•  ราคาหุ้นลดลงในสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยเพิ่ม เพราะธุรกิจทำกำไรได้น้อยลง เนื่องจาก ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้น และ ผู้บริโภคใช้จ่ายน้อยลง 

•  ราคาตราสารหนี้และดอกเบี้ย มีความสัมพันธ์ที่สวนทางกัน อนึ่งคือ เมื่อดอกเบี้ยเพิ่ม ภาครัฐและธุรกิจจะเจอต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้น ทำให้ต้องออกตราสารหนี้ที่ราคาถูกลง/มีyieldสูงขึ้น เพื่อให้คนมาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ แทนตลาดตราสารทุน 

•   ขณะเดียวกัน ในมุมของนักลงทุน ก็มองว่าตลาดตราสารทุนน่าดึงดูดน้อยกว่า เพราะ risk premium นั้นลดลง (กล่าวคือ excess return ที่จะได้จากการลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงสูงอย่างหุ้น ลดลง)  ทำให้หันไปมองตราสารหนี้ว่าน่าจะคุ้มค่าเม็ดเงินและการลงทุนมากกว่า

ทีนี้มันมีอีก 1 มุมมองที่เราว่าน่าสนใจมาก 

อ้างอิงจาก: What is the effect of interest rates on stock market? Quora

•  มูลค่าเงินตามเวลา (time value of money) นั้นส่งผลให้มูลค่าเงินในอนาคตน้อยกว่าปัจจุบันเสมอ ณ จำนวนที่เท่ากัน (กล่าวคือ 120บาทปีหน้า จริงๆมีค่าเท่ากับ 100บาทในวันนี้) ทฤษฎีนี้ครอบคลุมทุกด้านของเศรฐกิจ คือกำไรและรายได้ของธุรกิจวันนี้ หรือเงินสดของคนธรรมดาๆวันนี้ ในอนาคตจะมูลค่าลดลง ซึ่งสัมพันธ์กับทฤษฎีเงินเฟ้อที่ว่า ค่าเงินลดลงตามการใช้จ่ายที่เพิ่มมากขึ้น

•  ดังนั้น หากดอกเบี้ยเพิ่มสูง นักลงทุนจะมองว่า การออมเงินในธนาคารน่าดึงดูดกว่าการใช้เงิน  เพราะได้ดอกเบี้ยเงินฝากที่สูงขึ้น ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้ไปรับมือกับค่าเงินที่จะลดลงในอนาคตได้

•  นอกจากนี้ ในมุมมองของ การประเมินมูลค่าธุรกิจ (company valuation) เมื่อดอกเบี้ยเพิ่ม ธุรกิจเผชิญต้นทุนที่สูงขึ้น ทำให้มูลค่าของกำไรที่ทำได้วันนี้ลดลงทันที เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า (กล่าวง่ายๆคือ หากบริษัททำกำไรได้ประมาณปีละ 1ล้าน ณ ดอกเบี้ย 10% จะพบว่า มูลค่าของกำไรในปีที่ 2 กำไรที่ทำได้มูลค่าจะลดเหลือ 8แสน กลับกัน  ณ ดอกเบี้ย 15% มูลค่าของกำไรในปีที่2 จะลดไปเหลือแค่ 6.5แสน)

•  ผลที่ตามมาคือ นักลงทุนจะลงทุนในตราสารหนี้ หรือออมเงินในธนาคาร มากกว่าเอาเงินไปลงในตราสารทุน นั่นเอง

เป็นไงบ้างคะ เรามีการเรียบเรียงเหตุการณ์ผิด หรือตกหล่นอะไรไหม มาแชร์กันค่ะ ตอนนี้กำลังเห่อกับการศึกษา ไฟลุกกกกก