สัญญาอมตะ ตอนที่ 1

กระทู้คำถาม
**นิยายเรื่องนี้เป็นตัวรีไรท์ของเรื่อง จอมเวทอมตะ ที่เคยลงมาแล้ว ที่เปลี่ยนชื่อเพราะคิดว่าดูน่าสนใจกว่า**

            ท่ามกลางความวุ่นวายในเมืองเอสคอต เซธเดินอย่างเหนื่อยอ่อนทว่ามีจุดหมายอยู่ในใจ เขาต่อสู้กับความเหนื่อยอ่อนที่รุมเร้าทั่วร่างจากอากาศร้อนจัด ผู้คนมากมาย เสียงอึกทึกครึกโครมในเมืองใหญ่ และการจราจรที่แออัดของถนนเส้นหลัก ความทรงจำที่นานกว่าหกร้อยปีของเขาไม่ค่อยเป็นมิตรกับเครื่องจักรสมัยใหม่เท่าไรนัก
 
            ‘เลี้ยวขวาแยกข้างหน้าโน้น แล้วตรงไปอีกสี่ช่วงตึก’ เสียงตามความคิดถูกส่งเข้ามาในหัวของเซธโดยตรง 
 
            สิ่งที่คอยตามติดตัวเขามาตลอดมักรู้สึกสนุกทุกครั้งที่เห็นเขาใช้ความพยายามอย่างแสนสาหัส อย่างขณะนี้เป็นต้น เซธสามารถทุ่นเวลาเดินทางได้โดยใช้วิธีที่เขาชอบ ทว่าท่านผู้นั้นที่คอยอยู่เคียงข้างเขาไม่อยากทำให้เป็นจุดสังเกตจึงต้องยอมตามคำสั่งเช่นทุกครั้ง ทำให้เขาต้องเดินอยู่ในดงมนุษย์ธรรมดาที่สับสนวุ่นวาย
 
            เซธขยับขายาว ๆ ให้ก้าวเดินพลางคิดไปถึงอดีตที่นานแสนนานตั้งแต่สมัยมนุษย์ยังต่อสู้กับปิศาจ จนบัดนี้เหล่าปิศาจทั้งหลายหายไปจากเอนโวลาเกือบทั้งหมด เขานึกถึงเรื่องในอดีตได้แค่บางเรื่องแม้จะมีชีวิตมายาวนาน การสิ้นสุดสงครามระหว่างมนุษย์กับปิศาจโดยต้องสังเวยชีวิตของอัศวินหนุ่มที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งการต่อต้าน การถดถอยของเวทมนตร์ การรุดหน้าของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อีกทั้งการลบเลือนตัวตนของเสาค้ำจุนทั้งสี่และนักรบเทพทั้งแปดในตำนาน 
 
            ในทางเบื้องหลังของเอนโวลาไม่ได้มีแต่เสาค้ำจุนและนักรบเทพเท่านั้นที่หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ สิ่งมีชีวิตเวทมนตร์ เผ่าเทพ สัตว์วิเศษที่ทรงอำนาจมาก ๆ และปิศาจส่วนใหญ่ที่มักดำเนินเรื่องต่าง ๆ อยู่หลังม่าน สิ่งที่กล่าวมาเกือบทั้งหมดหายไปราวหมอกควัน เหมือนกับเมื่อหลายพันปีก่อนจะเคยมีคำพยากรณ์ว่าดินแดนนี้จะถูกปกครองโดยมนุษย์ เผ่าพันธุ์อื่นที่เทียบเคียงได้จะหมดไป ซึ่งท่านผู้นั้นที่ล่องหนอยู่ข้าง ๆ เซธคงรู้เหตุผลดีที่สุด
 
            แต่ไม่ใช่ทั้งหมดจะหายตัวไป อย่างน้อยก็ยังเหลือท่านผู้นั้นที่ออกเดินทางร่วมกับเซธกับพวกปิศาจอีกกลุ่ม ไม่นับพวกวิญญาณภูตต่าง ๆ ในธรรมชาติที่ลบเลือนตัวตนอย่างจงใจ เขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจึงไม่สามารถเข้าใจเจตนาของเสาค้ำจุนได้
 
            เซธกลับสู่ปัจจุบันเมื่อเดินมาถึงสี่แยกที่มีไฟจราจร เขาจะต้องข้ามถนนเพื่อไปทางขวาของแยกนี้ สัญญาณจราจรยังเป็นสีเขียวเขาจึงหยุดเดินเพื่อรอให้เหล่าพาหนะที่ผ่านทางตรงหน้าหยุด ระหว่างนั้นเซธมองผ่านสีสันต่าง ๆ ของรถยนต์วิ่งไปอีกฝั่งถนน เขาสังเกตเห็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าคุ้นเคย เส้นผมสีดำมัดเป็นหางม้าด้านหลัง ใบหน้าตกกระเล็กน้อย นางกำลังหอบหนังสือไว้ข้างตัวพร้อมก้าวเท้าอย่างไม่สนใจใคร
 
            “โซลาน่า” เซธเผลอพูดกับตัวเองเหมือนกับที่เป็นช่วงหลัง ๆ มานี้ เขาย่อมจำหญิงสาวที่รักจนหมดใจได้ นางเคยคืนชีพมาครั้งหนึ่งและจะต้องคืนชีพได้อย่างสมบูรณ์เมื่อเขาบรรลุจุดหมาย 
 
            โดยไม่รู้ตัวเซธเดินหน้าโดยลืมไปว่ามีกลุ่มพาหนะสี่ล้อวิ่งด้วยความเร็วอยู่ตรงหน้า ตอนนี้เป็นเวลาเที่ยงวันการสัญจรไม่หนาแน่นเท่าช่วงเช้าหรือเย็นทำให้พาหนะเหล่านี้ขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูง ยิ่งก่อนไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงยิ่งสูงมากขึ้นอีก! 
 
            เพียงสองก้าวเขาก็ได้สติว่าตนลงไปยืนนอกทางเท้าในเขตถนนที่เป็นทางวิ่งของรถยนต์ ไม่ทันให้ชักเท้ากลับเสียงแตรก็ดังลั่น พร้อมกันนั้นพาหนะที่วิ่งมาด้วยความเร็วก็พุ่งชนผู้ที่ที่ประมาทเกินไป! ร่างสูงถูกชนกระเด็นไปกระแทกเสาติดตั้งสัญญาณไฟจราจรจนสั่นกราว
 
            เซธนอนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความเจ็บปวดที่คุ้นเคย บางทีกระดูกของเขาอาจหักสักท่อนสองท่อน หรือไม่เครื่องในก็อาจช้ำถึงขั้นตกเลือด แล้วเขาอาจสลบด้วยความเจ็บปวดที่อาจนำความตายมาสู่คนทั่วไป แต่ไม่ใช่กับเขา
 
            ขณะเดียวกันผู้คนเดินถนนก็เข้ามามุงดูคนโดนชนจนนอนแน่นิ่ง รถพยาบาลถูกเรียกมาช่วยเหลือในไม่กี่นาทีหลังจากนั้น พนักงานทางการแพทย์ขนร่างปวกเปียกขึ้นเตียงผ้าใบก่อนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เลือดที่ทะลักออกทางปากและจมูกหยุดไหล ลมหายใจของผู้ประสบเหตุกลับสม่ำเสมอจนน่าแปลกใจ เมื่อจับชีพจรและฟังเสียงหัวใจเต้นหัวหน้าพนักงานก็กระซิบบางอย่างกับลูกน้อง บางสิ่งที่ประธานาธิบดีของสหพันธรัฐลงประกาศให้รางวัลไว้นานแล้วแต่ไม่มีใครใส่ใจ  
 
            ร่างที่สงบนิ่งของเซธถูกขนขึ้นบนรถพยาบาล ทว่ามันไม่ได้มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลหากวิ่งไปตามทางที่ท่านผู้นั้นของเซธต้องการ...
            
 
            แทบทุกครั้งที่เซธนอนหลับเขาจะฝัน เขาเคยอ่านงานวิจัยของนักวิชาการว่าเป็นการผ่อนคลายของจิตใจ ยิ่งแก่ตัวยิ่งฝันมาก บางครั้งก็ขึ้นอยู่กับความฉลาดของคนนั้น ๆ ด้วย ในกรณีของเซธนั้นเขามักฝันถึงอดีตที่ไกลแสนไกล ความทรงจำหลายร้อยปีของเขาบางส่วนหายบางส่วนขาดวิ่น และบางส่วนยังปรากฏในรูปของความฝันยามหลับใหลไม่ว่าในกรณีใด ๆ 
 
            เซธอยู่ในห้วงฝันอีกครั้ง เขากำลังเดินทางอยู่กับท่านผู้นั้นที่ริมทะเลแห่งหนึ่งตั้งใจว่าจะไปขอพักแรมในหมู่บ้านชาวประมงข้างหน้า ทันใดนั้นรอบด้านก็สั่นไหวพร้อมเสียงดังดั่งฟ้าถล่ม ไกลออกไปจากชายฝั่งซึ่งพระอาทิตย์กำลังจะตกดินเกิดภูเขาไฟระเบิดขึ้น เถ้าภูเขาไฟลอยขึ้นท้องฟ้าดั่งลมหายใจของอสูรยักษ์จากนรก ท้องทะเลสั่นสะเทือนจนเขาสัมผัสได้ หมอกควันสีทึมทึบเปลี่ยนท้องฟ้าทางทิศตะวันตกให้เป็นสีเลือด!
 
            ความฝันสิ้นสุดลงแค่นั้น เซธตื่นขึ้นในคุกเหม็นอับแห่งหนึ่ง เขากำลังนั่งบนเก้าอี้ไม้ผุ ๆ ถูกมัดไว้ด้วยเชือกอย่างแน่นหนาจนไม่สามารถลุกได้ ในห้องขังสี่เหลี่ยมมีชายสี่คนยืนอยู่ข้างประตูลูกกรงขึ้นสนิม สองในสี่คนร่างแกร่งเกร็งสวมเครื่องแบบผู้คุ้มกัน คนหนึ่งตัวเตี้ยสวมแว่นถือสมุดบันทึกเหมือนเป็นเลขานุการ ส่วนอีกคนเป็นชายวัยกลางคนผมน้ำตาลทำให้เขารู้สึกถึงบางสิ่งแปลก ๆ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นสูทที่หรูหราหรือใบหน้ากร้านเกรียม ดูอย่างไรก็เป็นคนปกติทุกกระเบียดนิ้ว
 
            เมื่อเห็นเซธตื่นแล้วชายร่างแกร่งเหมือนทหารก็ก้าวอย่างมั่นคงไปทางโต๊ะไม้เก่าคร่าข้าง ๆ ที่มีเครื่องมือในการทรมานวางเรียงรายอยู่ ทั้งมีด เลื่อย ค้อน แส้ ตะปู เข็ม ฯลฯ แทนที่จะหวาดกลัวเซธกลับมองของพวกนั้นด้วยความเบื่อหน่าย 
 
            “ทดสอบเดี๋ยวนี้เลย ทำให้มั่นใจก่อนการเจรจา” ชายวัยกลางคนที่เหมือนจะเป็นหัวหน้าเร่ง ชายที่น่าจะเป็นทหารหยิบมีดขึ้นมาแล้วมองเซธอย่างขอโทษขอโพย จากนั้นมีดคมกริบก็แทงลงบนต้นแขนของนักโทษผู้ไร้ทางปกป้องตัวเอง! ความเจ็บปวดตามธรรมชาติแล่นไปทั่วแขนข้างนั้น เซธเกร็งร่างด้วยความเจ็บปวดจนแทบร้องออกมา
 
            แล้วสิ่งที่ไม่เป็นธรรมชาติแสดงตัว เลือดสีแดงสดหยุดไหลในไม่กี่วินาทีแล้วปากแผลก็สมานติดกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทหารนายนั้นเฉือนแขนเสื้อของเซธออกให้เห็นแขนชัดขึ้น จุดที่น่าจะมีแผลบัดนี้ไม่มีรอยแผลเหลืออีกแล้ว มีเพียงรอดเลือดข้น ๆ ให้รู้ว่าตรงนั้นเคยมีแผลอยู่เท่านั้น!
 
            “ท่านประธานาธิบดี ไม่มีร่องรอยการใช้เวทมนตร์ และเจ้าหนุ่มนี่ก็ไม่มีเครื่องใช้สมัยใหม่ติดตัวด้วย” ชายใส่แว่นรายงานต่อชายที่น่าจะเป็นหัวหน้าของพวกเขา เซธได้ยินว่าเขาคือประธานาธิบดีคงเป็นผู้นำของสหพันธรัฐแห่งนี้
 
            “เจ้าหนุ่มนี่รอดจากรถชนได้แถมยังรักษาแผลมีดแทงได้ทันทีอีก...แต่ผมยังอยากรู้จนแน่ใจว่าเขาเป็นอมตะจริงไหม ดังนั้นช่วยทดสอบอีกครั้ง” ชายที่ถูกเรียกว่าประธานาธิบดีพูดอย่างมีข้อกังขา ดวงตาสีเหล็กฉายแววละโมบอย่างไม่ปิดบัง
 
            ลูกน้องคนเดิมวางมีดเปลี่ยนมาหยิบค้อนเหล็กที่ใช้ในงานช่างขึ้นมาเงื้อเตรียมฟาดลงบนหัวของนักโทษที่นั่งนิ่งด้วยความคิดบางอย่าง
 
            “ไม่ต้องทดสอบหรอก ข้าเป็นอมตะ...” 
 
            หากให้พูด เครื่องหมายการค้าของเซธคงเป็นความเชื่องช้า ไม่ทันให้พูดจบค้อนก็ถูกเหวี่ยงลงถากหัวด้านข้างของเขา เลือดกับชิ้นเนื้อกระจายลงบนผนังด้านหนึ่งที่สกปรกอยู่แล้ว เซธร้องไม่ออกและสติขาดห้วงเพราะสมองถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก 
 
            ผู้เป็นอมตะนิ่งไปหลายอึดใจรอให้บาดแผลร้ายแรงรักษาตัวเองท่ามกลางสายตาของคนทั้งสี่ พอได้สติกลับมาจึงพบว่าผู้เป็นประธานาธิบดีกำลังมองเขาอย่างใจจดใจจ่อว่าจะกลับเป็นเหมือนเดิมได้หรือไม่
 
            “แกเป็นอมตะได้ยังไง” 
 
            แค่อีกฝ่ายอ้าปากเซธก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายปรารถนาจะเป็นอมตะจึงค้นหาคนที่เป็นอมตะมาเค้นคอ ในเวลาหลายร้อยปีเขาพบคนอย่างนี้มามาก พวกนั้นอยากเป็นอมตะเพื่อตัวเองเท่านั้น ต่างกับเซธที่ไม่อยากเป็นอมตะเลย
 
            ผู้เป็นอมตะเตรียมพ่นคำหยาบออกมาว่าไม่มีทางบอก ทว่าท่านผู้นั้นที่ตามเขาเหมือนเงาตามตัวเดินก้าวพ้นผ้าม่านออกมาเบื้องหน้า เห็นเป็นกลุ่มก้อนอากาศสีดำสนิทแผ่ออกมาเหมือนความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุด ดวงตาสีแดงเลือดลุกวาวอยู่ด้านในวงก้นหอยสีดำทมิฬอย่างหยิ่งยโส ก่อนจะเอ่ยคำพูดด้วยภาษาโบราณนับพันปี
 
            “คนที่ทำให้เขาเป็นอมตะคือฝ่าบาทของข้าเอง เรื่องมอบความเป็นอมตะให้มนุษย์ข้าก็ทำได้” ท่านผู้นั้นที่โผล่ออกมาแค่ดวงตาในม่านหมอกสีดำพูดอย่างระแวดระวัง หากยกมือกุมขมับได้เซธคงทำไปแล้ว ประธานาธิบดีคนนี้ดูโลภมากก็จริงแต่เทียบท่านผู้นั้นไม่ได้เลยสักกระผีกริ้น
 
            ไม่ทันสิ้นเสียงกังวานของท่านผู้นั้นกลุ่มก้อนอากาศสีเหลืองทองก็ปรากฏขึ้นบ้าง ดวงตาสีเหลืองเหมือนก้อนอำพันภายในจ้องมองกลุ่มก้อนสีดำด้วยความรู้สึกล้ำลึก
 
            “สิ่งที่น่ากลัวจับใจ...เจอกันจนได้” เสียงต่ำ ๆ จากกลุ่มก้อนอากาศสีเหลืองราวกับแฝงนัยไว้มากมาย พอสิ้นเสียงมันก็หายไปในทันที 
 
            “คงไม่เก็บข้าวของหนีไปทันทีหรอกใช่ไหมนั่น เผลอตามอารมณ์แล้วเป็นแบบนี้ทุกที” ราวกับท่านผู้นั้นสละคราบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั่วคราวแล้วกลับมาทำตัวเหมือนปกติ
 
            ลูกน้องทั้งสามคนงงงวยว่าเกิดอะไรขึ้น ประธานาธิบดียิ่งสับสนหนักเพราะสิ่งที่คอยออกคำสั่งเขาอยู่เบื้องหลังแสดงตัวออกมาเองเสียอย่างนั้น ตอนนั้นเองกลุ่มก้อนความมืดก็ค่อย ๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดทูนิกสีขาวผ้าคลุมสีดำ ดวงตาสีพระจันทร์เลือดทรงพลังแรงกล้าจนแทบบดบังแสงสลัวในคุกใต้ดิน
 
            “ยุคนี้ก็ต้องแบบอื่นสินะอนาธอล” ท่านผู้นั้นถามความเห็น ทันใดนั้นเชือกทุกเส้นที่รัดพันตัวเซธอยู่ขาดเป็นเสี่ยง ๆ ชุดโบราณของท่านผู้นั้นกลายเป็นหมอกดำแล้วเปลี่ยนเป็นสูทกำมะหยี่สีเทาดำกับรองเท้าหนังมันขลับ
 
            “ข้าเปลี่ยนชื่อเป็นเซธมาเกือบสามร้อยปีแล้วฝ่าบาท ตอนท่านแนะนำว่าควรทิ้งอดีตที่อ่อนแอไป” เซธลุกขึ้นบิดตัวด้วยความปวดเมื่อย 
 
            “พวกเจ้าสามคน พาเขาไปพักในห้องพักที่ดีที่สุดสำหรับแขก เอาสัมภาระของเขาไปด้วยแล้วให้เขารอข้าที่นั่น” ท่านผู้นั้นโบกมือใส่ลูกน้องของประธานาธิบดีทั้งสาม พวกเขานิ่งเหมือนหุ่นเชิดแล้วเปิดประตูให้เซธออกไปเพื่อพักผ่อน “ส่วนเจ้า ประธานาธิบดี ข้าคิดว่าน่าจะตกลงต่อรองกับเจ้า...ก่อนไปจัดการเจ้านั่น”
 
            “แกทำให้ฉันเป็นอมตะได้อย่างนั้นหรือ” ประธานาธิบดีดูตกใจที่ลูกน้องพากันเดินออกไปจากห้องขัง ส่วนเซธผู้เป็นอมตะดีใจที่ไม่ต้องฟังท่านผู้นั้นยื่นข้อเสนอกับมนุษย์ที่ควบคุมความโลภไม่ได้ เพราะเขารู้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ส่วนมากจะเป็นอย่างไร
 
            “ใช่ ข้าทำให้เจ้าเป็นอมตะได้ แต่ว่า...” เซธยังได้ยินเสียงของท่านผู้นั้นดังมาตามทางเดิม ท่านผู้นั้นของเซธใช้คำนี้ฟุ่มเฟือยมาก และมักจบไม่สวยเพราะคนทำสัญญาไม่ยอมฟังข้อแม้เหล่านี้ให้ดี 
 
            เสียงกรีดร้องอย่างคนเสียสติของประธานาธิบดีบอกได้อย่างชัดเจนว่าท่านผู้นั้นตกเหยื่อตัวโตได้ เซธถอนหายใจแล้วเดินตามผู้รับใช้ไปยังที่พักแขกของประธานาธิบดี...
 
 (มีต่อ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่