนนั้นลังเลมาก รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นแบบนี้
แต่ฟังที่หมอพูดแล้วกลัวนิดหน่อย เหมือนว่าถ้าไม่กรีดมาล้างข้างใน ถึงฉีดวัคซีนไปก็ไม่ช่วยอะไร
ระหว่างรอ โทรไปปรึกษาแม่ แม่บอกว่าถ้าหมอสั่งให้ทำก็แสดงว่ามันจำเป็นต้องทำแหละ ก็ทำเถอะ
(แต่สิ่งที่เราลืมบอกแม่คือ หมอสั่งกรีดโดยไม่ได้แกะพลาสเตอร์ออกมาดูเลย)
ตอนแรกนึกว่ากรีดออกมาล้างครั้งเดียว ปิดแผล จบ อย่างมากก็ล้างแผลต่ออีก 3-4 วันก็หาย
ปรากฏว่าทำแผลแบบ I&D คือเอาผ้าก๊อซเล็กๆชุบยา ยัดไว้ในแผล
ซึ่งแผลแบบนี้เวลาล้างจะเจ็บมากที่ขั้นตอนการยัด แล้วต้องมาล้างแผลเปลี่ยนผ้าก๊อซทุกวัน
เป็นอะไรที่เจ็บทรมานมาก และการมีแผลที่เท้าทำให้ชีวิตลำบากเหลือเกิน
กลับมาบ้าน หลังกรีด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ล้างแผลวันแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แผลไม่ลึก คะเนด้วยสายตาตอนยัดก๊อซ น่าจะลึกประมาณครึ่งซม.
ระหว่างที่ล้างแผลไม่เคยมีหนองเลย ดึงก๊อซเดรนออกมามีแต่เลือด
วันที่ 3 ของการล้าง พยาบาลบอกว่าไม่ต้องยัดแล้ว
ช่วงวันที่ 4-5 ได้ เจอพยาบาลทำแผลคนนึงไม่ระวังเรื่องความสะอาดเลย
ทำสำลีหล่นพื้น แทนที่จะทิ้งไว้ก่อน ทำแผลเสร็จค่อยเก็บทิ้งทีเดียว
ดันก้มเก็บมาทิ้งขยะ แล้วลงมือทำแผลให้เราต่อ
ไม่รู้ตอนที่เก็บ มือโดนพื้นรึเปล่า เราท้วงไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เราจิตตกไปหลายวันด้วยความกังวลเรื่องนี้
และไม่รู้ว่านี่เป็นสาเหตุให้แผลเราติดเชื้อในภายหลังรึเปล่า หรืออาจจะไม่เกี่ยว
เราไปล้างแผลที่รพ.ทุกวันอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ได้
จนแผลแห้ง พยาบาลให้ซื้ออุปกรณ์ไปล้างเองที่บ้านต่ออีก 3-4 วัน
หลังจากนั้นก็ให้เปิดแผลโดนน้ำ ใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
ผ่านไปหลายวัน ตรงที่เคยเป็นแผลเริ่มไม่ค่อยดี
มันบวมแดงแปลกๆ รอบปากแผล และเจ็บจี๊ดๆ ข้างใน เหมือนจะติดเชื้อ
สังเกตอยู่หลายวันจนรู้สึกว่าผิดปกติแน่ๆ เลยไป รพ.
สภาพนิ้วเท้าตอนตัดสินใจไป รพ. อีกครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คราวนี้เปลี่ยนที่ ไปรพ.เอกชนที่รักษาประจำ พบหมอศัลแพทย์โดยตรง
หมอลองกดตรงแผลดู ใช้มือกดไม่เจ็บ ใช้ forceps กดแรงๆ ถึงเจ็บ
หมอบอกว่ากดดูแล้วไม่น่ามีอะไรข้างใน ที่แดงนี่อาจจะมีเชื้อแบคทีเรียค้างอยู่
แล้วก็ส่งไปเอ็กซเรย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอะไรตกค้างข้างใน
ผลออกมาว่าไม่มี หมอเลยจ่ายยาปฏิชีวนะ Clindamycin 300mg ให้ 1 อาทิตย์
แล้วบอกว่าถ้าไม่หายต้องมากรีดเปิดปากแผลซ้ำ กินยาสัก 2-3 วันก็รู้เรื่องแล้ว ไม่หายให้รีบมา ไม่ต้องรอครบอาทิตย์
ตอนนั้นลุ้นมาก กินยาไปได้ 5 วัน ไม่ดีขึ้น เลยกลับไป รพ.
ไม่เจอหมอคนเดิมเพราะเข้าแค่สัปดาห์ละครั้ง เลยเปลี่ยนเป็นหมอที่อยู่ประจำทุกวัน
หมอคนใหม่กรีดเปิดปากแผลให้ คราวนี้ต้องกรีดเข้าไปลึกและกว้างกว่าเดิม
+ ถอดเล็บด้านข้างออกไปนิดนึง เพราะเจ็บแนวข้างเล็บ มันขบเนื่องจากนิ้วบวม
หมอบอกว่าไม่เจอสิ่งแปลกปลอมอะไรในแผล แต่มีหนองข้างในนิดหน่อย
หลังจากนั้นไปทำแผลยัดผ้าก๊อซทุกวันที่รพ. + กินยาฆ่าเชื้อที่หมอจ่ายให้ (UNASYN 750mg 2เวลา) ติดต่อกัน 12 วัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หมอนัดดูแผลเป็นระยะ (ครั้งแรก 5 วันหลังกรีด ครั้งต่อๆไป ทุก 1 อาทิตย์)
มีหนองเล็กน้อยอยู่แค่ 4-5 วันแรกหลังกรีด หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้ว
แต่ยัดผ้าก๊อซอยู่นานเพราะเราขอหมอเอง กลัวมีหนองค้างข้างในแล้วต้องมากรีดใหม่อีก หลอนมาก
หมอตรวจดูแผลทุกครั้งก็บอกว่าแผลดีขึ้นเรื่อยๆ (แต่เหมือนจะหายช้านิดนึง)
นัดครั้งสุดท้ายวันที่ 6 มีค หมอบอกไม่ต้องยัดแล้ว หลังจากนั้นให้ไปทำแผลเองที่บ้านได้ อีกสักอาทิตย์นึงน่าจะหายดี
เราก็ทำแผลวันเว้นวันมาเรื่อยๆ แผลก็ค่อยๆ สร้างเนื้อจนตื้นขึ้นมาทีละน้อย
แต่ระหว่างนั้นเท้าข้างที่เป็นแผลก็ยังบวมๆ เวลาเดินหรือยืน
และออกสีเข้มๆ แดงๆ ดูน่ากลัว เมื่อเทียบกับอีกข้างที่ปกติ +ยังเจ็บจี๊ดๆ ข้างใน ต้องคอยยกเท้าสูงเป็นระยะ
จนวันที่ 19 มีค มีเหตุจำเป็นให้ต้องยืนนานหน่อย รู้สึกว่าเท้าบวมแดงดูน่ากลัวมาก คิดว่ามันไม่น่าจะปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่20 เลยกลับไปหาหมอ หมอดูแผลแล้วบอกว่าแผลดี เราถามว่ามันติดเชื้อรึเปล่า
หมอบอกว่าไม่ติด ปกติดี กดดูก็ไม่มีอะไร ไม่เจ็บ กดทั่วนิ้วเลย
(ที่ว่าเจ็บแผลคือ บทจะเจ็บ มันก็เจ็บขึ้นมาเอง บทจะไม่เจ็บ กดยังไงก็ไม่เจ็บ)
เราถามว่าสีเท้าทำไมมันแดงแบบนี้ หมอบอกว่าเวลามีแผล สีมันจะเป็นงี้อยู่แล้ว เพราะหลอดเลือดดำขยายตัว (ดำนะถ้าฟังไม่ผิด)
หมอดึงหนังเก่าแข็งๆ ตรงปากแผลออกให้ แล้วบอกว่าแผลเกือบหายสนิทแล้ว อีกนิดนึง
หมอเห็นเรากังวลกลัวติดเชื้ออีก เลยสั่งตรวจเลือดให้
ตรวจหาค่า ESR (ค่าการอักเสบในร่างกาย) และค่าอื่นๆ อีกนิดหน่อย ผลปกติหมดทุกอย่าง
ไม่นานหลังจากนั้น แผลก็หายสนิท แต่เท้าก็ยังบวมง่ายอยู่เวลายืนนานๆ
โดยเฉพาะในที่อากาศร้อน ถ้าอยู่ในที่เย็นๆ และไม่ยืนนานจะไม่ค่อยเป็นอะไร
สภาพนิ้วเท้า หลังแผลหายสนิทแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยังแดงและบวมง่าย เวลายืนนาน
(เทียบขนาดนิ้วกับเท้าอีกข้างที่ปกติ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนตื่นใหม่ๆ ไม่บวม ดูปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รอยแผลเป็นหลังแผลหาย (คราบดำๆข้างเล็บคือสะเก็ดเลือดตอนถอดเล็บ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากแผลหายสนิทประมาณเดือนนึง เท้าข้างนั้นก็ยังไม่หายบวมง่ายเวลายืน
เรากังวลจนต้องกลับไปหาหมออีกรอบ หมอตรวจดู ทุกอย่างปกติดี ยืนยันว่าไม่ติดเชื้อแล้ว
คราวนี้หมออธิบายให้ฟังค่อนข้างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการหายของแผลและเรื่องของหลอดเลือด
หมอบอกว่าขั้นตอนนี้จะใช้เวลาสามเดือนถึงสองปี เราฟังแล้วตกใจเลย มันนานมาก
แต่ก็ทำให้สบายใจคลายกังวลได้จริงๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
หลังจากนั้นก็พยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติ คอยยกเท้าสูงเวลากลับมาบ้าน
นิ้วเท้าที่ไม่ได้สัมผัสพื้นโดยตรงมานานจะรู้สึกเสียวแปลบเวลาเดิน (โดยเฉพาะตอนบวม)
ต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ กว่าจะกลับมาด้านเหมือนเดิม
หลายเดือนต่อมา อาการบวมง่ายเวลายืนก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กว่าจะหายสนิทก็ใช้เวลาเป็นปี
เราก็จำระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้
ตลอดหลายเดือนของการรักษา นอกจากใช้ชีวิตลำบากแล้ว สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสุขภาพจิต
เราเครียดมาก วิตกกังวล คิดไปต่างๆ นานา ยิ่งหาข้อมูลยิ่งกลัว
กลัวติดเชื้ออะไรที่รักษาไม่ได้ กลัวต้องผ่าซ้ำ กลัวโดนตัดนิ้ว มันเครียดมากจริงๆ สุขภาพจิตเสียหายมาก
สรุปทั้งหมดที่ต้องการจะบอกคือ
1 โปรดเดินระวังไม้ลูกชิ้น (และวัสดุแหลมคมอื่นๆ) บนพื้น โดยเฉพาะคนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ
หลายปีหลังมานี้เราสังเกตว่ามันถูกทิ้งเกลื่อนกลาดบนพื้นตามฟุตบาทเยอะขึ้นมากๆ
2 การมีแผลที่เท้าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเท้าเป็นอวัยวะที่เลือดไหลเวียนไม่ดี
แผลที่เท้าจะหายยากกว่าที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นเบาหวานเรื่องจะซับซ้อนขึ้นไปอีก
โปรดหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดแผลที่เท้าโดยไม่จำเป็น
การยอมให้หมอกรีดแผลในครั้งแรกเป็นการตัดสินใจที่เรารู้สึกว่าผิดพลาดที่สุด และเราเสียใจมากๆ
เราไม่ได้ว่าหมอคนแรกรักษาผิดนะ แต่เรามาทราบภายหลังว่าโดยหลักปฏิบัติ หมอจะดูแลแผล "ตามสภาพ"
ซึ่งหมอคนแรกสั่งกรีดโดยไม่ได้แกะพลาสเตอร์ดูเลยสักนิดว่ามันยังไม่ทันจะเป็นแผลเลย
ถ้าหมอดูดีแล้ว สั่งเหมือนเดิม เราคงไม่เสียใจขนาดนี้ ถึงแม้จะมั่นใจว่าจริงๆแล้วมันไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม
ถ้าเจอกรณีแบบเรา แนะนำให้หา second opinion ก่อน เอาให้แน่ใจว่ามันจำเป็นต้องทำจริงๆ
เพราะ ย้ำว่า การมีแผลที่เท้าเป็นเรื่องใหญ่ โปรดเลี่ยงถ้าไม่จำเป็น ไม่อยากให้ใครต้องมามีประสบการณ์เดียวกับเรา
คนชอบใส่รองเท้าแตะโปรดระวัง ไม้ลูกชิ้นไม้เดียวอาจเปลี่ยนชีวิตคุณได้
โดนหมอจับกรีดเปิดปากแผลมาล้าง ล้างแผลอยู่หลายวัน จนแผลเหมือนจะหาย แต่ติดเชื้อซ้ำ
ต้องกรีดใหม่อีกรอบ คราวนี้รักษาแผลนานกว่าเดิม เพราะแผลใหม่ลึกและกว้างขึ้น
เป็นแผลอยู่นานกว่าจะหาย ใช้ชีวิตลำบากมาก เดินไม่ถนัด และแผลห้ามโดนน้ำ ต้องไปล้างแผลที่รพ.ทุกวัน
ผลข้างเคียงที่ตามมาหลังจากแผลหายคือนิ้วเท้าบวมง่ายเวลายืนนานๆ หรืออยู่ในที่อากาศร้อน
เพราะหลอดเลือดขยายตัว เป็นอยู่หลายเดือนถึงเป็นปีกว่าจะกลับมาปกติ
ข้างล่างนี้คือเล่ารายละเอียดและภาพประกอบนิดหน่อยค่ะ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับใครในอนาคต
(ถ้าขี้เกียจอ่าน โปรดข้ามส่วนนี้ไปอ่านสรุปตัวหนาตอนท้ายเลยนะคะ)
จขกท.เป็นคนชอบใส่รองเท้าแตะ โดยเฉพาะแตะคีบ เพราะเบาสบายเท้า ไปไหนมาไหนใกล้ๆ จะใส่แตะตลอด
เมื่อต้นปี 60 เกิดอุบัติเหตุเล็กน้อย ไม้ลูกชิ้นทิ่มเท้า
วันนั้นเราออกไปทำธุระหน้าหมู่บ้าน เสร็จธุระก็แวะไปซื้อของที่ตลาดก่อนเข้าบ้าน
ระหว่างทางไปตลาดจะเป็นฟุตบาทที่ชอบมีแม่ค้ามาตั้งแผงขายของ จำพวกของเสียบไม้ย่าง
ปกติเราเป็นคนค่อนข้างระวัง เดินมองทางตลอด ไม่เคยก้มดูมือถือหรืออะไรเลย
วันนั้นไม่รู้ยังไง อาจจะเหม่อนิดหน่อย ไปเตะเอาไม้ลูกชิ้นเข้า
คือเดินอยู่ดีๆ รู้สึกเจ็บจี๊ด เหมือนมีไม้อะไรแหลมๆ จิ้มเข้าที่มุมนิ้วโป้งเท้าซ้าย
พอก้มดู ไม้ก็กระเด็นหายไปแล้ว มองหา เจอไม้ลูกชิ้นไม้หนึ่งตกอยู่ใกล้ๆ
จากที่ดู มันคงจะวางอยู่ในท่าขวาง (แบบเฉียงๆ) พอเท้าขวาเราก้าวไปเหยียบเอาโคนไม้ด้านทู่
ปลายไม้ด้านแหลมก็กระดกขึ้นมาในท่ารอจิ้ม พอเท้าซ้ายก้าวตาม นิ้วเท้าก็ไปจิ้มถูกปลายแหลมที่รออยู่พอดี
ตอนนั้นเจ็บเหมือนกัน เริ่มมีเลือดซึมออกมานิดๆ เรารีบเอาทิชชู่เปียกเช็ด แล้วพยายามบีบเลือดออก
เพื่อให้พวกฝุ่นกับเชื้อโรคออกมากับเลือด บีบแล้วเช็ดอยู่งั้นจนเลือดแทบไม่ออกแล้ว
จากนั้นปิดพลาสเตอร์ แล้วเดินไปตลาดซื้อของต่อ
(ที่จริงหลังจากขั้นตอนนี้ ควรรีบกลับบ้านไปล้างแผลให้สะอาดแล้วใส่ยาให้เรียบร้อยจะดีกว่า)
ซื้อของอยู่ประมาณ 15 นาทีก็กลับบ้านไปล้างแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่หลายๆ รอบ แล้วใส่ยาเบตาดีน+ปิดพลาสเตอร์ไว้
เวลาผ่านไป ไม่มีอะไรผิดปกติ จุดที่โดนจิ้มก็หายเจ็บแล้ว แต่คืนนั้นอยู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องบาดทะยัก
รู้สึกกังวล วันรุ่งขึ้น (วันอาทิตย์) เลยไปรพ.รัฐใกล้บ้าน ขอฉีดวัคซีนกันบาดทะยัก
(นิ้วเท้าไม่เป็นอะไรแล้ว แต่ปิดพลาสเตอร์ไว้กันสกปรก)
เจ้าหน้าที่ให้พบหมอ เป็นหมอเวร อายุน้อย หมอถามว่าโดนอะไรมา
เรา: โดนไม้ลูกชิ้นค่ะ แผลนิดเดียว ไม่เป็นอะไร แต่กลัวบาดทะยัก เลยจะมาฉีดวัคซีน...
หมอ: โดนมาเมื่อไหร่
เรา: เมื่อวานค่ะ
หมอ: กี่โมง
เรา: ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ ค่ะ ประมาณ 4 โมงได้
หมอ: (ชำเลืองมองพลาสเตอร์ปิดแผล 1 วูบ) เนี่ย ต้องกรีดแผลออกมาล้างนะ
เรา: ห๊ะ
หมอ: อื้อ
เรา: หมอคะ มันจิ้มแค่ผิวๆ นะคะ ไม่ได้ลึกขนาดนั้น ยังไม่ทันเป็นแผลด้วยซ้ำ
หมอ: ก็นั่นแหละ เชื้อบาดทะยักนั่นแหละมันเข้าไปแล้วไม่มีทางออก
เดี๋ยวก็จะอักเสบอยู่ในนั้น แล้ว..... (หมอพูดอะไรต่ออีกสัก 1-2 ประโยค จำไม่ได้แล้ว)
เรา: แต่...
หมอ: (เขียนใบอะไรสักอย่าง ยื่นให้บุรุษพยาบาลที่พาเราเข้ามาในห้องตรวจตอนแรก) ไปห้องฉุกเฉิน
นึกในใจ เฮ้ยย แค่จะฉีดวัคซีนเฉยๆ มันมาถึงขั้นนี้ได้ไง
ออกจากห้องตรวจ บุรุษพยาบาลยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้เรา แล้วชี้บอกทางให้เราเอาไปยื่นที่ห้องฉุกเฉิน
ตอนนั้นลังเลมาก รู้สึกว่ามันไม่น่าเป็นแบบนี้
แต่ฟังที่หมอพูดแล้วกลัวนิดหน่อย เหมือนว่าถ้าไม่กรีดมาล้างข้างใน ถึงฉีดวัคซีนไปก็ไม่ช่วยอะไร
ระหว่างรอ โทรไปปรึกษาแม่ แม่บอกว่าถ้าหมอสั่งให้ทำก็แสดงว่ามันจำเป็นต้องทำแหละ ก็ทำเถอะ
(แต่สิ่งที่เราลืมบอกแม่คือ หมอสั่งกรีดโดยไม่ได้แกะพลาสเตอร์ออกมาดูเลย)
ตอนแรกนึกว่ากรีดออกมาล้างครั้งเดียว ปิดแผล จบ อย่างมากก็ล้างแผลต่ออีก 3-4 วันก็หาย
ปรากฏว่าทำแผลแบบ I&D คือเอาผ้าก๊อซเล็กๆชุบยา ยัดไว้ในแผล
ซึ่งแผลแบบนี้เวลาล้างจะเจ็บมากที่ขั้นตอนการยัด แล้วต้องมาล้างแผลเปลี่ยนผ้าก๊อซทุกวัน
เป็นอะไรที่เจ็บทรมานมาก และการมีแผลที่เท้าทำให้ชีวิตลำบากเหลือเกิน
กลับมาบ้าน หลังกรีด
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ล้างแผลวันแรก
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แผลไม่ลึก คะเนด้วยสายตาตอนยัดก๊อซ น่าจะลึกประมาณครึ่งซม.
ระหว่างที่ล้างแผลไม่เคยมีหนองเลย ดึงก๊อซเดรนออกมามีแต่เลือด
วันที่ 3 ของการล้าง พยาบาลบอกว่าไม่ต้องยัดแล้ว
ช่วงวันที่ 4-5 ได้ เจอพยาบาลทำแผลคนนึงไม่ระวังเรื่องความสะอาดเลย
ทำสำลีหล่นพื้น แทนที่จะทิ้งไว้ก่อน ทำแผลเสร็จค่อยเก็บทิ้งทีเดียว
ดันก้มเก็บมาทิ้งขยะ แล้วลงมือทำแผลให้เราต่อ
ไม่รู้ตอนที่เก็บ มือโดนพื้นรึเปล่า เราท้วงไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก
เราจิตตกไปหลายวันด้วยความกังวลเรื่องนี้
และไม่รู้ว่านี่เป็นสาเหตุให้แผลเราติดเชื้อในภายหลังรึเปล่า หรืออาจจะไม่เกี่ยว
เราไปล้างแผลที่รพ.ทุกวันอยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ได้
จนแผลแห้ง พยาบาลให้ซื้ออุปกรณ์ไปล้างเองที่บ้านต่ออีก 3-4 วัน
หลังจากนั้นก็ให้เปิดแผลโดนน้ำ ใช้ชีวิตตามปกติได้เลย
ผ่านไปหลายวัน ตรงที่เคยเป็นแผลเริ่มไม่ค่อยดี
มันบวมแดงแปลกๆ รอบปากแผล และเจ็บจี๊ดๆ ข้างใน เหมือนจะติดเชื้อ
สังเกตอยู่หลายวันจนรู้สึกว่าผิดปกติแน่ๆ เลยไป รพ.
สภาพนิ้วเท้าตอนตัดสินใจไป รพ. อีกครั้ง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
คราวนี้เปลี่ยนที่ ไปรพ.เอกชนที่รักษาประจำ พบหมอศัลแพทย์โดยตรง
หมอลองกดตรงแผลดู ใช้มือกดไม่เจ็บ ใช้ forceps กดแรงๆ ถึงเจ็บ
หมอบอกว่ากดดูแล้วไม่น่ามีอะไรข้างใน ที่แดงนี่อาจจะมีเชื้อแบคทีเรียค้างอยู่
แล้วก็ส่งไปเอ็กซเรย์เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเศษอะไรตกค้างข้างใน
ผลออกมาว่าไม่มี หมอเลยจ่ายยาปฏิชีวนะ Clindamycin 300mg ให้ 1 อาทิตย์
แล้วบอกว่าถ้าไม่หายต้องมากรีดเปิดปากแผลซ้ำ กินยาสัก 2-3 วันก็รู้เรื่องแล้ว ไม่หายให้รีบมา ไม่ต้องรอครบอาทิตย์
ตอนนั้นลุ้นมาก กินยาไปได้ 5 วัน ไม่ดีขึ้น เลยกลับไป รพ.
ไม่เจอหมอคนเดิมเพราะเข้าแค่สัปดาห์ละครั้ง เลยเปลี่ยนเป็นหมอที่อยู่ประจำทุกวัน
หมอคนใหม่กรีดเปิดปากแผลให้ คราวนี้ต้องกรีดเข้าไปลึกและกว้างกว่าเดิม
+ ถอดเล็บด้านข้างออกไปนิดนึง เพราะเจ็บแนวข้างเล็บ มันขบเนื่องจากนิ้วบวม
หมอบอกว่าไม่เจอสิ่งแปลกปลอมอะไรในแผล แต่มีหนองข้างในนิดหน่อย
หลังจากนั้นไปทำแผลยัดผ้าก๊อซทุกวันที่รพ. + กินยาฆ่าเชื้อที่หมอจ่ายให้ (UNASYN 750mg 2เวลา) ติดต่อกัน 12 วัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หมอนัดดูแผลเป็นระยะ (ครั้งแรก 5 วันหลังกรีด ครั้งต่อๆไป ทุก 1 อาทิตย์)
มีหนองเล็กน้อยอยู่แค่ 4-5 วันแรกหลังกรีด หลังจากนั้นก็ไม่มีแล้ว
แต่ยัดผ้าก๊อซอยู่นานเพราะเราขอหมอเอง กลัวมีหนองค้างข้างในแล้วต้องมากรีดใหม่อีก หลอนมาก
หมอตรวจดูแผลทุกครั้งก็บอกว่าแผลดีขึ้นเรื่อยๆ (แต่เหมือนจะหายช้านิดนึง)
นัดครั้งสุดท้ายวันที่ 6 มีค หมอบอกไม่ต้องยัดแล้ว หลังจากนั้นให้ไปทำแผลเองที่บ้านได้ อีกสักอาทิตย์นึงน่าจะหายดี
เราก็ทำแผลวันเว้นวันมาเรื่อยๆ แผลก็ค่อยๆ สร้างเนื้อจนตื้นขึ้นมาทีละน้อย
แต่ระหว่างนั้นเท้าข้างที่เป็นแผลก็ยังบวมๆ เวลาเดินหรือยืน
และออกสีเข้มๆ แดงๆ ดูน่ากลัว เมื่อเทียบกับอีกข้างที่ปกติ +ยังเจ็บจี๊ดๆ ข้างใน ต้องคอยยกเท้าสูงเป็นระยะ
จนวันที่ 19 มีค มีเหตุจำเป็นให้ต้องยืนนานหน่อย รู้สึกว่าเท้าบวมแดงดูน่ากลัวมาก คิดว่ามันไม่น่าจะปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
วันที่20 เลยกลับไปหาหมอ หมอดูแผลแล้วบอกว่าแผลดี เราถามว่ามันติดเชื้อรึเปล่า
หมอบอกว่าไม่ติด ปกติดี กดดูก็ไม่มีอะไร ไม่เจ็บ กดทั่วนิ้วเลย
(ที่ว่าเจ็บแผลคือ บทจะเจ็บ มันก็เจ็บขึ้นมาเอง บทจะไม่เจ็บ กดยังไงก็ไม่เจ็บ)
เราถามว่าสีเท้าทำไมมันแดงแบบนี้ หมอบอกว่าเวลามีแผล สีมันจะเป็นงี้อยู่แล้ว เพราะหลอดเลือดดำขยายตัว (ดำนะถ้าฟังไม่ผิด)
หมอดึงหนังเก่าแข็งๆ ตรงปากแผลออกให้ แล้วบอกว่าแผลเกือบหายสนิทแล้ว อีกนิดนึง
หมอเห็นเรากังวลกลัวติดเชื้ออีก เลยสั่งตรวจเลือดให้
ตรวจหาค่า ESR (ค่าการอักเสบในร่างกาย) และค่าอื่นๆ อีกนิดหน่อย ผลปกติหมดทุกอย่าง
ไม่นานหลังจากนั้น แผลก็หายสนิท แต่เท้าก็ยังบวมง่ายอยู่เวลายืนนานๆ
โดยเฉพาะในที่อากาศร้อน ถ้าอยู่ในที่เย็นๆ และไม่ยืนนานจะไม่ค่อยเป็นอะไร
สภาพนิ้วเท้า หลังแผลหายสนิทแล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยังแดงและบวมง่าย เวลายืนนาน
(เทียบขนาดนิ้วกับเท้าอีกข้างที่ปกติ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ตอนตื่นใหม่ๆ ไม่บวม ดูปกติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
รอยแผลเป็นหลังแผลหาย (คราบดำๆข้างเล็บคือสะเก็ดเลือดตอนถอดเล็บ)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังจากแผลหายสนิทประมาณเดือนนึง เท้าข้างนั้นก็ยังไม่หายบวมง่ายเวลายืน
เรากังวลจนต้องกลับไปหาหมออีกรอบ หมอตรวจดู ทุกอย่างปกติดี ยืนยันว่าไม่ติดเชื้อแล้ว
คราวนี้หมออธิบายให้ฟังค่อนข้างละเอียดเกี่ยวกับกระบวนการหายของแผลและเรื่องของหลอดเลือด
หมอบอกว่าขั้นตอนนี้จะใช้เวลาสามเดือนถึงสองปี เราฟังแล้วตกใจเลย มันนานมาก
แต่ก็ทำให้สบายใจคลายกังวลได้จริงๆ เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน
หลังจากนั้นก็พยายามใช้ชีวิตให้เป็นปกติ คอยยกเท้าสูงเวลากลับมาบ้าน
นิ้วเท้าที่ไม่ได้สัมผัสพื้นโดยตรงมานานจะรู้สึกเสียวแปลบเวลาเดิน (โดยเฉพาะตอนบวม)
ต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆ กว่าจะกลับมาด้านเหมือนเดิม
หลายเดือนต่อมา อาการบวมง่ายเวลายืนก็ค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่กว่าจะหายสนิทก็ใช้เวลาเป็นปี
เราก็จำระยะเวลาที่แน่นอนไม่ได้
ตลอดหลายเดือนของการรักษา นอกจากใช้ชีวิตลำบากแล้ว สิ่งที่แย่ยิ่งกว่านั้นคือสุขภาพจิต
เราเครียดมาก วิตกกังวล คิดไปต่างๆ นานา ยิ่งหาข้อมูลยิ่งกลัว
กลัวติดเชื้ออะไรที่รักษาไม่ได้ กลัวต้องผ่าซ้ำ กลัวโดนตัดนิ้ว มันเครียดมากจริงๆ สุขภาพจิตเสียหายมาก
สรุปทั้งหมดที่ต้องการจะบอกคือ
1 โปรดเดินระวังไม้ลูกชิ้น (และวัสดุแหลมคมอื่นๆ) บนพื้น โดยเฉพาะคนที่ชอบใส่รองเท้าแตะ
หลายปีหลังมานี้เราสังเกตว่ามันถูกทิ้งเกลื่อนกลาดบนพื้นตามฟุตบาทเยอะขึ้นมากๆ
2 การมีแผลที่เท้าเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเท้าเป็นอวัยวะที่เลือดไหลเวียนไม่ดี
แผลที่เท้าจะหายยากกว่าที่อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณเป็นเบาหวานเรื่องจะซับซ้อนขึ้นไปอีก
โปรดหลีกเลี่ยงการทำให้เกิดแผลที่เท้าโดยไม่จำเป็น
การยอมให้หมอกรีดแผลในครั้งแรกเป็นการตัดสินใจที่เรารู้สึกว่าผิดพลาดที่สุด และเราเสียใจมากๆ
เราไม่ได้ว่าหมอคนแรกรักษาผิดนะ แต่เรามาทราบภายหลังว่าโดยหลักปฏิบัติ หมอจะดูแลแผล "ตามสภาพ"
ซึ่งหมอคนแรกสั่งกรีดโดยไม่ได้แกะพลาสเตอร์ดูเลยสักนิดว่ามันยังไม่ทันจะเป็นแผลเลย
ถ้าหมอดูดีแล้ว สั่งเหมือนเดิม เราคงไม่เสียใจขนาดนี้ ถึงแม้จะมั่นใจว่าจริงๆแล้วมันไม่จำเป็นต้องทำก็ตาม
ถ้าเจอกรณีแบบเรา แนะนำให้หา second opinion ก่อน เอาให้แน่ใจว่ามันจำเป็นต้องทำจริงๆ
เพราะ ย้ำว่า การมีแผลที่เท้าเป็นเรื่องใหญ่ โปรดเลี่ยงถ้าไม่จำเป็น ไม่อยากให้ใครต้องมามีประสบการณ์เดียวกับเรา