หากคุณอ้างอิงWHO ซิโนแวคผ่านเกณฑ์ 50%
ผลการป้องกันจากประเทศชิลี ลงในวารสารนิวอิงแลนด์เจอรัลออฟเมดิซีน เมื่อ 7 กรกฎาคม 2654
ชิลีเริ่มต้นฉีดวัคซีนซิโนแวค เมื่อ 2 กพ 2564 - 10 พฤษภาคม 2564 13.98 ล้านคน
(เข็มแรก 7.62  ฉีดครบ5.36)  ประสิทธิภาพ 65.9 % ป้องกันป่วยจนต้องเข้า รพ ได้ 87.5%
ป้องกันป่วยจนต้องนอนไอซียู 90.3% ป้องกันตายจากโควิด 86.3%
https://www.nejm.org/doi/full/10.1056/NEJMoa2107715

หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน คือเกิดสายพันธ์เดลต้าจากอินเดีย  แค่นี้ก็ใช้ได้  เพราะไทยเราใช้
วัคซีนแอสตราเป็นหลัก เมื่อเหตุการณ์ผลิกผลัน(ซึ่งเมื่อหวยออกแล้ว คนที่ออกมาประนามคนทำงาน
เก่งทุกคน ซึ่งหากให้มาทำงานจริง ผมไม่เชื่อว่าพวกคุณจะทำได้ดีกว่า คนก่อนๆ)

เนื่องจากสายพันธ์ใหม่  คนไม่ค่อยกล้าฉีดวัคซีน เปลี่ยนใจยอมฉีดวัคซีน และวัคซีนแอสตรา ก็ส่งมอบได้
ไม่เท่ากับที่สัญญาไว้ ให้ได้แค่หนึ่งในสามของความต้องการ  ดังนั้นจึงต้องหาวัคซีนเพิ่ม ซึ่งซิโนแวค สั่งแล้ว
ได้ของเลย แทบไม่ต้องรอเศษเดนจากตะวันตก  แม้กระนั้นคนทำงานก็สั่งวัคซีนจากตะวันตก ซึ่งต้องรออีกนาน
และไม่รู้ว่าจะได้เมื่อไร

โชคดี ที่มียังคนไทย ตั้งใจทำงานอย่างอาจารย์ ยง ได้ทำการวิจัย  ทำให้ได้แนวทาง คือฉีด ซิโนแวค+ แอสตรา
และซิโนแวค2เข็ม+แอสตรา  ซึ่งผลที่ได้น้องๆไฟเซอร์  แต่ยังมีคนค่อนขอดว่า แค่50 กว่าคน  เมื่ออินเดีย
ออกรายงาน 18 รายว่าเผอิญฉีดไขว้ คือเชื้อตายแบบซิโนแวค + แอสตรา  จำนวนน้อยกว่าของไทย ก็รายงาน
ว่าได้ผลดีพอๆกับฉีดแอสตรา 2 เข็มhttps://www.medrxiv.org/content/10.1101/2021.08.06.21261716v1.full.pdf

มีวัคซีนให้ฉีด ก็โปรดฉีดไปเถิด อย่ามัวเล่นการเมืองจนทำให้คนไม่รู้อิโหน่อิเน่กลัวเลย  นี่เห็นไหม ตายกันเป็นเบือ
เพราะปากของคนไม่พายเอามือราน้ำ  แถมยังอาศัยความตายของคนที่ไม่รู้ มาสร้างความปั่นป่วนให้แก่ประเทศตนเอง