นับว่า OR เป็นตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นจากการกดดันในสถานการณ์โควิดกันเลย ทั้งเกิดการ LOCK DOWN ปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายประเภท ทุกมาตรการณีต่างๆ และหุ้นบางกลุ่มได้รับกระทบไปด้วย แต่ในมุมมองของเราคงยังมองว่าหุ้น OR จากหุ้นเล็กๆที่เราถือในมือตอนนี้มีแนวโน้มที่จะโตขึ้นในช่วงสถานการณ์โควิดแบบถือไปเรื่อยๆเลยไม่ต้องกังวลอะไร วันนี้เราจะมาอัพเดตผลกำไรไตรมาสปีนี้กัน
UPDATE: OR โชว์กำไรไตรมาส 2 ปีนี้ 3.22 พันล้านบาท โตเกิน 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เผยอีบิทดากลุ่ม Non-Oil แข็งแกร่งท่ามกลางโควิด
บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 3,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 19.4% จากไตรมาสที่แล้ว ส่วนรายได้การขายและบริการในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 118,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.2% จากไตรมาสก่อนหน้า
OR แจ้งว่า รายได้ขายและบริการใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่ที่กลับมารุนแรงช่วงเมษายน 2564 ได้กดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ก็บรรเทาลงด้วยอุปสงค์โลกที่กำลังฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายวัคซีน สะท้อนให้เห็นถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ในไตรมาสนี้ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
ในกลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่ ซึ่งจำกัดเฉพาะในบางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่านั้น เป็นปัจจัยกดดันให้ปริมาณขายรวมลดลงเพียง 6.2% ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น เบนซิน ดีเซล และ LPG
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ที่รายได้ปรับตัวลดลงตามอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย การออกกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น การนำกลับบ้าน บริการจัดส่ง รวมถึง Drive-Thru ทำให้ยอดขายไม่ลดลงมากนัก
สำหรับธุรกิจในต่างประเทศนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
EBITDA ในไตรมาส 2/64 จำนวน 5,457 ล้านบาท ลดลง 953 ล้านบาท หรือ -14.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว จากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและกลุ่มธุรกิจต่างประเทศที่มีผลการดำเนินงานอ่อนตัวลงจากปริมาณขายผลิตภัณฑ์น้ำมันและกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ลดลงเล็กน้อย
กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ยังคงความแข็งแกร่งจากผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด โดย EBITDA กลุ่มธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น +4.2%
ทั้งนี้ ภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง (-3.0%) โดยหลักคือ ค่าขนส่งตามปริมาณขายที่ลดลง ขณะที่มีค่าโฆษณาและส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น และประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้การค้าลดลง ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง
ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ปี 2564 OR มีกำไรสุทธิ จำนวน 7,228 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ทั้งจากรายได้ขาย และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 22,714 ล้านบาท (+10.6%) และ 5,126 ล้านบาท (+76.0%) ตามลำดับ
โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่ภาครัฐใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับรอบแรกในปี 2563 ที่มีมาตรการในการควบคุมอย่างเข้มงวด มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศไทย ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันและกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ดีขึ้น แม้ว่ากลุ่มธุรกิจต่างประเทศจะถูกกดดันจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในต่างประเทศที่ส่งผลให้ผลการดำเนินลดลง โดยเฉพาะในกัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ รายการขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 1,108 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงผลิตภัณฑ์น้ำมันจำนวนสูงโดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานจากผลกระทบของโควิด อีกทั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้ลดลงเนื่องจากในเดือนพฤษภาคม 2563 ได้ตั้งประมาณการดังกล่าวของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์ แอร์เวย์ จำกัด ที่ได้ยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
เครดิต : อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่
https://web.facebook.com/thestandardwealth/posts/368232788265749?_rdc=1&_rdr
ส่องหุ้นวันนี้ใครถือหุ้น OR ต้องรู้ ! OR โชว์กำไรไตรมาส 2 ปีนี้ 3.22 พันล้านบาท โตเกิน 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
UPDATE: OR โชว์กำไรไตรมาส 2 ปีนี้ 3.22 พันล้านบาท โตเกิน 100% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เผยอีบิทดากลุ่ม Non-Oil แข็งแกร่งท่ามกลางโควิด
บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก หรือ OR รายงานผลประกอบการไตรมาส 2/64 มีกำไรสุทธิ 3,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 19.4% จากไตรมาสที่แล้ว ส่วนรายได้การขายและบริการในไตรมาส 2/64 อยู่ที่ 118,708 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41.1% จากช่วงเดียวกันปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.2% จากไตรมาสก่อนหน้า
OR แจ้งว่า รายได้ขายและบริการใกล้เคียงกับไตรมาสที่แล้ว และด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่ที่กลับมารุนแรงช่วงเมษายน 2564 ได้กดดันต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย แต่ก็บรรเทาลงด้วยอุปสงค์โลกที่กำลังฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการกระจายวัคซีน สะท้อนให้เห็นถึงราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ในไตรมาสนี้ราคาขายเฉลี่ยผลิตภัณฑ์น้ำมันปรับตัวสูงขึ้น
ในกลุ่มธุรกิจน้ำมันได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิดระลอกใหม่ ซึ่งจำกัดเฉพาะในบางจังหวัดที่เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดเท่านั้น เป็นปัจจัยกดดันให้ปริมาณขายรวมลดลงเพียง 6.2% ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น เบนซิน ดีเซล และ LPG
ขณะที่กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ที่รายได้ปรับตัวลดลงตามอุปสงค์ของผู้บริโภคที่ลดลง อย่างไรก็ตาม การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย การออกกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการเพิ่มสัดส่วนการจำหน่ายผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น การนำกลับบ้าน บริการจัดส่ง รวมถึง Drive-Thru ทำให้ยอดขายไม่ลดลงมากนัก
สำหรับธุรกิจในต่างประเทศนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นไปตามราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น
EBITDA ในไตรมาส 2/64 จำนวน 5,457 ล้านบาท ลดลง 953 ล้านบาท หรือ -14.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว จากกลุ่มธุรกิจน้ำมันและกลุ่มธุรกิจต่างประเทศที่มีผลการดำเนินงานอ่อนตัวลงจากปริมาณขายผลิตภัณฑ์น้ำมันและกำไรขั้นต้นเฉลี่ยต่อลิตรที่ลดลงเล็กน้อย
กลุ่มธุรกิจ Non-Oil ยังคงความแข็งแกร่งจากผลการดำเนินงานที่ปรับเพิ่มขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด โดย EBITDA กลุ่มธุรกิจ Non-Oil เพิ่มขึ้น +4.2%
ทั้งนี้ ภาพรวมของค่าใช้จ่ายดำเนินงานลดลง (-3.0%) โดยหลักคือ ค่าขนส่งตามปริมาณขายที่ลดลง ขณะที่มีค่าโฆษณาและส่งเสริมการขายเพิ่มขึ้น และประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้การค้าลดลง ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง
ผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรก ปี 2564 OR มีกำไรสุทธิ จำนวน 7,228 ล้านบาท สูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 4,810 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% ทั้งจากรายได้ขาย และ EBITDA ที่เพิ่มขึ้น 22,714 ล้านบาท (+10.6%) และ 5,126 ล้านบาท (+76.0%) ตามลำดับ
โดยเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ที่ภาครัฐใช้มาตรการผ่อนคลายมากกว่าเมื่อเทียบกับรอบแรกในปี 2563 ที่มีมาตรการในการควบคุมอย่างเข้มงวด มีการล็อกดาวน์ทั่วประเทศไทย ทำให้ภาพรวมผลการดำเนินงานกลุ่มธุรกิจน้ำมันและกลุ่มธุรกิจ Non-Oil ดีขึ้น แม้ว่ากลุ่มธุรกิจต่างประเทศจะถูกกดดันจากความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในต่างประเทศที่ส่งผลให้ผลการดำเนินลดลง โดยเฉพาะในกัมพูชา ลาว และฟิลิปปินส์
นอกจากนี้ รายการขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์ลดลง 1,108 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีผลขาดทุนจากการบริหารความเสี่ยงผลิตภัณฑ์น้ำมันจำนวนสูงโดยเฉพาะน้ำมันอากาศยานจากผลกระทบของโควิด อีกทั้งประมาณการค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตของลูกหนี้ลดลงเนื่องจากในเดือนพฤษภาคม 2563 ได้ตั้งประมาณการดังกล่าวของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ไทยสมายล์ แอร์เวย์ จำกัด ที่ได้ยื่นคำร้องฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง
เครดิต : อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่ https://web.facebook.com/thestandardwealth/posts/368232788265749?_rdc=1&_rdr