ไหนๆพวกเราเกือบทุกคนก็เคยบริโภคแอลกอฮอล์กันอยู่แล้วถ้าหากเรารู้ที่มาของมันก็อาจจะเพิ่มความสุนทรีย์ในการชิมหรือมีเรื่องเล่าให้เพื่อนในวงฟังมากขึ้นก็ได้เราไปดูกันเลยครับ
น้ำตาลจากผลไม้ที่สุกแล้วจะส่งผลให้ดึงดูดยีสต์เมื่อยีสต์กินน้ำตาลเหล่านั้นก็จะปล่อยเอทานอลออกมาเป็นแอลกอฮอล์ที่พบในเครื่องดื่ม กระบวนการนี้เรียกว่า"การหมัก" ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ค้นพบการหมักแอลกอฮอล์แต่หลักฐานที่พบได้มาจาก 7000 ปีก่อนคริสตศักราชที่ประเทศจีน ว่าคนจีนนสมัยนั้นนำข้าว ข้าวฟ่าง องุ่นและน้ำผึ้งมาหมัก และไม่กี่พันปีถัดมาทุกๆอารยธรรมในโลกก็มีการหมักแอลกอฮอล์เป็นของตนเอง ในยุคเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณทำเบียร์มากจากธัญพืช เป็นเครื่องดื่มที่ทุกๆคนสามารถบริโภคได้และยังเป็นหนึ่งในอาหารที่คนงานจะได้รับด้วย และพวกเขาก็ผลิตไวน์เองด้วยแต่ด้วยภูมิอากาศที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกมันจึงเป็นเครื่องดื่มที่แพงและหายากมาก
ในทางตรงกันข้ามที่กรีกและโรมเป็นพื้นที่ที่เหมาแก่การปลูกองุ่นไวน์นั้นมีมากพอสำหรับทุกคนคล้ายกับเบียร์ในอัยิปต์และเมโสโปเตเมีย เนื่องด้วยยีสต์จะย่อยน้ำตาลแทบทุกประเภทในผลไม้คนในยุคโบราณจึงทำเครื่องดื่มจากธัญพืชหรือผลไม้ใดๆที่พบในแถบที่พวกเขาอยู่ เช่นในแถบอเมริกาใต้พวกเขาทำ Chicha จากธัญพืชหรือบางครั้งก็ผสมพืชที่มีฤทธิ์หลอนประสาท ในแม็กซิโก Pulque ทำมาจากยางต้นกระบองเพชร หรือในแอฟริกาที่ทำเบียร์จากกล้วยและปาล์ม และในญี่ปุ่นที่ทำสาเกมาจากข้าว ทุกๆอารยธรรมของโลกจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็ยของตนเอง
เมื่อแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันบางคนก็กล่าวว่าผลที่ตามมานั้นเป็นเรื่องดี กรีกโบราณเชื่อว่าการดื่มไวน์นั้นดีต่อสุขภาพถึงกับต้องมีทีมงานควบคุณคุณภาพในเชิงศาสนาคริสต์และยิวได้นำแอลกอฮอล์มาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมแต่กำหนดเรื่องการบริโภคอย่างไม่ถูกต้องถือว่าเป็นบาปในตะวันออกกลางและแอฟริกาและรัฐที่ปกครองโดยศาสนาอิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มในยุคโบราณนั้นมีปริมาณแอลกอฮล์ค่อนข้างต่ำที่ประมาณ 13 ดีกรีเพราะเอทานอลที่ยีสต์ผลิตก็สามารถฆ่ามันได้เมื่อยีสต์ตายการหมักก็หยุดและก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณแอลกอฮอล์เพราะฉะนั้นเครื่องดื่มในสมัยก่อนจะไม่ทำให้เมามากนัก แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมนุษย์ค้นพบการกลั่นสถานที่ค้นพบนั้นก็คือตะวันออกกลางในตำราระบุไว้ว่าถ้าเรานำน้ำหมักไปต้มเพื่อระเหยแอลกอฮอล์ออกมาเพราะแอลกอฮอล์ระเหยได้ก่อนน้ำถ้าหากเรานำไอน้ำไปให้ความเย็นสิ่งที่เราจะได้นั่นก็คือเหล้านั่นเองซึ่งมีดีกรีสูงกว่าไวน์หรือเบียร์มาก
ในช่วงแรกเหล้านั่นถูกใช้ในทางการแพทย์หลักจากนั้นก็เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าเพราะมันไม่เน่าเสียเหล้ารัมที่ทำมาจากน้ำตาลในแคริเบียนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับอเมริกาเหนือพวกเขายังนำบรั่นดีและยินไปแอฟริกาเพื่อแลกกับทาส ที่ดิน ยาง และน้ำมันปาล์ม
ในยุคแห่งการสำรวจเหล้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับนักเดินเรือการล่องเรือจากยุโรปไปเอเชียตะวันออกนั้นใช้เวลาหลายเดือนและการทำน้ำดื่มให้สะอาดและเพียงพอสำหรับลูกเรือนั้นสำคัญมากการเติมบรั่นดีลงไปในถังน้ำจะช่วยให้น้ำไม่เน่าเสียเพราะแอลกอฮอล์สามารถฆ่าเชื้อโรคได้
โดยสรุปแล้วแอลกอฮอล์เริ่มมาจาการหมักธัญพืชและผลไม้เพื่อการสังสรรค์ไปจนถึงการค้าระดับโลกรวมไปถึงผลข้างเคียงอีกมากมายเมื่อเวลาผ่านไปบทบาทของมันกับมนุษยชาติก็จะยิ่งผูกพันกันมากขึ้น
Until next time
WOJAK
ประวัติเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
น้ำตาลจากผลไม้ที่สุกแล้วจะส่งผลให้ดึงดูดยีสต์เมื่อยีสต์กินน้ำตาลเหล่านั้นก็จะปล่อยเอทานอลออกมาเป็นแอลกอฮอล์ที่พบในเครื่องดื่ม กระบวนการนี้เรียกว่า"การหมัก" ไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดว่าเมื่อไหร่ที่มนุษย์ค้นพบการหมักแอลกอฮอล์แต่หลักฐานที่พบได้มาจาก 7000 ปีก่อนคริสตศักราชที่ประเทศจีน ว่าคนจีนนสมัยนั้นนำข้าว ข้าวฟ่าง องุ่นและน้ำผึ้งมาหมัก และไม่กี่พันปีถัดมาทุกๆอารยธรรมในโลกก็มีการหมักแอลกอฮอล์เป็นของตนเอง ในยุคเมโสโปเตเมียและอียิปต์โบราณทำเบียร์มากจากธัญพืช เป็นเครื่องดื่มที่ทุกๆคนสามารถบริโภคได้และยังเป็นหนึ่งในอาหารที่คนงานจะได้รับด้วย และพวกเขาก็ผลิตไวน์เองด้วยแต่ด้วยภูมิอากาศที่ไม่เหมาะแก่การเพาะปลูกมันจึงเป็นเครื่องดื่มที่แพงและหายากมาก
ในทางตรงกันข้ามที่กรีกและโรมเป็นพื้นที่ที่เหมาแก่การปลูกองุ่นไวน์นั้นมีมากพอสำหรับทุกคนคล้ายกับเบียร์ในอัยิปต์และเมโสโปเตเมีย เนื่องด้วยยีสต์จะย่อยน้ำตาลแทบทุกประเภทในผลไม้คนในยุคโบราณจึงทำเครื่องดื่มจากธัญพืชหรือผลไม้ใดๆที่พบในแถบที่พวกเขาอยู่ เช่นในแถบอเมริกาใต้พวกเขาทำ Chicha จากธัญพืชหรือบางครั้งก็ผสมพืชที่มีฤทธิ์หลอนประสาท ในแม็กซิโก Pulque ทำมาจากยางต้นกระบองเพชร หรือในแอฟริกาที่ทำเบียร์จากกล้วยและปาล์ม และในญี่ปุ่นที่ทำสาเกมาจากข้าว ทุกๆอารยธรรมของโลกจะมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็ยของตนเอง
เมื่อแอลกอฮอล์เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันบางคนก็กล่าวว่าผลที่ตามมานั้นเป็นเรื่องดี กรีกโบราณเชื่อว่าการดื่มไวน์นั้นดีต่อสุขภาพถึงกับต้องมีทีมงานควบคุณคุณภาพในเชิงศาสนาคริสต์และยิวได้นำแอลกอฮอล์มาเป็นส่วนหนึ่งในพิธีกรรมแต่กำหนดเรื่องการบริโภคอย่างไม่ถูกต้องถือว่าเป็นบาปในตะวันออกกลางและแอฟริกาและรัฐที่ปกครองโดยศาสนาอิสลามห้ามการดื่มแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มในยุคโบราณนั้นมีปริมาณแอลกอฮล์ค่อนข้างต่ำที่ประมาณ 13 ดีกรีเพราะเอทานอลที่ยีสต์ผลิตก็สามารถฆ่ามันได้เมื่อยีสต์ตายการหมักก็หยุดและก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงปริมาณแอลกอฮอล์เพราะฉะนั้นเครื่องดื่มในสมัยก่อนจะไม่ทำให้เมามากนัก แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเมื่อมนุษย์ค้นพบการกลั่นสถานที่ค้นพบนั้นก็คือตะวันออกกลางในตำราระบุไว้ว่าถ้าเรานำน้ำหมักไปต้มเพื่อระเหยแอลกอฮอล์ออกมาเพราะแอลกอฮอล์ระเหยได้ก่อนน้ำถ้าหากเรานำไอน้ำไปให้ความเย็นสิ่งที่เราจะได้นั่นก็คือเหล้านั่นเองซึ่งมีดีกรีสูงกว่าไวน์หรือเบียร์มาก
ในช่วงแรกเหล้านั่นถูกใช้ในทางการแพทย์หลักจากนั้นก็เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าเพราะมันไม่เน่าเสียเหล้ารัมที่ทำมาจากน้ำตาลในแคริเบียนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนกับอเมริกาเหนือพวกเขายังนำบรั่นดีและยินไปแอฟริกาเพื่อแลกกับทาส ที่ดิน ยาง และน้ำมันปาล์ม
ในยุคแห่งการสำรวจเหล้านั้นเป็นปัจจัยสำคัญมากสำหรับนักเดินเรือการล่องเรือจากยุโรปไปเอเชียตะวันออกนั้นใช้เวลาหลายเดือนและการทำน้ำดื่มให้สะอาดและเพียงพอสำหรับลูกเรือนั้นสำคัญมากการเติมบรั่นดีลงไปในถังน้ำจะช่วยให้น้ำไม่เน่าเสียเพราะแอลกอฮอล์สามารถฆ่าเชื้อโรคได้
โดยสรุปแล้วแอลกอฮอล์เริ่มมาจาการหมักธัญพืชและผลไม้เพื่อการสังสรรค์ไปจนถึงการค้าระดับโลกรวมไปถึงผลข้างเคียงอีกมากมายเมื่อเวลาผ่านไปบทบาทของมันกับมนุษยชาติก็จะยิ่งผูกพันกันมากขึ้น