คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 3
ผ่านิ่วในถุงน้ำดีมี 2 แบบ
1. กรีดท้องส่วนใต้ชายโครงขวาแล้วควักเอาถุงน้ำดีออก ผ่าง่าย ภาวะแทรกซ้อนน้อยแต่หลังผ่าตัดเจ็บมาก
2. เจาะรูเล็กๆที่หน้าท้อง 4 รู แล้วค่อยๆเลาะถุงน้ำดีออกแล้วดึงถุงน้ำดีออกทางรู ผ่ายากกว่า มีโอกาสท่อน้ำดีตันสูงกว่าแต่หลังผ่าตัดเจ็บน้อยกว่าเยอะ คนที่มีเงินจ่ายมักจะเลือกวิธีนี้
ผ่าตัดแบบที่ 1 หมอศัลยกรรมที่ไหนก็ผ่าได้เพราะเป็นการผ่าตัดพื้นฐาน
ผ่าตัดแบบที่ 2 หมอศัลยกรรมต้องไปอบรมอีกทีดังนั้นชั่วโมงบินความชำนาญจะไม่เท่ากันเลือกหมอที่ผ่าตัดเยอะๆจะดีกว่า
1. กรีดท้องส่วนใต้ชายโครงขวาแล้วควักเอาถุงน้ำดีออก ผ่าง่าย ภาวะแทรกซ้อนน้อยแต่หลังผ่าตัดเจ็บมาก
2. เจาะรูเล็กๆที่หน้าท้อง 4 รู แล้วค่อยๆเลาะถุงน้ำดีออกแล้วดึงถุงน้ำดีออกทางรู ผ่ายากกว่า มีโอกาสท่อน้ำดีตันสูงกว่าแต่หลังผ่าตัดเจ็บน้อยกว่าเยอะ คนที่มีเงินจ่ายมักจะเลือกวิธีนี้
ผ่าตัดแบบที่ 1 หมอศัลยกรรมที่ไหนก็ผ่าได้เพราะเป็นการผ่าตัดพื้นฐาน
ผ่าตัดแบบที่ 2 หมอศัลยกรรมต้องไปอบรมอีกทีดังนั้นชั่วโมงบินความชำนาญจะไม่เท่ากันเลือกหมอที่ผ่าตัดเยอะๆจะดีกว่า
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
ถาม ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ซีเรียสมั๊ยครับ จำเป็นมั๊ยว่าต้องหาอาจารย์หมอเก่งๆ
ตอบ สำหรับผมจำเป็นมากครับ เพราะ การทำหัตถการ ผ่าตัด ด้วยการส่องกล้องน้ัน มันไม่ง่ายนะครับ ต้องอาศัย การเรียนรู้ การฝึกฝน และที่
สำคัญที่สุดคือ ประสบการณ์ (คือ การที่ผ่านการผ่าตัดคนไข้มาหลาย case แล้ว ยิ่งมากยิ่งดี) เพราะว่า ร่างกายของมนุษย์แต่ละคน มีสรีระที่ไม่
เหมือนกัน ดังนั้นความยากก็จะต่างกัน การได้ทำการผ่าตัดมามากย่อมเจอปัญหามาก ทำให้รู้ว่าถ้าเจอแบบนี้จะต้องทำอย่างไร เช่น ส่องกล้องเข้าไป
เจอพังผืด ในท้องต้องเลาะอย่างไร ถ้าขั้วถุงน้ำดีมันสั้น หรือ รูปร่างผิดไปจากคนปกติทั่วไป ต้อง approach อย่างไร เพราะฉะนั้น ความเก๋าเกม จึง
สำคัญ เพราะถ้าประสบการณ์น้อย โอกาสพลาดก็มีนะครับ หมายความว่าไง หมายความว่า การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องนั้นไม่สำเร็จ สุดท้าย ก็ต้อง
ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเหมือนเดิม คนไข้จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับ รู 3 รู ที่หน้าท้องพร้อมกับแผลเย็บใต้ชายโครงขวา ยาวประมาณ 10-15 เซ็นติเมตร
แต่ๆๆๆๆ ..... นอกจากประสบการณ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้สำหรับ ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดส่องกล้อง ก็คือ ความใจเย็น
และ ความละเอียดละออ รอบคอบ ของ ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ครับ อย่าเพิ่ง งง ครับ ว่าแต่ มันเกี่ยวอะไรด้วย กับความใจเย็น ความ
ละเอียดละออ ของ ศัลยแพทย์ ก่อนที่ผมจะอธิบายให้คุณฟัง อาจจะยาวหน่อย แต่คุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร
ผมขอเล่าประสบการณ์ที่ผมได้ ทำงานและ คลุกคลี กับ ศัลยแพทย์มา มากกว่า 50 คน โดยความคิดเห็นส่วนตัวผมจะแบ่ง ศัลยแพทย์ ออก
เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ๆ หรือ 2 ประเภท ใหญ่ๆ ได้ดังนี้คือ
1. กลุ่ม สายลุย ศัลยแพทย์ กลุ่มนี้ จะมีบุคลิกภาพ แบบ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากกกก(ego สูงทะลุเพดาน) NO สน NO care คนรอบ
ข้าง จะมีนิสัย ใจร้อน โผงผาง หงุดหงิดง่าย เอะอะโวยวายเจ้าหน้าที่เสมอๆ เวลาไม่ได้ดั่งใจ สูบบุหรี่จัด แต่งตัว แบบไม่ค่อยสนความหล่อ สวย
ประเภท วันๆ เจอใส่แต่ ชุดห้องผ่าตัดก็เจอบ่อย ศัลยแพทย์ สายนี้ เหมาะกับการรักษา คนไข้หนัก ถึงหนักมากเช่น คนไข้ อุบัติเหตุทั้งหลาย
ประเภท คนไข้โดนรถชนมา ปอดฉีก ตับแตก ไส้ทะลัก 50-50 อะไรแบบนี้ จะเหมาะมาก เพราะ มีความมั่นใจสูง จะทำให้การตัดสินใจ รวดเร็วมากๆ
ผ่าท้องเข้าไป เจออะไรเละ ตัด เจออะไรขาด ต่อ เจออะไร แตก (เย็บ)ติด ประเภทเลือดท่วมจอ ทะลักปุดๆ จะมาค่อยๆ พิถึพิถัน ค่อยๆ กรีดผิวหนัง
หน้าท้อง ชั้นไขมัน แหวกชั้นกล้ามเนื้อ มาค่อยๆ คิดวางแผนว่า เอ๊ะ ลำไส้ ตรงนี้จะตัดออกซัก 4 เซ็นก็พอ แผลตับแตกนี่ ต้องเย็บซัก 10 เข็ม นะ
รับรองถ้ามัวมาคิดวางแผนแบบนี้ วางแผนเสร็จ คนไข้ ก็ขึ้นสวรรค์ ไป 3-4 รอบแล้ว ต้องสายลุย กรีดมีดผ่าตัด ทีเดียว ทะลุผนังหน้าท้อง เลย ตับ
ตรงไหน เละ ตัดทิ้งทันที ตรงไหนแตก เย็บได้เย็บเลย ชีวิตคนไข้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่ควรคลาดหวังความสวยงาม ของแผลผ่าตัด จาก
ศัลยแพทย์ สายลุย นี้ เพราะจะไม่ได้เห็นแน่ เพราะเน้น เร็ว และ ความอยู่รอดของคนไข้เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้าวันไหน ศัลยแพทย์ สายนี้ อยู่
เวร แล้วมีคนไข้หนักมา โอกาสที่คนไข้จะรอดจะมีสูง ยกตัวอย่าง มีคนไข้คนหนึ่ง ข้ามถนนถูกรถตู้ชน คนไข้ มาถึง รพ. ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว ความดันตก
เข้าห้องผ่าตัด เปิดท้องเข้าไป เลือดทะลัก ตับฉีก ม้ามแตก ไส้ขาด หมอ ดมยา ส่ายหน้า เอาเข้ามาผ่าทำไม โอกาสรอดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่
ศัลยแพทย์ สายลุย (ตัวพ่อเลย อยู่เวร) No สน No care ผ่าไป 4 ชั่วโมง ผ่าตัดเสร็จ เย็บปิดหน้าท้องไม่ได้ เพราะไส้บวม ก็เย็บหน้าท้องอ้าไว้ (ให้
นึกถึง ขนมปัง Hotdog ไว้ ประมาณนั้น คือ เห็นไส้ แต่ของจริงต้องเอาผ้าก๊อชชุบน้ำปิดไว้ไม่ให้ ไส้แห้ง) รอซัก 4-5 วัน ไส้หายบวมแล้วค่อยมาเย็บ
ปิดหน้าท้อง สุดท้าย หักปากกาเซียนไปหลายด้าม คือ คนไข้รอด อยู่ รพ. 2-3 อาทิตย์ ก็หายได้กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องกลับบ้านเก่า
2. ศัลยแพทย์ สาย เนี๊ยบ เนี๊ยบจริงๆ เนี๊ยบตั้งแต่การแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม เสี้อผ้า เรียบไร้รอยยับ ผูกเน็กไท้ทุกครั้งที่เจอ วันนึง จะเข้า
ห้องผ่าตัดไป กี่รอบ ออกมา ก็จะ ผมเรียบ ชุดเนี๊ยบ ผูกไท้ กางเกงเรียบเหมือนเดิม พูดจาไพเราะ ไม่โผงผาง ใจเย็น ทำหัตถการอะไร ก็ค่อยๆ ทำ
แผลที่เย็บออกมาก็จะ มีรอยเย็บที่สวย ฝีเย็บ ห่างกันสม่ำเสมอ แผล 2 นิ้ว ใช้เวลาเย็บ เกิน 10 นาที (ในขณะ สายลุย 2 นาทีก็เกินพอ ทำอะไรชักช้า
เสียเวลา) ถ้าผ่าตัด ไส้ติ่งอักเสบ ก็ต้องค่อยๆ กรีด ชั้นผิวหนัง ชั้นไขเรา เอ๊ย ไขมัน ค่อยๆ แหวกชั้นกล้ามเนื้อ ไปตามแนวใยกล้ามเนื้อ ค่อยๆ เจาะ
ชั้นผนังหน้าท้อง ค่อยๆ เอาเครื่องมือค่อยๆ ควาญ ไล่หา ไส้ติ่ง ค่อยๆ ผูกเส้นเลือดทีละเส้น แล้วค่อยตัด ไส้ติ่ง ออกมา เบ็ดเสร็จใช้เวลา 30 นาที
ถึง 45 นาที ขึ้นไป แผลที่หน้าท้อง ยาวแค่ 1 นิ้ว เรียบร้อยสวยงาม คุณคิดว่า สายลุยใช้เวลา เท่าไหร่ในการผ่าตัด ไส้ติ่ง ตั้งแต่ จรดมีดกรีดหน้าท้อง
จนถึงเย็บหน้าท้องปิด ใช้เวลาผ่าตัด ประมาณ 15 นาที ถึง 20 นาที ก็เสร็จแล้ว แต่ที่ผมเคยเจอ เทพกว่านี้ เป็น อ. แพทย์ ที่ รพ. ประจำจังหวัด
ใกล้ๆ กทม. แกเปิดคลินิกทุกเย็น ถ้ามี case ก็ให้ทาง รพ. โทรตาม ก็จะมาผ่าตัดให้ ท่านใช้เวลาผ่าตัด คนไข้ไส้ติ่งอักเสบ แค่....... ให้ทายครับ
เฉลย ครับ ..... 5 นาที ครับ แค่ 5 นาที (แพทย์บางคนล้างมือก่อนผ่าตัด นานกว่านี้อีก) ตั้งแต่ กรีดหน้าท้อง จนถึง เย็บปิดแผล แต่ แผลที่หน้าท้อง
ยาว 3 นิ้ว เย็บแผล เหมือนเย็บปากกระสอบข้าว ผ่าตัดเสร็จ ก็รีบกลับไปทำคลินิกต่อ
มาถึงตรงนี้ คุณคิดว่า ศัลยแพทย์ กลุ่มไหนที่ น่าจะทำหัตถการส่องกล้อง ออกมาได้ดีกว่ากัน ระหว่าง สายลุย กับ สายเนี๊ยบ คำตอบก็คง
เป็น สายเนี๊ยบ อย่างแน่นอน การผ่าตัดส่องกล้องไม่เหมาะกับ สายลุย เพราะว่า มันช้า เสียเวลา เวลาส่องกล้องผ่า ก็จะเกิด ฝ้าที่เลนส์ ตลอด ต้อง
เอาปลายกล้องไปแตะ ที่ลำไส้ ให้อุณหภูมิเลนส์มันอุ่น ฝ้าถึงจะหายไป มันไม่ทันใจ ศัลยแพทย์ สายลุย ถามว่า ทำได้ไหม ตอบว่า ทำได้ แต่ได้ไม่ดี
เท่า สายเนี๊ยบ ก็แค่นั้น เพราะฉะนั้นวิธีเลือก ศัลยแพทย์ในการผ่าตัด ส่องกล้อง ถ้าไม่มีข้อมูลของแพทย์เลย ให้ใช้ วิธีสังเกตุ ครับ ว่า ศัลยแพทย์ที่
เราไปพบ บุคลิกเป็นอย่างไร ถ้า แต่งตัวเรียบร้อย พูดช้าๆ ฟังเราพูด ตอบทุกอย่างที่เราสงสัย อย่างใจเย็น อายุซัก 40-45 ขึ้นไป (อายุมากก็ไม่ไหว
นะ มือสั่น แต่ก็ไม่เสมอไป) คนนี้แหละ ใช่เลย แต่ ถ้าไปเจอ ประเภท พูดจา ห้วนๆ โผงผาง ถามอะไรหน่อย ชักสีหน้า ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากคุย
ด้วย อยู่ให้ไกล ครับ (ไว้ อุบัติเหตุหนักค่อยถามหา)
ส่วนตัวผมเอง ตอนที่เป็น นิ่วในถุงน้ำดี แวะไปทั้งหมด 4 รพ. 3 รพ. แรก เอกชน ทั้งหมด เจอแต่ สายลุย ถามอะไรก็ไม่ค่อยอยากจะตอบ
บาง รพ. ก็คิดแต่จะเอาแต่เงิน พยายามชักจูงให้นัดผ่าตัด เร็วๆ สุดท้าย ไปจบที่ รพ. ศิริราช ครับ ไปคลินิกนอกเวลา ไปเจอ อ. แพทย์ สายเนี๊ยบ 2
ทุ่มแล้ว เสื้อผ้า ยังเรียบแป้ พูดจาเรียบร้อย ไม่โผงผาง พูดน้อย แต่ถามอะไร ยินดีตอบ ทุกคำถาม ก็เลยได้ผ่า ที่นี่ครับ นอนห้องพิเศษ ผ่าตอน 9
โมงเช้า อีกวัน ประมาณ 11 โมงเช้า ก็กลับได้ แถม ต้องขับรถ กลับบ้านเอง อีก 100 กว่า กิโล (อีกเหตุผลนึงที่ผมเลือกที่นี่ เพราะ อ.แพทย์ ใน
โรงเรียนแพทย์ น่าจะมีประสบการณ์ในการผ่าตัด มากกว่าแพทย์ รพ. เอกชน ทั่วๆ ไป เครื่องไม้เครื่องมือ น่าจะดีกว่า ด้วย ปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน
นะ รพ. รัฐบางแห่ง หรือ โรงเรียนแพทย์ เครื่องมือทันสมัยกว่า เอกชน บางแห่งเสียอีก เพราะไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุน กำไร เหมือน เอกชน ที่ต้องใช้
ให้คุ้ม คืนทุนก่อนถึงจะเปลี่ยน)
ยังไงก็ขอให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ อาจจะน้ำเยอะไปหน่อย ต้องขอโทษด้วย สุดท้าย ขอให้ จขกท โชคดีได้ผ่าตัดและหายไวๆ นะครับ
ตอบ สำหรับผมจำเป็นมากครับ เพราะ การทำหัตถการ ผ่าตัด ด้วยการส่องกล้องน้ัน มันไม่ง่ายนะครับ ต้องอาศัย การเรียนรู้ การฝึกฝน และที่
สำคัญที่สุดคือ ประสบการณ์ (คือ การที่ผ่านการผ่าตัดคนไข้มาหลาย case แล้ว ยิ่งมากยิ่งดี) เพราะว่า ร่างกายของมนุษย์แต่ละคน มีสรีระที่ไม่
เหมือนกัน ดังนั้นความยากก็จะต่างกัน การได้ทำการผ่าตัดมามากย่อมเจอปัญหามาก ทำให้รู้ว่าถ้าเจอแบบนี้จะต้องทำอย่างไร เช่น ส่องกล้องเข้าไป
เจอพังผืด ในท้องต้องเลาะอย่างไร ถ้าขั้วถุงน้ำดีมันสั้น หรือ รูปร่างผิดไปจากคนปกติทั่วไป ต้อง approach อย่างไร เพราะฉะนั้น ความเก๋าเกม จึง
สำคัญ เพราะถ้าประสบการณ์น้อย โอกาสพลาดก็มีนะครับ หมายความว่าไง หมายความว่า การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องนั้นไม่สำเร็จ สุดท้าย ก็ต้อง
ผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องเหมือนเดิม คนไข้จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับ รู 3 รู ที่หน้าท้องพร้อมกับแผลเย็บใต้ชายโครงขวา ยาวประมาณ 10-15 เซ็นติเมตร
แต่ๆๆๆๆ ..... นอกจากประสบการณ์แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่สุดที่จะขาดไม่ได้สำหรับ ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดส่องกล้อง ก็คือ ความใจเย็น
และ ความละเอียดละออ รอบคอบ ของ ศัลยแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด ครับ อย่าเพิ่ง งง ครับ ว่าแต่ มันเกี่ยวอะไรด้วย กับความใจเย็น ความ
ละเอียดละออ ของ ศัลยแพทย์ ก่อนที่ผมจะอธิบายให้คุณฟัง อาจจะยาวหน่อย แต่คุณจะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่ามันเกี่ยวกันอย่างไร
ผมขอเล่าประสบการณ์ที่ผมได้ ทำงานและ คลุกคลี กับ ศัลยแพทย์มา มากกว่า 50 คน โดยความคิดเห็นส่วนตัวผมจะแบ่ง ศัลยแพทย์ ออก
เป็น 2 กลุ่ม ใหญ่ๆ หรือ 2 ประเภท ใหญ่ๆ ได้ดังนี้คือ
1. กลุ่ม สายลุย ศัลยแพทย์ กลุ่มนี้ จะมีบุคลิกภาพ แบบ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากกกก(ego สูงทะลุเพดาน) NO สน NO care คนรอบ
ข้าง จะมีนิสัย ใจร้อน โผงผาง หงุดหงิดง่าย เอะอะโวยวายเจ้าหน้าที่เสมอๆ เวลาไม่ได้ดั่งใจ สูบบุหรี่จัด แต่งตัว แบบไม่ค่อยสนความหล่อ สวย
ประเภท วันๆ เจอใส่แต่ ชุดห้องผ่าตัดก็เจอบ่อย ศัลยแพทย์ สายนี้ เหมาะกับการรักษา คนไข้หนัก ถึงหนักมากเช่น คนไข้ อุบัติเหตุทั้งหลาย
ประเภท คนไข้โดนรถชนมา ปอดฉีก ตับแตก ไส้ทะลัก 50-50 อะไรแบบนี้ จะเหมาะมาก เพราะ มีความมั่นใจสูง จะทำให้การตัดสินใจ รวดเร็วมากๆ
ผ่าท้องเข้าไป เจออะไรเละ ตัด เจออะไรขาด ต่อ เจออะไร แตก (เย็บ)ติด ประเภทเลือดท่วมจอ ทะลักปุดๆ จะมาค่อยๆ พิถึพิถัน ค่อยๆ กรีดผิวหนัง
หน้าท้อง ชั้นไขมัน แหวกชั้นกล้ามเนื้อ มาค่อยๆ คิดวางแผนว่า เอ๊ะ ลำไส้ ตรงนี้จะตัดออกซัก 4 เซ็นก็พอ แผลตับแตกนี่ ต้องเย็บซัก 10 เข็ม นะ
รับรองถ้ามัวมาคิดวางแผนแบบนี้ วางแผนเสร็จ คนไข้ ก็ขึ้นสวรรค์ ไป 3-4 รอบแล้ว ต้องสายลุย กรีดมีดผ่าตัด ทีเดียว ทะลุผนังหน้าท้อง เลย ตับ
ตรงไหน เละ ตัดทิ้งทันที ตรงไหนแตก เย็บได้เย็บเลย ชีวิตคนไข้สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้น ไม่ควรคลาดหวังความสวยงาม ของแผลผ่าตัด จาก
ศัลยแพทย์ สายลุย นี้ เพราะจะไม่ได้เห็นแน่ เพราะเน้น เร็ว และ ความอยู่รอดของคนไข้เป็นสำคัญ เพราะฉะนั้น ถ้าวันไหน ศัลยแพทย์ สายนี้ อยู่
เวร แล้วมีคนไข้หนักมา โอกาสที่คนไข้จะรอดจะมีสูง ยกตัวอย่าง มีคนไข้คนหนึ่ง ข้ามถนนถูกรถตู้ชน คนไข้ มาถึง รพ. ก็ไม่รู้สึกตัวแล้ว ความดันตก
เข้าห้องผ่าตัด เปิดท้องเข้าไป เลือดทะลัก ตับฉีก ม้ามแตก ไส้ขาด หมอ ดมยา ส่ายหน้า เอาเข้ามาผ่าทำไม โอกาสรอดต่ำเตี้ยเรี่ยดิน แต่
ศัลยแพทย์ สายลุย (ตัวพ่อเลย อยู่เวร) No สน No care ผ่าไป 4 ชั่วโมง ผ่าตัดเสร็จ เย็บปิดหน้าท้องไม่ได้ เพราะไส้บวม ก็เย็บหน้าท้องอ้าไว้ (ให้
นึกถึง ขนมปัง Hotdog ไว้ ประมาณนั้น คือ เห็นไส้ แต่ของจริงต้องเอาผ้าก๊อชชุบน้ำปิดไว้ไม่ให้ ไส้แห้ง) รอซัก 4-5 วัน ไส้หายบวมแล้วค่อยมาเย็บ
ปิดหน้าท้อง สุดท้าย หักปากกาเซียนไปหลายด้าม คือ คนไข้รอด อยู่ รพ. 2-3 อาทิตย์ ก็หายได้กลับบ้านตัวเอง ไม่ต้องกลับบ้านเก่า
2. ศัลยแพทย์ สาย เนี๊ยบ เนี๊ยบจริงๆ เนี๊ยบตั้งแต่การแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม เสี้อผ้า เรียบไร้รอยยับ ผูกเน็กไท้ทุกครั้งที่เจอ วันนึง จะเข้า
ห้องผ่าตัดไป กี่รอบ ออกมา ก็จะ ผมเรียบ ชุดเนี๊ยบ ผูกไท้ กางเกงเรียบเหมือนเดิม พูดจาไพเราะ ไม่โผงผาง ใจเย็น ทำหัตถการอะไร ก็ค่อยๆ ทำ
แผลที่เย็บออกมาก็จะ มีรอยเย็บที่สวย ฝีเย็บ ห่างกันสม่ำเสมอ แผล 2 นิ้ว ใช้เวลาเย็บ เกิน 10 นาที (ในขณะ สายลุย 2 นาทีก็เกินพอ ทำอะไรชักช้า
เสียเวลา) ถ้าผ่าตัด ไส้ติ่งอักเสบ ก็ต้องค่อยๆ กรีด ชั้นผิวหนัง ชั้นไขเรา เอ๊ย ไขมัน ค่อยๆ แหวกชั้นกล้ามเนื้อ ไปตามแนวใยกล้ามเนื้อ ค่อยๆ เจาะ
ชั้นผนังหน้าท้อง ค่อยๆ เอาเครื่องมือค่อยๆ ควาญ ไล่หา ไส้ติ่ง ค่อยๆ ผูกเส้นเลือดทีละเส้น แล้วค่อยตัด ไส้ติ่ง ออกมา เบ็ดเสร็จใช้เวลา 30 นาที
ถึง 45 นาที ขึ้นไป แผลที่หน้าท้อง ยาวแค่ 1 นิ้ว เรียบร้อยสวยงาม คุณคิดว่า สายลุยใช้เวลา เท่าไหร่ในการผ่าตัด ไส้ติ่ง ตั้งแต่ จรดมีดกรีดหน้าท้อง
จนถึงเย็บหน้าท้องปิด ใช้เวลาผ่าตัด ประมาณ 15 นาที ถึง 20 นาที ก็เสร็จแล้ว แต่ที่ผมเคยเจอ เทพกว่านี้ เป็น อ. แพทย์ ที่ รพ. ประจำจังหวัด
ใกล้ๆ กทม. แกเปิดคลินิกทุกเย็น ถ้ามี case ก็ให้ทาง รพ. โทรตาม ก็จะมาผ่าตัดให้ ท่านใช้เวลาผ่าตัด คนไข้ไส้ติ่งอักเสบ แค่....... ให้ทายครับ
เฉลย ครับ ..... 5 นาที ครับ แค่ 5 นาที (แพทย์บางคนล้างมือก่อนผ่าตัด นานกว่านี้อีก) ตั้งแต่ กรีดหน้าท้อง จนถึง เย็บปิดแผล แต่ แผลที่หน้าท้อง
ยาว 3 นิ้ว เย็บแผล เหมือนเย็บปากกระสอบข้าว ผ่าตัดเสร็จ ก็รีบกลับไปทำคลินิกต่อ
มาถึงตรงนี้ คุณคิดว่า ศัลยแพทย์ กลุ่มไหนที่ น่าจะทำหัตถการส่องกล้อง ออกมาได้ดีกว่ากัน ระหว่าง สายลุย กับ สายเนี๊ยบ คำตอบก็คง
เป็น สายเนี๊ยบ อย่างแน่นอน การผ่าตัดส่องกล้องไม่เหมาะกับ สายลุย เพราะว่า มันช้า เสียเวลา เวลาส่องกล้องผ่า ก็จะเกิด ฝ้าที่เลนส์ ตลอด ต้อง
เอาปลายกล้องไปแตะ ที่ลำไส้ ให้อุณหภูมิเลนส์มันอุ่น ฝ้าถึงจะหายไป มันไม่ทันใจ ศัลยแพทย์ สายลุย ถามว่า ทำได้ไหม ตอบว่า ทำได้ แต่ได้ไม่ดี
เท่า สายเนี๊ยบ ก็แค่นั้น เพราะฉะนั้นวิธีเลือก ศัลยแพทย์ในการผ่าตัด ส่องกล้อง ถ้าไม่มีข้อมูลของแพทย์เลย ให้ใช้ วิธีสังเกตุ ครับ ว่า ศัลยแพทย์ที่
เราไปพบ บุคลิกเป็นอย่างไร ถ้า แต่งตัวเรียบร้อย พูดช้าๆ ฟังเราพูด ตอบทุกอย่างที่เราสงสัย อย่างใจเย็น อายุซัก 40-45 ขึ้นไป (อายุมากก็ไม่ไหว
นะ มือสั่น แต่ก็ไม่เสมอไป) คนนี้แหละ ใช่เลย แต่ ถ้าไปเจอ ประเภท พูดจา ห้วนๆ โผงผาง ถามอะไรหน่อย ชักสีหน้า ขมวดคิ้ว ไม่ค่อยอยากคุย
ด้วย อยู่ให้ไกล ครับ (ไว้ อุบัติเหตุหนักค่อยถามหา)
ส่วนตัวผมเอง ตอนที่เป็น นิ่วในถุงน้ำดี แวะไปทั้งหมด 4 รพ. 3 รพ. แรก เอกชน ทั้งหมด เจอแต่ สายลุย ถามอะไรก็ไม่ค่อยอยากจะตอบ
บาง รพ. ก็คิดแต่จะเอาแต่เงิน พยายามชักจูงให้นัดผ่าตัด เร็วๆ สุดท้าย ไปจบที่ รพ. ศิริราช ครับ ไปคลินิกนอกเวลา ไปเจอ อ. แพทย์ สายเนี๊ยบ 2
ทุ่มแล้ว เสื้อผ้า ยังเรียบแป้ พูดจาเรียบร้อย ไม่โผงผาง พูดน้อย แต่ถามอะไร ยินดีตอบ ทุกคำถาม ก็เลยได้ผ่า ที่นี่ครับ นอนห้องพิเศษ ผ่าตอน 9
โมงเช้า อีกวัน ประมาณ 11 โมงเช้า ก็กลับได้ แถม ต้องขับรถ กลับบ้านเอง อีก 100 กว่า กิโล (อีกเหตุผลนึงที่ผมเลือกที่นี่ เพราะ อ.แพทย์ ใน
โรงเรียนแพทย์ น่าจะมีประสบการณ์ในการผ่าตัด มากกว่าแพทย์ รพ. เอกชน ทั่วๆ ไป เครื่องไม้เครื่องมือ น่าจะดีกว่า ด้วย ปัจจุบันไม่เหมือนเมื่อก่อน
นะ รพ. รัฐบางแห่ง หรือ โรงเรียนแพทย์ เครื่องมือทันสมัยกว่า เอกชน บางแห่งเสียอีก เพราะไม่ต้องคำนึงถึงต้นทุน กำไร เหมือน เอกชน ที่ต้องใช้
ให้คุ้ม คืนทุนก่อนถึงจะเปลี่ยน)
ยังไงก็ขอให้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ อาจจะน้ำเยอะไปหน่อย ต้องขอโทษด้วย สุดท้าย ขอให้ จขกท โชคดีได้ผ่าตัดและหายไวๆ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
ผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดี ซีเรียสมั๊ยครับ จำเป็นมั๊ยว่าต้องหาอาจารย์หมอเก่งๆ
การผ่าตัดนิ่วถุงน้ำดี ซีเรียสมากรึเปล่า หรือว่า หมอศัลยแพทย์ก็ผ่าได้หมด
เห็นว่าใช้กล้องส่อง แผลเล็กนิดเดียว ไม่ต้องผ่าแบบเปิด