รถไฟสายเที่ยงคืน-ตอน2

สวัสดีค่ะ วันนี้จะหยิบเอาเรื่องเล่าเขย่าขวัญตอนหนึ่งจากงานแปลของเราเองที่ชื่อว่า "นอนไม่หลับ" ซึ่งเราเลือกเอาเรื่องเล่าน่ากลัวๆ จากบอร์ดฝรั่งชื่อดังมาแปลให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน  โดยปกติเราจะอัปเดตทุก 2 วันในเว็บของเราเองชื่อ "นอนไม่หลับ" ค่ะ (ลิงก์นี้นะคะ)
ปล. ก่อนแปลทุกครั้ง เราได้ขออนุญาตเจ้าของเรื่องเป็นการส่วนตัว และได้รับอนุญาตจากเจ้าของเรื่องแล้วทั้งสิ้นนะคะ ทั้งนี้สำนวนการแปลเป็นถือเป็นลิขสิทธิ์ของเรา ห้ามก๊อบปี้ไปลงเว็บอื่นห้ามเอาไปอ่านลง Youtube โดยไม่ได้รับอนุญาตเด็ดขาดนะคะ 
มาเริ่มกันเลยค่ะ
-----------------------------------------------------

ตอนที่ 2
พวกเรา.. ฉันยังไม่ตาย แต่ไม่ได้นอนมากว่ายี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วและตอนนี้ปวดหัวน่าดู แต่เชื่อเถอะ ว่าแค่ปวดหัวยังดีกว่าเรื่องร้ายๆ ที่อาจเกิดขึ้นที่นี่ได้ตลอดเวลา ฉันได้รู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกฎบนรถไฟและได้พบกับผู้โดยสารอื่นสองสามราย
เอาล่ะ เรามาต่อกันจากตอนที่แล้วกันเลย
(ขอบอกก่อนว่าเรื่องของตู้นอนหมายเลข 18 เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายและการทำร้ายเด็ก ดังนั้นถ้าคุณรู้สึกไม่สบายใจในหัวข้อเรื่องเหล่านี้ จะข้ามเนื้อหาส่วนนั้นไปก็ได้นะ)
สิ่งเดียวที่บ่งชี้ว่าอาทิตย์ขึ้นแล้วคือแสงไฟอ่อนเบลอๆ ไร้รูปร่างนอกหน้าต่างที่ดูสีอ่อนกว่าเดิม อย่างน้อยดูเหมือนเวลาจะเป็นไปตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น แม้ฉันจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหนก็ตาม
แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกับนักล่า ฉันนอนไม่หลับเลยทั้งคืน พอใจสงบลงบ้าง ฉันเริ่มตรวจดูสิ่งต่างๆ ภายในตู้นอนและพบเสื้อผ้าในตู้เก็บของเล็กๆ ตรงข้ามเตียง บางชุดมีขนาดที่ฉันใส่ได้พอดี และกฎไม่ได้ห้ามไม่ให้ใส่ ฉันเลยเปลี่ยนจากชุดเดิมที่เปียกฝนเมื่อคืนมาใส่ชุดใหม่ เพื่อกันไม่ให้เป็นไข้หวัด
ในที่สุดพอเริ่มสว่าง ฉันกล้าพอที่จะออกมาจากตู้นอนเป็นครั้งแรก โดยมีมือถือ (ซึ่งมีตั๋วเหน็บอยู่กับเคส), รายการกฎของรถไฟ, และกระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วยและทิ้งอย่างอื่นไว้ในตู้นอน
โถงทางเดินเงียบสงัดและว่างเปล่าน่าขนลุก ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าทำไมความเงียบนี้ถึงทำให้รู้สึกหนาวๆ ร้อนๆ บอกไม่ถูก จนกระทั่งฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าในเมื่ออยู่บนรถไฟที่กำลังวิ่ง อย่างน้อยก็ควรจะได้ยินเสียงโลหะกระทบโลหะหรือล้อรถไฟเสียดสีกับรางรถไฟบ้าง แต่ไม่มีเสียงอะไรเลยนอกจากความเงียบสงัด แม้ว่ารถไฟจะยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงก็ตาม
ฉันรู้ว่าไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนจะใจดี และก็กลัวมากที่จะต้องพบกับพวกเขา แต่ในขณะนั้น ฉันจะยอมทำทุกอย่างเพื่อให้มีมนุษย์อีกคนอยู่ใกล้ๆ ฉันเริ่มร้องเพลงเบาๆ ซ้ำๆ เพื่อทำลายความเงียบ ขณะเดินไปที่ประตูซึ่งนำไปสู่ตู้รถไฟอีกตู้หนึ่ง ด้วยความที่ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปในทิศทางไหน เลยเลือกหันไปทางซ้ายแล้วออกเดิน
ฉันเดินผ่านตู้รถไฟหนึ่งที่ด้านในมีตู้นอนเรียงยาวขนาบข้างทางเดิน ฉันเดินมาถึงตู้นอนหนึ่งซึ่งมีผู้โดยสารอยู่ในนั้น ในตอนแรก ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ จนกระทั่งดันเผลอไปมองดูใกล้ๆ
ชายคนหนึ่งตัวสูงมากหัวเกือบถึงเพดาน แขนขาของเขายาวผิดมนุษย์และลำตัวเล็กลีบ ส่วนผู้หญิงก็ผอมแห้งมีแต่หนังหุ้มกระดูก ผิวซีดดูบอบบางเหมือนคนป่วย มีลูกกวาดกองโตอยู่ตรงหน้าและเธอแกะช็อกโกแลตใส่ปากอันแล้วอันเล่าไม่หยุด ส่วนชายอีกคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตามองฝ่ามือของตัวเองปากแสยะยิ้มเหมือนคนสติไม่ดี แต่ในปากของเขาไม่มีฟันเลยสักซี่เดียว
ฉันไม่ได้มองใครอีก รีบออกเดินตรงไปยังเครื่องขายอาหารหยอดเหรียญที่ตั้งอยู่ติดผนังข้างหน้าซึ่งมีแต่เครื่องดื่มและขนม ไม่มีอะไรที่ดีพอจะเป็นอาหารเช้า แต่ในเมื่อฉันไม่ได้กินอะไรเลยมาตั้งแต่เมื่อวาน เลยเลือกไม่ได้มากนัก ฉันซื้อโค้กสองขวด, ถั่วอบหนึ่งถุง, ช็อกโกแลต, และพริงเกิลส์ รู้อยู่แก่ใจว่าถ้ากินขนมพวกนี้เข้าไปทั้งหมดจะทำให้ปวดท้องแน่ แต่ตอนนี้หิวมากจริงๆ หิวมากจนปวดหัวไปหมด บางทีเมื่อถึงจุดหนึ่งฉันอาจจะต้องเสี่ยงไปที่ตู้ร้านอาหาร แต่ตอนนี้ขนมพวกนี้น่าจะพอประทังความหิวได้
ฉันหยิบขนมกับน้ำแล้วเดินกลับตู้นอน แม้ว่าจะล็อกประตูตู้นอนไม่ได้ แต่ฉันรู้สึกปลอดภัยที่นั่นมากกว่าที่อื่น ตัวประหลาดที่ใช้กรงเล็บขูดประตูเมื่อคืนมันเข้ามาไม่ได้ เหยื่อของนักล่าก็เข้ามาไม่ได้เหมือนกัน นั่นทำให้ฉันเบาใจขึ้นมาบ้าง แน่ละว่านักล่าเข้ามาได้ แต่เขาไม่ได้คิดจะเข้ามาทำร้าย แสดงว่าตู้นอนของฉันเป็นสถานที่ปลอดภัยในฝันร้ายนี้
มันอาจฟังดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ฉันไม่อยากใช้เวลากับผู้โดยสารคนอื่นมากนัก บางทีพวกเขาอาจไม่อันตราย แต่กฎบอกไว้ว่าพวกเขายากจะแยกแยะว่าใครดีใครร้าย และในตอนนี้ฉันไม่อยากเสี่ยงกับอะไรทั้งนั้น
ระหว่างทางก่อนไปยังตู้นอน ฉันได้ยินเสียงกรีดร้อง มีคนทุบประตูตู้นอนที่ฉันกำลังเดินผ่าน เขาร้องด้วยความเจ็บปวดขอร้องให้ช่วย ที่จริงมันเป็นเสียงเด็กสองเสียงด้วยกัน สัญชาติญาณสั่งให้ฉันหันไปหาตู้นอนที่ว่าแล้วเปิดดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างใน ฟังดูเหมือนเด็กกำลังตกอยู่ในอันตรายและฉันอยากจะช่วยพวกเขา
ฉันเอื้อมมือไปเกือบจะถึงมือจับประตูแล้วหยุดกึก..
ห้ามเข้าไปในตู้นอนหมายเลข 18 เด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรจากด้านในก็ตาม
ฉันแหงนมองหมายเลขตู้นอนซึ่งสลักหมายเลขเป็นสีทองบนบานประตู และอย่างที่คิดไว้ ฉันกำลังยืนอยู่ที่หน้าตู้นอนหมายเลข 18 ฉันดึงกระดาษรายการกฎของรถไฟออกมาเช็กดูหมายเลขอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ใช่แล้ว.. หมายเลข 18 ดูเหมือนว่ารถไฟขบวนนี้เริ่มพยายามล่อหลอกให้ฉันหลงกล ฉันถอยกลับอย่างระมัดระวังขณะเด็กๆ ที่อีกด้านหนึ่งของตู้นอนกรีดร้องลั่นอย่างน่ากลัว
และแล้วอยู่ๆ ก็รู้สึกมีมือมาแตะที่แขน ฉันผงะไปข้างหลังด้วยความตกใจ พอหันไปก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุประมาณเดียวกันกับฉัน ผมสีแดงออกส้มและตาสีดำเข้มกำลังมองฉันด้วยสีหน้ากังวล “โทษที ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้กลัว” เธอกล่าว “ฉันชื่อลิลลี่”
“ฉันเอมี่” ฉันตอบหลังลังเลใจอยู่สองสามวินาที แน่นอนว่านั่นไม่ใช่ชื่อจริง ฉันเคยเลี้ยงแมวสมัยเด็ก มันน่ารักและมีตาสีฟ้าสดใส มันอยู่กับฉันนานถึงสิบห้าปีถึงแม้จะถูกรถชนถึงสองครั้งก็ตามและมันชื่อเอมี่ ฉันไม่คิดว่าการบอกชื่อจริงของฉันกับใครที่นี่จะเป็นความคิดที่ดี และนึกถึงชื่อเอมี่ขึ้นมาได้
ลิลลี่กล่าวขอโทษอีกครั้งที่ทำให้ตกใจ “ฉันคิดว่าเธอจะเปิดประตูนั่น” เธอกล่าว
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่เปิดแน่” ฉันไม่อยากพูดถึงรายการกฎของรถไฟ เพราะไม่ใช่เรื่องอะไรของคนอื่น
“ดีแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วคงไม่ได้กลับออกมาอีกแน่”
ฉันหันไปมองประตู เด็กข้างในยังคงร้องขอให้ช่วย “ที่จริงไม่มีเด็กอยู่ในนั้นใช่มั้ย มันแค่ภาพลวงตาใช่หรือเปล่า?”
ลิลลี่ส่ายหัวพลางยิ้มเศร้า “ไม่ใช่ พวกเขามีตัวตนจริง แค่ไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ฉันอึ้งอยู่พักใหญ่กว่าจะคิดได้ว่ากำลังได้ยินเสียงเด็กที่ตายไปแล้วร้องไห้ ฉันพอรับมือกับภาพลวงตาไหว แต่ที่ทนไม่ได้จริงๆ คือศพเด็กกรีดร้องขอให้ช่วยด้วยความเจ็บปวด
มันทำเอาฉันรู้สึกหน้ามืด

(อ่านต่อในเม้น...)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่