สิ่งที่ผู้ป่วยโรคไตต้องรู้เกี่ยวการการปฏิบัติตัวและการเลือกรับประทานอาหารในสถานการณ์การระบาดของไวรัส COVID-19
ผู้ป่วยโรคไต ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ต้องล้างไตหรือทำการเปลี่ยนไตแล้ว รวมถึงผู้ที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเจ็บป่วยได้มากและรุนแรงกว่าคนปกติ ดังนั้นการซื้อสินค้ามาเก็บไว้ที่บ้านและการสั่งอาหารมาทานที่บ้านเพื่อหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีกลุ่มคนหนาแน่นก็ถือว่าเป็นทางเลือกหนึ่งเพื่อช่วยลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้
เทคนิคการสั่งอาหารมาทานที่บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคไต
1. ปรับสัดส่วนของอาหารให้เท่ากับปริมาณอาหารที่เราทานตามปกติ เนื่องจากปริมาณอาหารจากร้านอาหารจะมี ปริมาณมากกว่า
2. เลือกอาหารประเภทปิ้งหรือย่างแทนการทอดหรือต้ม เนื่องจากน้ำซุปที่ร้านอาหารจะมีปริมาณโซเดียมสูง
3. แจ้งกับทางร้านอาหารไม่ให้เติมเกลือขณะปรุงอาหาร
4. อาหารที่มีน้ำซอสราดหรือแกงต่างๆ ให้แยกน้ำซอสหรือแกง ไม่ให้ราดไปบนอาหารหรือข้าว
5. ก่อนทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เอาส่วนบริเวณหนังออก เพราะหนังของเนื้อสัตว์จะเป็นส่วนที่มีโซเดียมจากการหมักและปรุงรสมากที่สุด
6. ไม่ควรใส่ซอสหรือปรุงรสเค็มเพิ่ม
7. ใช้มะนาว เครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติอาหารแทนการใช้เกลือ
รายการอาหารโซเดียมต่ำที่ปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยโรคไต
1.กลุ่มผลไม้ ผลไม้กระป๋องที่ไม่มีการเพิ่มน้ำตาล
- ผลไม้แห้ง (มีปริมาณโพแทสเซีมสูง)
- น้ำผลไม้ (มีปริมาณโพแทสเซีมสูง) ยกเว้น แอปเปิ้ล, แบล็คเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่, องุ่น, สับปะรด, สตรอเบอร์รี่, แตงโม
2.กลุ่มผัก ผักกระป๋อง(แนะนำให้นำมาลวกด้วยน้ำก่อนรับประทานเพื่อลดปริมาณโซเดียม)
- ผักแช่แข็ง
3.กลุ่มเนื้อสัตว์เนื้อสัตว์กระป๋อง (แนะนำให้นำมาลวกด้วยน้ำก่อนรับประทานเพื่อลดปริมาณโซเดียม หรือเลือกแบบไม่แช่ด้วยเกลือ)
- เนื้อสัตว์แช่แข็ง
4.กลุ่มถั่วถั่วเมล็ดแห้ง ไม่โรยเกลือ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- ถั่วกระป๋อง เลือกแบบที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
5.กลุ่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมนมกล่องหรือนมกระป๋อง (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- นมถั่วเหลืองและนมอัลมอนด์ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- นมข้าว
6.กลุ่มข้าว แป้ง และธัญพืชข้าวขัดสี
- แคร็กเกอร์หรือขนมปังอบกรอบที่ไม่โรยเกลือ
- ข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวมันปู ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (มีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง)
- ธัญพืชอบแห้ง(มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
7.ไขมันน้ำมันพืชทุกชนิด ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก
**
สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีปริมาณโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตทั้งก่อนล้างไตและผู้ที่ล้างไต ให้งดและจำกัดอาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง**
วิธีการเตรียมความพร้อมเรื่องอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตในกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถเดินทางไปล้างไตที่โรงพยาบาลได้
- ถ้ามีการกักตุนอาหาร ควรเช็ควันเดือนปีผลิตก่อนนำมาทานทุกครั้ง
- อาหารหรือนมกระป่อง ถ้าเปิดออกแล้วและทานไม่หมดควรแช่ใส่ตู้เย็น หรือทานให้หมดภายใน 4 ชั่วโมงเมื่อตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ใช้ที่วัดอุณหภูมิในการตรวจสอบอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอุณหภูมิในการเก็บอาหารที่เหมาะสมควร น้อยกว่า 5 องศาเซลเซียสแต่ถ้ามีอุณภูมิสูงกว่า 5 องศาเซลเซียสจะสามารถเก็บรักษาอาหารได้แค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น
- จำกัดปริมาณของเหลว โดยดื่มน้ำเฉลี่ย 450-500 มล.ต่อวัน แนะนำค่อยๆจิบน้ำระหว่างวัน เพื่อป้องกันอาการบวมน้ำที่จะเกิดขึ้น
- ไม่ปรุงอาหารด้วยเกลือและใช้ซอสปรุงรสในการประกอบอาหารให้น้อยที่สุด
- หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง แนะนำให้นำผักไปลวกหรือต้มเพื่อลดปริมาณโพแทสเซียม
- ถ้าผู้ป่วยโรคไตมีโรคเบาหวานร่วมด้วย แนะนำให้พกลูกอมหรือน้ำหวานติดตัวเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำระหว่างวัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Ref: National Kidney Foundation
The American Kidney Foundation
เรียบเรียงโดย นาวสาวสาธิดา เจรียงโรจน์ Dietitian level2
แผนกโภชนบำบัด โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ข้อมูลจาก https://www.bumrungrad.com/th/health-blog/april-2020/kidney-friendly-foods-covid19
7 เทคนิคสั่งอาหารมาทานที่บ้านสำหรับผู้ป่วยโรคไต
2. เลือกอาหารประเภทปิ้งหรือย่างแทนการทอดหรือต้ม เนื่องจากน้ำซุปที่ร้านอาหารจะมีปริมาณโซเดียมสูง
3. แจ้งกับทางร้านอาหารไม่ให้เติมเกลือขณะปรุงอาหาร
4. อาหารที่มีน้ำซอสราดหรือแกงต่างๆ ให้แยกน้ำซอสหรือแกง ไม่ให้ราดไปบนอาหารหรือข้าว
5. ก่อนทานเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เอาส่วนบริเวณหนังออก เพราะหนังของเนื้อสัตว์จะเป็นส่วนที่มีโซเดียมจากการหมักและปรุงรสมากที่สุด
6. ไม่ควรใส่ซอสหรือปรุงรสเค็มเพิ่ม
7. ใช้มะนาว เครื่องเทศเพื่อเพิ่มรสชาติอาหารแทนการใช้เกลือ
- ผลไม้แห้ง (มีปริมาณโพแทสเซีมสูง)
- น้ำผลไม้ (มีปริมาณโพแทสเซีมสูง) ยกเว้น แอปเปิ้ล, แบล็คเบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่, องุ่น, สับปะรด, สตรอเบอร์รี่, แตงโม
2.กลุ่มผัก ผักกระป๋อง(แนะนำให้นำมาลวกด้วยน้ำก่อนรับประทานเพื่อลดปริมาณโซเดียม)
- ผักแช่แข็ง
3.กลุ่มเนื้อสัตว์เนื้อสัตว์กระป๋อง (แนะนำให้นำมาลวกด้วยน้ำก่อนรับประทานเพื่อลดปริมาณโซเดียม หรือเลือกแบบไม่แช่ด้วยเกลือ)
- เนื้อสัตว์แช่แข็ง
4.กลุ่มถั่วถั่วเมล็ดแห้ง ไม่โรยเกลือ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- ถั่วกระป๋อง เลือกแบบที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
5.กลุ่มนมและผลิตภัณฑ์จากนมนมกล่องหรือนมกระป๋อง (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- นมถั่วเหลืองและนมอัลมอนด์ (มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
- นมข้าว
6.กลุ่มข้าว แป้ง และธัญพืชข้าวขัดสี
- แคร็กเกอร์หรือขนมปังอบกรอบที่ไม่โรยเกลือ
- ข้าวไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวมันปู ข้าวไรซ์เบอร์รี่ (มีปริมาณฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง)
- ธัญพืชอบแห้ง(มีปริมาณฟอสฟอรัสสูง)
7.ไขมันน้ำมันพืชทุกชนิด ได้แก่ น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก
**สำหรับผู้ป่วยโรคไตที่มีปริมาณโพแทสเซียมและฟอสฟอรัสในเลือดสูง โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคไตทั้งก่อนล้างไตและผู้ที่ล้างไต ให้งดและจำกัดอาหารที่มีฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมสูง**
วิธีการเตรียมความพร้อมเรื่องอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตในกรณีฉุกเฉินที่ไม่สามารถเดินทางไปล้างไตที่โรงพยาบาลได้
- ถ้ามีการกักตุนอาหาร ควรเช็ควันเดือนปีผลิตก่อนนำมาทานทุกครั้ง
- อาหารหรือนมกระป่อง ถ้าเปิดออกแล้วและทานไม่หมดควรแช่ใส่ตู้เย็น หรือทานให้หมดภายใน 4 ชั่วโมงเมื่อตั้งทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง
- ใช้ที่วัดอุณหภูมิในการตรวจสอบอุณหภูมิของตู้เย็น ซึ่งอุณหภูมิในการเก็บอาหารที่เหมาะสมควร น้อยกว่า 5 องศาเซลเซียสแต่ถ้ามีอุณภูมิสูงกว่า 5 องศาเซลเซียสจะสามารถเก็บรักษาอาหารได้แค่ 4 ชั่วโมงเท่านั้น
- จำกัดปริมาณของเหลว โดยดื่มน้ำเฉลี่ย 450-500 มล.ต่อวัน แนะนำค่อยๆจิบน้ำระหว่างวัน เพื่อป้องกันอาการบวมน้ำที่จะเกิดขึ้น
- ไม่ปรุงอาหารด้วยเกลือและใช้ซอสปรุงรสในการประกอบอาหารให้น้อยที่สุด
- หลีกเลี่ยงผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง แนะนำให้นำผักไปลวกหรือต้มเพื่อลดปริมาณโพแทสเซียม
- ถ้าผู้ป่วยโรคไตมีโรคเบาหวานร่วมด้วย แนะนำให้พกลูกอมหรือน้ำหวานติดตัวเพื่อป้องกันภาวะน้ำตาลต่ำระหว่างวัน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้