"กุลสตรี" กับชีวิตที่ไม่มีความสุจ เรื่องความซึมเศร้าของคนที่คิดว่าอยากสมบูรณ์แบบ

นี่ไม่ใช่เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนในครอบครัวนะครับ แต่เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับ "มิตรท่านหนึ่ง" ที่ไม่ขอเอ่ยนาม แต่ เป็นสตอรี่ ที่คงต้องมาเรียนรู้กันว่า เส้นทางที่ผ่านมานั้น อะไรที่กระทบกับชีวิตจนขาดความสุข แสวงหาความสุข ปฏิเสธ ความจริงในโลก และสับสนกับสังคมรอบตัวไปหมด
สำหรับคนที่ไม่ชอบอ่าน ขอสรุปสั้นๆก่อนว่า
สาววัย 40up นางหนึ่งที่เกิดและเติบโตมาในครอบครัวที่สุดโต่งด้านขนบธรรมเนียม รักษาพรมจรรย์มาจนทุกวันนี้โดยมีอคติเรื่องเพศและเพศตรงข้าม รวมถึง มีปฏิสัมพันธ์กับคนในสังคมไม่ได้ ยังคงต้องอยู่เป็นโสด นอนกับแม่ เพราะรู้สึกสบาย แต่ก็ไขว่คว้าหาคนมาคบด้วย เพราะต้องการเติมเต็มความบกพร่องที่เข้าใจว่าสังคมกำลังดูถูกที่เธอยังไม่มีคู่ครอง

คนที่มีเวลา ลองอ่านเรื่องนี้ดูครับ

นางสาวคนหนึ่ง เติบโตมาในโรงเรียนหญิงล้วนชื่อดังที่ทั้งสอบแข่งขันและฝากกันเข้าไปด้วยเงินบริจาคมากโข ในครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลาง ฝ่ายบิดา แต่งงานช้า ทำให้เมื่อเธออยู่มัธยม เขามีอายุใกล้วัยเกษียณ และมารดาอายุห่างจากคู่สมรสเกือบ 20 ปี ในบ้านจึงมีหนึ่งผู้นำและสองผู้ตาม 
เธอโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพด้านการศึกษา ด้วยการสนับสนุนอย่างเต็มที่ของผู้ปกครองและให้เวลาในการเคี่ยวเข็นอย่างใกล้ชิดของบิดาและมารดา เธอจึงสอบเข้าโรงเรียนดังนี้ได้อย่างไม่ยาก สิ่งหนึ่งที่บิดาเธอปลูกฝังในมโนคติของเธอมาตั้งแต่เล็กคือ "ชีวิตคือการแข่งขัน"  ดังนั้น เธอมองทุกคนรอบตัวเป็นคู่แข่งในทุกเรื่อง เพราะอย่างไรก็ตาม คะแนนสอบและลำดับที่ทำคะแนนได้ จะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ ที่ทำให้บิดาพึงพอใจเป็นที่สุด

ด้วยเหตุนี้เอง แม้ว่าในระดับชั้นหนึ่ง จะมีเพื่อนร่วมชั้นเกือบพันคน แต่เธอกลับไม่มีเพื่อนเลย เธอไม่เสียเวลาไปเล่นกับใคร ไม่คุยเรื่องส่วนตัวกับใคร ไม่ช่วยกันทำงานส่วนรวม หากงานนั้นไม่มีผลต่อคะแนน และ ไม่ขอความช่วยเหลือเรื่องการเรียนกับใคร เพราะเธอก็จะไม่ให้ใครได้รับความช่วยเหลือด้านการเรียนจากเธอเช่นกัน (เรื่องนี้จะมีภาคต่อในตอมมหาวิทยาลัยที่หนักกว่านี้) อย่างไรก็ตาม ด้วยสังคมหญิงล้วน ก็ต้องมี"กลุ่ม" กันบ้างเป็นปกติ ซึ่งเธอเลือกกลุ่มเพื่อนเล็กๆ คบกันหลวมๆ  ไม่สนิทกันจนเกินไป

เธอเข้าร่วมกิจกรรมหลากหลายที่โรงเรียนมีให้ เพราะมันมีผลกับเกรดการศึกษาและนำไป้เป็นแฟ้มผลงานเพื่ออนาคตได้ แต่เธอไม่เข้าร่วมกิจกรรมนอกเวลาใดๆแม้แต่อย่างเดียว เพราะ ผู้ปกครองของเธอมองว่า ไม่ใช่เรื่องจำเป็น ประกอบกับหลายๆกิจกรรม ต้องใช้เวลาหลังเลิกเรียน วันหยุด ตลอดจนการออกไปค้างแรม ซึ่งพวกเขามองว่า นี่คือความเสี่ยงที่จะทำให้ลูกสาวเสียคน และพร่ำสอนว่า พ่อแม่ที่ปล่อยลูกสาวออกไปจากบ้าน คือพ่อแม่ที่ประมาท
ตลอดเวลา พวกเขา หาข่าว และเรื่องราวของการข่มขืน กระทำชำเรา การคุกคามทางเพศให้เธอเห็นตลอดเวลา แม้กระทั่งในระดับโรงเรียน เช่น ข่าวอาจารย์กับนักเรียน ข่าวบุคลากรการศึกษากับนักเรียน ไปจนข่าวริมถนนรอบตัวเราในสังคม และใช้มันเป็นเครื่องมือในการบ่มเพาะให้เธอเห็นว่า รอบตัวเรา นอกบ้าน มีแต่อันตรายเรื่องเพศจากเพศตรงข้าม การวางตัวเป็นสตรีที่ดีคือ ออกห่างจากสิ่งเหล่านี้และเป็นกุลสตรีในสายตาพ่อและแม่

เธอเตรียมเข้ามหาวิทยาลัยด้วยการทุ่มเวลาไปเรียนพิเศษมากมายตามสถานที่ยอดนิยมของกรุงเทพในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็นสถาบันดัง หรือสยามสแควร์ โดยมี ผู้ปกครอง รับส่ง ตามประกบอย่างใกล้ชิด เดินมาส่งถึงที่และรอรับไปที่อื่นต่อ พร้อมทั้งปลูกฝังให้เห็นเด็กหญิงชายวัยรุ่น ที่มาเรียนแล้วได้พบกับเพื่อนต่างเพศ ต่างสถาบัน จับกลุ่มเดินคุยกันในวันสุดสัปดาห์ ว่าพวกเขา ทำตัวไม่งาม ไม่สำรวม เพื่อนร่วมวัหลายคน แต่งกายตามสมัยนิยมของยุคนั้น กระโปรงสั้นเหนือเข่า และเสื้อตัวเล็กเข้ารูป ที่แม่เธอบอกว่า นั่นคือชุดต้องคำสาป ที่กุลสตรีที่ดีไม่ควรสวมใส่ พ่อเธอคอยย้ำเตือนว่า ผู้ชาย เป็นอันตรายเพราะพวกเขาหวังจะเอาเปรียบและคุกคามทางเพศกับเด็กหญิงเสมอ ควรห่างให้ได้มากที่สุด

ทั้งหมดนี้ หลอมรวมกันเป็นบุคลิกภาพของเธอเมื่อเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ในสถาบันชื่อดังอันดับต้นของประเทศในสายวิชาที่เธอเรียน ในคณะที่เต็มไปด้วยหญิงสาวเป็นส่วนใหญ่ ผู้ชายเป็นจำนวนน้อยกว่ามาก เนื่องจากเป็นวิชาที่ว่าด้วยตัวเลข การคำนวน ความละเอียด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเธอเลือกเรียนในสายวิชาเฉพาะที่ว่ากันแบบตัวเลขล้วนๆ ทำให้ในภาคชั้นปีที่เรียน เธอจึงแทบไม่เจอเพศตรงข้ามเลย แต่นี่ไม่ใช่จุดแรกที่ทำให้เธอต้องพบกับความกดดัน เพราะความกดดันแรกที่ทำให้เธอต้องเข้าข่ายอาการซึมเศร้า มาจากเพื่อนเพศเดียวกันนี้เอง

ในการเรียนระดับอุดมศึกษา มักมีวัฒนธรรม"ช่วยกันเรียน" พบได้บ่อยในสังคมไทย นั่นคือ หลายๆคนจะช่วยกันจดเล็คเชอร์ และนำมารวบรวมแลกกัน ถ่ายเอกสารเพื่อให้ทุกคนได้เก็บเอามุมต่างๆไปอ่านเพื่อเข้าสอบ และลองเดากันดูสิครับว่า เธอวางตัวอย่างไรจากนิสัยเก่าของเธอ
เธอไม่ยอมให้ใครเอาเล็คเชอร์ของเธอไปแตะแม้แต่นิดเดียว ถึงกับเก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด และไปพูดลับหลังกับเพื่อนคนอื่นว่า คนพวกนี้ ที่มาหยิบยืมเล็คเชอร์คนอื่นไปถ่ายเอกสาร เป็นคนไร้คุณภาพ ไม่มีปัญญาเรียนเองได้ ต้องมาขอของๆเธอ และนี่คือความพลาดของเธออย่างช่วยไม่ได้ เพราะ เธอรู้จักโลกกว้างน้อยเกินไป จากการที่ไม่เคยทำกิจกรรมร่วมกับใครมากพอ เธอไม่รู้เลยว่า คนที่เธอพูดเรื่องนี้ด้วย ก็นำเรื่องนี้ไปบอกกับคนหมู่มาก

ในที่สุด เธอจึงถูกสังคมกีดกัน ไม่มีตัวตน ไม่มีคนต้องการเสวนาอะไรด้วย เรียนมหาวิทยาลัย 4 ปี จบมาด้วยเกียรตินิยม แต่มีเพื่อนที่คุยกันได้ไม่เกิน 3-4 คนเท่านั้น ชาชินกับการกินข้าวเที่ยงคนเดียว  มาเรียนคนเดียว และกลับบ้านทันทีที่เรียนจบ แน่นอนครับว่า แม่เธอมารับอีกเช่นเคย เพราะพ่อซึ่งเกษียณอายุแล้ว  ไม่ไว้วางใจให้เธอนั่งรถโดยสารสาธารณะกลับบ้านเอง
ยังครับ ระหว่างเรียนยังมีอีกสิ่งที่เกิดขึ้น
เธอไม่ทำกิจกรรมอะไรเลยในมหาวิทยาลัย เพราะ สำหรับเธอ คิดว่ากิจกรรมต่างๆ สร้างมาเพื่อให้เด็กมัธยมนำไปเรียนต่อในที่ๆดีเท่านั้น เมื่อเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัยที่ดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นจึงเป็นเพียง"ตัวเสียเวลา" ของวัยหนุ่มสาว แถมยังทำให้เสี่ยงต่อการโดนข่มเหง โดนลวนลามจากสายตาและคำพูดของหนุ่มๆแปลกหน้า เพราะขนาดไปเรียนวิชาที่ต้องเรียนร่วมกับคณะอื่นๆ เธอยังรู้สึกไม่ปลอดภัยเมื่อเจอกับหนุ่มๆวิศวกรรมเสียงดังๆ เจอกับหนุ่มศิลปกรรมที่ดูสกปรก และ ชายชาวครุศาสตร์ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อว่าจะไปเป็นครู

เธอไม่เข้ารับน้อง ไม่ออกค่าย ไม่จัดงานแฟร์ ไม่ไปงานลอยกระทง ไม่ดูกีฬาน้องใหม่ ไม่ไปงานฟุตบอลใหญ่ประเพณีร่วมกับอีกมหาวิทยาลัย ไม่เคยไปดูละครเวที งานดนตรี หรือ เทศกาลออกร้านของคณะใดๆเลยแม้แต่งานเดียว ไม่ใช่เพราะผู้ปกครองไม่ให้เท่านั้น แต่เธอรู้สึกตัวเธอเองมาตั้งแต่วัยนั้นว่า มันอันตราย ไม่เหมาะกับกุลสตรีที่ดีที่จะแต่งตัวไปเดินเล่นงานกลางคืน 

เมื่อเรียนจบมา เธอก็เรียนต่อระดับมหาบัณฑิตต่อทันที โดยเรียนอย่างเดียวเต็มเวลา นอกนั้นก็อยู่กับบ้าน อ่านหนังสือเรียน จนเธอสำเร็จการศึกษาคว้าปริญญาโทจากรั้วเดิมมาครองได้ ตลอดเวลาสองปีนี้ เธอไม่ได้อยู่ในสังคมไหนเลยก็ว่าได้ เพราะ เพื่อนๆที่แทบไม่มีของเธอทุกคน แยกย้ายออกไปสู่ตลาดแรงงาน เริ่มต้นชีวิตการทำงาน ในขณะที่เธอใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับการมาเรียนตามเวลาเข้าเรียน กลับทันทีที่หมดธุระ หากมีเวลาวางระหว่างวิชา เธอมักจะไปนั่งหลับในห้องสมุด เพราะเธอรู้สึกว่า ที่นั่นปลอดภัย มีกล้องวงจรปิด ที่สำคัญ คนเลวๆมักไม่เข้ามาห้องสมุด และมุมโปรดของเธอคือ มุมวิทยานิพนธ์ ซึ่ง ถือเป็นมุมที่มีคนเข้ามาใช้งานน้อยที่สุดนั่นเอง

การถือใบปริญญามหาบัณฑิตจากสถาบันชั้นนำ กับเกรดที่สูงลิ่ว บวกกับ คติที่มั่นใจในความเป็นกุลสตรีที่ดี  มาวันนี้(วันที่เธอเรียนจบ) บวกเข้าไปด้วย การเข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ชื่อดังชนิดที่ต้องแข่งขันแย่งกัน ยัดเส้น กว่าจะเข้าได้ ทำให้เธอรู้สึกมาตลอดว่า ชีวิตของเธอนั้น "สมบูรณ์แบบ" 
ทุกครั้งที่พบญาติพี่น้อง ญาติผู้ใหญ่ เธอเป็นดั่งเพชรของพ่อและแม่ที่รักเธอ เป็นลูกหลานระดับตระกูลต้องภูมิใจ และเทียบกับลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ เธอมีภาษีดีกว่าในหลายๆด้าน จนเธอยิ่งมั่นใจจากรอยยิ้มอากง อาม่า เงินแต๊ะเอีย ของขวัญ การต้อนรับว่า เธอ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิตหญิงคนหนึ่ง

หลายปีหลังจากนั้นมา เธอเปลี่ยนงานไปแล้วหลายต่อหลายที่ แม้แต่การเข้าทำงานในองคร์กรใหญ่ระดับประเทศ เธอก็เข้าไปแล้ว อนิจจา น่าเสียดาย เธอทำงานแต่ละที่ไม่เกิน 3-4 ปีเท่านั้น เธอก็จะลาออกมา โบยบินไปที่ใหม่ ที่แม้จะได้เงินเดือน และสวัสดิการน้อยลง เธอก็จะไปทันที เมื่อรับแรงกดดันในการทำงาน ในการร่วมงานกับเพื่อน ทั้งระดับเดียวกันและหัวหน้าของเธอ
ทั้งเรื่องงานที่เธอมองว่า เธอคือมหาบัณฑิตใหญ่ที่เก่งที่สุดในทีม เมื่อมีการให้รางวัล เลื่อนขั้น เธอต้องเป็นคนสำคัญ หรือ การมองเพศตรงข้ามในที่ทำงานว่า พวกเขาคือสิ่งสกปรกในสังคม คำหยาบคาย การสังสรรหลังเลิกงาน พฤติกรรมชายดสด ที่เธอไม่เคยพบเจอมาก่อน ประดังเข้ามาตลอดชีวิตวัยทำงานของเธอ ทำให้เธอรู้สึกสะอิสะเอียนกับพวกเขา ไม่ว่าคนในที่ทำงานที่ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวแต่ได้ยินสรรพคุณ หรือเพื่อนในแผนกที่ได้ยินกับหู ไปจนหัวหน้าที่บรรดาลูกน้องเอาเรื่องส่วนตัวมานินทา

แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนที่สุดของเธอ เธอรังเกียจผู้หญิงแทบทุกคนในที่ทำงาน เพราะพวกหล่อนแต่งกาย วางตัวน่าเกลียด บ้างก็พูดคำหยาบ บ้างก็เที่ยวกลางคืน  ไม่น้อยเลยที่พูดเรื่องผู้ชาย เรื่องทางเพศราวกับว่า มันคือโลกคู่ขนานที่เธอไม่เคยรับรู้มาก่อนว่ามันจะอยู่ในสังคมใกล้ตัวขนาดนี้ เพราะสำหรับเธอ ถูกสอนสั่งมาว่า เมื่อเราอยู่ในสังคมที่ดี เราจะพบเจอแต่คนดีๆ ห่างไกลจากสิ่งสกปรกโสมมที่ทำให้สังคมต่ำตมอย่างที่เห็นในข่าวทุกเมื่อเชื่อวัน
ทุกครั้งที่เปลี่ยนงาน เธอก็เริ่มงานใหม่ในหน้าที่เดิมๆ ตำแหน่งเดิม ระดับเดิมไปเรื่อยๆ และยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม แม้ว่า บุพการีของเธอจะให้อิสระมากขึ้น จากรถยนต์คันเก่งที่ได้รับเป็นของขวัญ ที่เธอสามารถขับรถไปทำงานเอง กลับบ้านเองได้ แต่ เธอก็ยังคงเป็นคนที่กลับบ้านไม่เกิน 18.00 น  ไม่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดกับเพื่อนคนไหน(เพราะไม่มีคนชวน) ไม่เคยไปกิจกรรมนอกสถานที่ของที่ทำงาน และไม่ร่วมงานรื่นเริงใดๆของทุกๆที่ทำงานที่เธออยู่ แม้ว่าเธอจะพยายามปรับตัวเข้าหาสังคมด้วยการเอาของขวัญไปร่วมจับฉลาก แต่ด้วยเหตุที่เธอไม่เคยอยู่ในงานเลี้ยงเธอจึงไม่เคยอยู่จับมันเองเลย และเธอก็จะมาทำงานในวันทำงานถัดไปพร้อมกับรอยยิ้มอย่างภูมิใจว่า เธอได้ของใคร และใครได้ของเธอ

เมื่อย่างเข้าวัย 40 ปี ทุกอย่างที่สะสมมาเริ่มสุกงอมพร้อมจะระเบิดออก
เมื่อบริบทต่างๆของสังคมรอบตัวเธอเปลี่ยนไป เพื่อนที่สนิท และไม่สนิท เริ่มพูดคุยเรื่องคู่ครอง ครอบครัว ลูก โรงเรียนลูก การลงทุน ชีวิตแต่งงาน เธอเริ่มคุยกับคนอื่นๆไม่รู้เรื่อง และเธอรู้สึกมีปมด้อย กับการไม่มีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามมาเลย เพราะจนถึงวันนี้เธอก็ยังไม่เคยเปิดใจสนิทกับชายคนไหนได้ แม้จะเคยมีคนมาจีบบ้าง แต่เธอรู้สึกขยะแขยง และระแวงทุกอย่าง เธอทำตัวเองให้สื่อออกมาชัดเจนว่าเธอไม่เล่นด้วย ไม่เอาด้วย จนตอนนี้ เธอเริ่มเป็นทุกข์กับความขาดที่เธอมี
เธอนำเอาบริบทของวัยนี้มาสร้างเป็น มโนคติที่สมบูรณ์ และเมื่อเธอไม่มี เธอจึงบกพร่อง ไม่สมบูรณ์อีกต่อไป เธอเริ่มตั้งคำถามว่า เธอทำอะไรผิดมาหรือเปล่า ทำไมคนอื่นๆที่เรียนไม่เก่งเท่าเธอ กริยาไม่ดีแบบเธอ จึงมีความสุขเมื่อคุยกันเรื่องลูกน้อยไปเรียนวันแรก หรือ หญิงที่มาคุยกันว่า ลูกน่ารักขนาดไหนในวันแม่
จนวันหนึ่ง เธอพบกับชายที่เธอเชื่อว่า จะปลดล็อคสิ่งที่เธอขาดไปได้

เธอพบกับรุ่นน้องในที่ทำงานที่อายุห่างจากเธอเกิน 1 รอบ เขาสะอาด แต่งกายเรียบร้อย พูดเพราะและมีมารยาทที่ดี ไม่โวยวายโหวกเหวกแบบผู้ชายกักขละในสังคมที่เธอเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น แถมเขายังชอบมาทักทาย มาคุยกับเธอยามเช้า  นั่งโต๊ะไม่ห่างจากเธอ มีงานอะไรก็มาช่วยกันทำ ชอบเอาเรื่องของคู่หมั้นที่กำลังจะแต่งงาน มาเล่าให้เธอฟังว่า แฟนงอแง แฟนเอาแต่ใจ ปรับทุกข์ต่างๆให้เธอฟัง เธอมั่นใจเกินร้อยว่า น้องเขาต้องมีใจให้เธออย่างแน่นอน เพราะเธอคือหญิงสาวที่สมบูรณ์แบบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่