ต้นมะเดียน

* เรื่องนี้เป็นเรื่องเหลวไหลเกี่ยวกับความเชื่อส่วนบุคคโล ดาวคะนอง ท่าพระ ไม่มีเจตนาลบหลู่ทั้งฝั่งธนแต่อย่างใด 
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สมมติขึ้นจากจินตนาการและอารมณ์  มุ่งให้ความเพลิดเพลินภายในที่พักอาศัยเท่านั้น  โปรดใช้หนุมานขี่จักรยานในการรับชม


เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น

ในห้องทำงานของเจ้ากรมโยธาจังหวัด

"จนป่านนี้ การสร้างถนนยังไม่คิบหน้าใช่ไหม"

"ท่านครับ พอจะเบี่ยงเส้นทาง อ้อมไปได้หรือเปล่าครับ"

"ก็คุยกันแล้วนี่ จะให้อ้อมไปไหน ทางขวาก็ตกแม่น้ำ ทางซ้ายก็เป็นหล่ม  คุณจะออกงบถมที่เองไหมล่ะ"

"แต่ตอนนั้นยังไม่ทราบนี่ครับ ว่าจะมีต้นมะเดียนขวางทางอยู่ เลยไม่รู้จะทำยังไง"

"ราบงานเรื่องนั้น ผมอ่านแล้ว เจอต้นมะเดียนขวางทาง แล้วไม่กล้าตัด อย่างนั้นใช่มั้ย แล้วไอ้เหตุผลที่ไม่กล้าตัด ที่เขียนในรายงานนี่มันอะไร"

"เรื่องจริงครับท่าน ที่ผมเขียนไว้ ผมเห็นกับตา คนงานที่ไม่เชื่อ ถือขวานเข้าไปฟันทีเดียว ก็นอนชักตาเหลือกเลย รอยที่ฟันก็มีน้ำสีแดงเหมือนเลือด ไหลออกมา เห็นอย่างนั้น ใครๆก็กลัวหัวหด ต้นมะเดียนต้นนี้เฮี้ยนแค่ไหน ชาวบ้านรู้กันทั้งตำบล ไม่มีใครกล้าเข้าไปทำอะไรหรอกครับ"

"พอแล้ว พอ ผมไม่อยากฟัง  ผมให้เวลาคุณนานพอแล้ว  คุณไม่ต้องทำแล้ว เดี่ยวผมจัดการเอง"

"อ.. ท่านครับ"

"เชิญ หมดเรื่องแล้ว"

"อ.. ครับ"

เมื่อนายอดุลย์ เจ้าหน้าที่วัยกลางคนออกไปแล้ว  เจ้ากรมก็ขมวดคิ้วมุ่น หยิบกระดาษปากกา เริ่มร่างจดหมาย...
...

สองวันต่อมา 

เวลาตะวันตรงหัว 

ด้วยความร้อนใจที่โดนขู่คาดโทษจากท่านเจ้ากรม ที่ว่า "คุณไม่ต้องทำแล้ว เดี่ยวผมจัดการต่อเอง" 

นั่นมันคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ไม่ใช่เหรอ 
มันจะหมายความว่ายังไงที่ท่านเจ้ากรมจะทำเอง เขาไม่ต้องทำ  เขากำลังจะโดนไล่ออกใช่ไหม

เมื่อวานนี้อดุลย์จึงใช้เวลาทั้งวันหาอาจารย์ผู้มีวิชาที่จะมาปราบมะเดียนต้นนี้  ในที่สุดก็ได้อาจารย์คังที่อยู่อำเภอใกล้ๆนี่เอง
 
ตามแนวคิด 'อาจารย์ที่ดีคืออาจารย์ที่มี  อาจารย์ที่ดีที่สุดคืออาจารย์ที่มาถึงไวที่สุด'  อดุลย์จึงเลือกใช้อาจารย์คัง เพียงอาจารย์เดียว 

เขาพาอาจารย์คังมายังต้นมะเดียนขนาด 3 คนโอบ ต้นสูงใหญ่เจ้าปัญหา  เมื่อมาถึงก็ไม่รอช้า อาจารย์คังสั่งลูกศิษย์ล้อมสายสิญจน์  ส่วนตัวเองตั้งเทียนมนต์ บริกรรมคาถาเรียกนางมะเดียนที่สิงสถิตย์อยู่ให้ออกมา  แต่สวดอยู่เนิ่นนานก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ดื้อนัก" อาจารย์คังฉิว  ล้วงย่ามหยิบรูปควายปั้นจากดินเหนียวตากแห้งจนแข็ง ขึ้นมาบริกรรม ไล้มือลงบนอักขระที่เขียนบนตัวควาย แล้วเป่า พ่วง

"สุธา ลูกพ่อ ไป"

ขาดคำ หุ่นควายก็พุ่งออกจากมืออาจารย์คัง ตรงไปยังต้นมะเดียน ด้วยความเร็วปานลูกธนู 

และปลิวกลับมาด้วยความเร็วพอๆกัน

อดุลย์ที่ยังขนลุกไม่หาย ตอนที่ได้เห็นอาจารย์คังสำแดงควายธนู  เวลานี้ขนบนหัวเริ่มชี้ชัน เมื่อเห็นมันกลับมาในสภาพแตกหักเป็นชิ้นๆ

อาจารย์คังก็ผงะเช่นกัน แต่เพียงเล็กน้อย มุมปากอาจารย์คังยกขึ้นด้วยความดีใจที่ได้พบเรื่องสนุก

"มันร้าย มันร้าย"

อาจารย์คังหยิบควายธนูทำด้วยตะกั่วออกมา บริกรรมคาถา เป่าส่งไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ใช้เวลาครึ่งอึดใจ  ควายธนูตะกั่วปลิวกลับมา ในสภาพตัวถูกบิดจนขาดครึ่ง

อดุลย์เริ่มจะนั่งไม่ติด อาจารย์คังต้องตบไหล่ให้ใจเย็น  ล้วงย่ามหยิบควายธนูเหล็ก แต่ก็เปลี่ยนใจ หยิบห่อผ้าประเจียดมาแทน 

เมื่อแก้ห่อผ้าออก ข้างในคือควายทองแดงเขาโง้ง ที่จัดสร้างอย่างประณีต อักขระมนตราไม่เพียงสลักบนลำตัวและขาทั้งสี่  แต่ทั้งบนหน้า ที่เขา ใต้คอ กีบเท้า ตลอดจนถึงหาง ถูกลงอักขระกำกับเพิ่มเติมจนไม่เหลือพื้นที่ว่าง 

อาจารย์คังยกขึ้นมาลูบจากปลายจมูกจรดหาง

"มหิทธา พ่อให้อาละวาดได้เต็มที่" อาจารย์คัง เป่า พ่วง "ไป"

ควายทองแดงหลุดออกจากมืออาจารย์คังพุ่งเข้าใส่ต้นมะเดียน  

เสียงมหิงสาคำรามอย่างบ้าคลั่ง  

ใช้เวลาอึดใจเต็มๆ  ควายทองแดงที่หัวขาดก็ถูกส่งมากองตรงหน้าอาจารย์คัง

ตอนนั้นเองท้องฟ้าเกิดวิปริตอาเพศ  เมฆดำรวมตัวกันเหนือต้นมะเดียน  เวลาเที่ยงวันแต่กลับมืดครึ้ม 
 
หญิงสาวห่มผ้าแถบสีเหลือง ใบหน้าบึ้งตึง ก้าวออกมาจากต้นมะเดียน  อาจารย์คังที่นั่งมองต้องแหงนคอ เพราะหญิงนางนั้นตัวสูงร่วม 5 วา

ชาวบ้านชาวช่องที่ล้อมดูแต่ไกล ไม่อยากเห็นอะไรอีกแล้ว ต่างรีบกลับเข้าบ้านใครบ้านมัน

อดุลย์ก็เช่นกัน  อาจารย์คังห้ามเขาไม่ได้แล้ว เขาหันกลับ ใส่เกียร์หมาวิ่งสี่ขาไม่เหลียวหลัง

"ครั้งหนึ่งก็แล้ว ครั้งสองก็แล้ว ยังมีครั้งสาม ต้องการราวีกับข้าแน่แล้วใช่ไหม" เสียงของนางมะเดียนขึ้งเคียด

ตอนนี้เหลือเพียงอาจารย์คังกับลูกศิษย์ ที่เกาะแขนอาจารย์คังขาสั่นพั่บๆ ไม่รู้ว่าควรวิ่งหนี หรือให้อาจารย์คังปกป้อง อย่างไหนจะทำให้รอดชีวิต

อาจารย์คังก็สั่นไม่แพ้กัน ตอนนายอดุลย์มาบอกว่ามะเดียนต้นนี้อย่างมากอายุแค่ร้อยกว่าปี ซึ่งเขามั่นใจว่าปราบได้  

แต่อืทธิฤทธิ์ที่เขาเห็นขนาดนี้  ถ้าอายุต่ำกว่า 300 ปี เขายอมให้ตัดคอเลย  

อาจารย์คังพนมมือท่วมหัว 

"ขอโทษเถอะจ้ะ ทางการเขาขอมา ให้ช่วยบอกแม่มะเดียน ว่าที่ตรงแม่มะเดียนอยู่ เขาจะสร้างถนนกัน ขอให้แม่มะเดียนย้ายไปจ้ะ"

"บอกข้า โดยส่งสมุนรับใช้มาทำร้ายข้าอย่างนี้หรือ"

"ฉันก็พยายามเรียกแม่แล้ว แต่แม่ไม่ยอมออกมานี่จ้ะ  ฉันก็เลยส่งพวกมันไปเคาะประตู แค่นั้นเอง แม่ก็ขยี้พวกมันระบายโทสะไปแล้วไม่ใช่หรือจ๊ะ"

"มุสานัก  เห็นว่าข้าโง่นักหรือ  นี่มันที่ของข้า ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ปู๋ทวดของปู่ทวดเอ็งยังไม่เกิด ไปบอกคนอื่นว่า ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น ใครไม่ระรานข้า ข้าไม่ระรานมัน"

"จ้ะๆ ฉันจะไปบอกให้จ้ะ"

เจ้าลูกศิษย์ราวกับได้รับนิรโทษกรรม ยกมือไหว้ แล้วเผ่นไปก่อน ทิ้งอาจารย์คังไว้เบื้องหลังคนเดียว

ส่วนอาจารย์คังก็หยิบย่ามขึ้นสะพายเตรียมเผ่นสุดชีวิตเช่นกัน แต่นางมะเดียนพูดว่า

"เอ็งจะไปไหน"

อาจารย์คังถามเสียงสั่นๆ

"แม่มีอะไรกับฉันอีกหรือจ๊ะ"

"เอ็งลงมือกับข้าสามครั้ง ข้าก็จะกระทืบเอ็งสามครา ค่อยปล่อยเอ็งไป"

อาจารย์คังอ้าปากหวออย่างตกใจ  

นางมะเดียนยื่นมือใหญ่โตเข้ามา  เขารีบลุกเดินถอยหลัง ถอดสร้อยประคำที่คล้องคอออกมา ประคำเส้นนี้ คือของดีที่อาจารย์ลือ ครูผู้ประสิทธิประสาทวิชาให้อาจารย์คัง มอบให้อาจารย์คังก่อนตาย  เขาขว้างสร้อยประคำเข้าใส่มือของนางมะเดียนที่หมายคว้าตัวเขา แล้วหันหลังวิ่งหนีโดยไม่รอดูผล

สร้อยประคำที่ลอยอยู่กลางอากาศพลันแปลงเป็นงูเห่าขนาดใหญ่ยักษ์  ลำตัวเท่าต้นมะพร้าว ตาสีทับทิมแดงเพลิง เกล็ดสีนิลเป็นประกายวาว แผ่แม่เบี้ย ขู่ฟ่ออย่างน่ากลัว  

มันแสยะเขี้ยว ฉกกัดใส่มือของนางมะเดียน

แต่เขี้ยวยาวของงูยักษ์นั้นกัดไม่เข้า  จึงถูกนางมะเดียนจับส่วนคอและส่วนลำตัวด้วยสองมือ แล้วกระชากอย่างแรง

งูยักษ์ที่ถูกกระชากจนตัวขาดก็กลับคืนเป็นลูกประคำกระจายร่วงเป็นห่าฝนไปทั่วพื้น

"มานี่"  นางมะเดียนกวักมือวูบหนึ่ง  อาจารย์คังถูกดึงร่าง ราวกับมีคนลากคอกลับไป

ยามจนตรอก อาจารย์คังหยิบสิ่งของประดามีในย่ามขว้างใส่ ทั้งข้าวสาร ก้อนดิน สายสิญจน์ มีดอาคม ควายธนูเหล็ก ผ้ายันต์ เทียน สุดท้ายก็ขว้างใส่ทั้งย่าม แต่ก็ไม่เป็นผล  นางมะเดียนโบกมือเหมือนปัดแมลงวัน ของพวกนั้นก็ปลิวหายไปคนละทิศคนละทาง

อาจารย์คังลงมานอนที่เท้าของนางมะเดียนร้องลั่น 

"อ๊าาาากกกก"

"เอ็งจะร้องทำไม ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย" 

ว่าแล้วก็กระทืบเท้าขนาดใหญ่ลงบนตัวของอาจารย์คัง

"อ่อออกกก" อาจารย์คังกระอักเลือด  กระดูกบนตัวหักไปหลายซี่ เครื่องในทั้งหลายเหมือนจะย้ายที่  เจ็บปวดจนแทบสลบ

นางมะเดียนยกเท้าขึ้น กำลังจะย่ำเป็นครั้งที่สอง

"พอเถอะโยม อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตเขาได้ไหม"

ภิกษุชรารูปหนึ่ง ธุดงค์ผ่านมาช่วยชีวิตอาจารย์คังได้ทันเวลา

นางมะเดียนเพียงชายตามองท่าน

"เรื่องนี้พระไม่เกี่ยว"

"เห็นสัตว์โลกมีทุกข์ พระมาโปรดสัตว์ นี่เป็นเรื่องของพระแน่เทียวโยม"

"มันทำฉันก่อน ฉันแค่เอาคืน"

"ล้างแค้นแล้วได้อะไร ก่อบาปสร้างกรรม มอบทุกข์ให้ผู้อื่น ความทุกข์ไม่หาย  แค่ให้อภัย ก็หมดเวรหมดกรรมต่อกัน ความทุกข์สิ้นไป จริงไหมโยม"

"..."

"เขาได้บทเรียนแล้ว หลังจากนี้เขาคงไม่มารบกวนโยมอีกแล้วล่ะ ไว้ชีวิตเขาเถอะโยม"

นางมะเดียนวางเท้าลง ไม่ได้เหยียบใส่อาจารย์คัง

"ฉันเห็นแก่ท่าน"

พระชรายิ้ม

"อภัยให้เขาแล้ว รู้สึกสบายใจขึ้นใช่ไหม"

นางมะเดียนไม่ตอบ กลับเข้าไปในต้นมะเดียนเงียบๆ  เมฆหนาทึบบนฟ้าพลันกระจายตัว กลายเป็นเวลากลางวันที่สว่างจ้าอย่างที่ควรจะเป็น

ชาวบ้านที่เห็นเหตุการณ์สงบลงแล้ว ค่อยๆโผล่หัวมาทีละคนสองคน มีคนใจกล้า เข้าไปดูต้นมะเดียน ก็เห็นอาจารย์คังนอนอยู่บนพื้น มีพระธุดงค์รูปหนึ่งนั่งดูอาการอยู่ข้างๆ  พวกชาวบ้านจึงช่วยกันหามอาจารย์คังส่งโรงหมอ  ส่วนพระธุดงค์รูปนั้นก็ธุดงค์ไปตามมรรคของท่านต่อไป 
 

ผ่านไปอีกสามวัน

ซองเอกสารขนาดใหญ่ถูกส่งมาถึงเจ้ากรมโยธาจังหวัด 

เขารีบเปิดซองดูสิ่งที่อยู่ข้างใน เมื่อพบว่าเป็นสิ่งที่ต้องการ เขายกขึ้นรับใส่เกล้า  แล้วรีบนำไปใช้ในตอนนี้เลย  แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเย็นแล้ว แต่เขาไม่อยากรอจนถึงพรุ่งนี้  และกลัวว่าจะมืดเสียก่อนด้วย

ท่านเจ้ากรมมาถึงต้นมะเดียนสุดเฮี้ยน โดยมีชาวบ้านตามมาดูตามเคย ตามประสาคน...ถึงกลัวก็อยากจะเห็น ถึงเห็นแล้วกลัวก็จะดู อยากจะรู้ว่าท่านเจ้ากรมจะโดนเจ้าแม่มะเดียนเล่นงานอย่างไร

ตั้งแต่ที่ได้อ่านรายงานของนายอดุลย์ ท่านเจ้ากรมก็แน่ใจว่าต้องเป็นต้นมะเดียนอาถรรพ์ที่ปู่เขาเคยเล่าให้ฟังแน่ๆ  เขาก็ไม่คิดว่านายอดุลย์จะกล้าเอาหมอผีกระจอกๆมาปราบมะเดียนต้นนี้  เขาบอกให้อยู่เฉยๆแล้วก็ไม่เชื่อ  การจัดการมะเดียนนี้ต้องจัดการอย่างถูกวิธี  และวิธีที่เขาใช้คือ 

เขียนจดหมายไปเมืองหลวง  เพื่อขอสิ่งนี้มา

ท่านเจ้ากรมเปิดซองเอกสาร ดึงสิ่งที่อยู่ข้างในออกมา ทาด้วยแป้งเปียก แล้วนำไปติดที่ต้นมะเดียน

                                                                      พระบรมราชโองการ  

                ขอประกาศว่า ที่ดินผืนนี้ถูกกำหนดให้ต้องใช้เพื่อดำเนินการสร้างถนนเชื่อมต่อระหว่างอำเภอ ด้วยความจำเป็น
                  อันจะอำนวยความสะดวก ยังผลประโยชน์ในด้านคมนาคม สาธารณูปโภค และเศรษฐกิจให้แก่ราษฎรในที่นี้
       จึงมีคำขอมายังท่านทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าของพื้นที่  โปรดเสียสละเพื่อประโยชน์ของราษฏร อันเป็นการสร้างคุณให้กับประเทศต่อไป

                                                                                                      ลงพระปรมาภิไธย พระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน

ชาวบ้านที่อ่านหนังสือออก อ่านให้ฟังกัน 

เมื่อได้รู้ว่าเป็นพระบรมราชโองการต่างก็ตื่นเต้นกันจนส่งเสียงเซ็งแซ่  ยามนี้ไม่มีใครกลัวต้นมะเดียน แย่งกันเข้าไปดูพระบรมราชโองการใกล้ๆ 
โดยเฉพาะที่ พระปรมาภิไธยขององค์พระมหากษัตริย์  ต่างพนมมือท่วมหัวที่มีบุญได้เห็น  

พวกชาวบ้านมุงดูกันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเริ่มมืด  จึงได้แยกย้ายกันกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะมองไม่เห็นพระบรมราชโองการแล้ว แต่เพราะกลัวที่จะเจอนางมะเดียน

คืนนั้น คนที่มีบ้านอยู่ใกล้ต้นมะเดียนนั้น ต่างนอนไม่หลับ คลุมโปงกันไม่คิดชีวิต
 
กระทั่งหมายังไม่กล้าหอน 

เพราะเสียงฟ้าร้อง เมฆคำราม ประสานไปกับเสียงร่ำไห้โหยหวนดังกังวานก้องไปทั่วคุ้งน้ำ เสียงนั้นกรีดแหลมแทงใจ ลากยาวถึงฟ้าสาง

รุ่งเช้า ใครๆก็ตกตะลึง รวมถึงท่านเจ้ากรมและนายอดุลย์ที่พาคนงานชุดใหม่มาเพื่อตัดต้นมะเดียนก็อ้าปากค้าง 

ต้นมะเดียนอายุหลายร้อยปี ที่เคยสูงสง่า ใบเหลืองกรอบร่วงจนหมดต้น  ไม่เหลือความน่าเกรงขามดังเช่นวันวาน ราวกับมะเดียนต้นนี้ ยืนต้นแห้งตายมาหลายปี

ท่านเจ้ากรมปลดพระบรมราชโองการลงมา เพื่อนำไปใส่กรอบ ตั้งใจจะใช้ประดับห้องทำงาน  แล้วสั่งคนงานให้เริ่มงาน 

คนงานใช้เลื่อยตัดโค่นต้นมะเดียนลงอย่างง่ายดาย 

จากนั้น การสร้างถนนก็เป็นไปอย่างราบรื่น เสร็จล่าช้ากว่ากำหนดเล็กน้อย แต่เป็นที่ยอมรับได้

ส่วนต้นมะเดียนที่ถูกตัดนั้น ไม่มีใครกล้านำไปทำอะไร จึงถูกวางทิ้งไว้ข้างทางที่มันเคยอยู่ตรงนั้นเอง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่