Gravity hills (เนินเขาแรงโน้มถ่วง) หรือ " Magnetic Hill " เป็นความลาดชันประเภทหนึ่งที่สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวต้านแรงโน้มถ่วงด้วยตัวมันเอง เนินแรงโน้มถ่วงดูเหมือนจะท้าทายกฎของฟิสิกส์ ตัวอย่างเช่น ถ้าน้ำถูกเทลงบนพื้นผิวของเนินเขา ดูเหมือนน้ำจะเคลื่อนขึ้นด้านบนหรือหากดับเครื่องยนต์ของรถ รถจะไม่ลงไปต่อแต่จะเลื่อนกลับขึ้นเนิน แทนที่จะไปในทิศทางตรงกันข้ามอย่างที่ควรจะเป็น มีการเสนอคำอธิบายมากมายเพื่ออธิบายการมีอยู่ของเนินเขาเหล่านี้ บางครั้งสิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นในชื่อของเนินเขาเหล่านั้น
" เนินแรงโน้มถ่วง " เรียกอีกอย่างว่า " เนินแม่เหล็ก และเนินเขาลึกลับ " ซึ่งชื่อทั้งสามพูดถึงความพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์แปลก ๆ นี้ โดยมักจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับตำนานท้องถิ่นและทฤษฎีต่างๆจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อกับวิญญาณและความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แม้ว่าเนินแรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นในหลายส่วนของโลก และหลายแห่งได้รับการบันทึกในสหรัฐอเมริกา แต่ภูเขาเหล่านี้บางส่วนเมื่พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่ใช่กฎแห่งธรรมชาติ พวกมันจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน
สำหรับชื่อแรก "เนินแรงโน้มถ่วง" มันแสดงให้เห็นว่าแรงโน้มถ่วงของเนินเขาดังกล่าวไม่สม่ำเสมอ กล่าวคือ แรงที่อยู่ด้านล่างอ่อนกว่าที่สูง ทำให้วัตถุเคลื่อนขึ้นทางลาด ในความเป็นความจริงแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันทุกที่บนโลก โดยพื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลกจะมีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าบริเวณที่อยู่ห่างจากโลกเล็กน้อย ดังนั้น การอธิบายว่าเนินแรงโน้มถ่วงเป็นผลมาจากความแตกต่างของแรงดึงดูดระหว่างด้านบนและด้านล่างของทางลาดเอียงอาจไม่เป็นไปได้เลย
เนินแรงโน้มถ่วงใกล้เมือง Leh ใน Ladakh ประเทศอินเดีย
เนินเขาถูกระบุว่ามีคุณสมบัติแม่เหล็กที่แข็งแรงพอที่จะดึงรถขึ้นเนินได้ Cr.ที่มา: navintar / Adobe Stock
อีกทางหนึ่ง บางคนหันไปหาสิ่งเหนือธรรมชาติเพื่อหาคำอธิบายเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของเนินแรงโน้มถ่วง เช่น มีเนินแรงโน้มถ่วงในทะเลสาบ Wales ฟลอริดาที่มีตำนานท้องถิ่นว่า ครั้งหนึ่งเคยเป็นศึกใหญ่ระหว่างจระเข้ยักษ์และหัวหน้าชนพื้นเมืองอเมริกัน โดยทะเลสาบถูกสร้างขึ้นโดยวิญญานของหนึ่งในนั้น ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นต้นเหตุของเนินแรงโน้มถ่วง
คำอธิบายอีกประการหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเช่นกัน นั่นคือ การมีอยู่ของเนินแรงโน้มถ่วงเป็นภาพลวงตา ซึ่งตามคำอธิบายนี้เกิดจากภูมิทัศน์โดยรอบทำให้เกิดภาพลวงตา ทำให้เราคิดว่าทางลาดลงของเนินเขาเป็นทางที่ขึ้นไปทางด้านบนจริงๆ แม้จะรู้ว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากภาพลวงตา เนินแรงโน้มถ่วงยังคงเป็นที่มาของความอัศจรรย์ เนื่องจากผลของภาพลวงตานั้นค่อนข้างน่าทึ่ง
นอกเหนือจากเนินเขาที่มีแรงโน้มถ่วงแล้ว ภาพลวงตานี้ยังถูกใช้ในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาที่รู้จักกันในชื่อ " mystery spots "
สถานที่ท่องเที่ยวที่ลึกลับเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอดีต โดยมักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าเล็กน้อย รวมทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอาคารที่มีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และนี่เป็นเนินแรงโน้มถ่วงที่เป็นที่รู้จักในสถานที่ต่างๆ
ที่แรก บน Mt. Radan เมือง Bojnik ในเซอร์เบียตอนใต้ มีเนินแรงโน้มถ่วงที่ไม่ธรรมดา เมื่อได้รับความนิยมในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก สื่อเรียกมันว่าความโน้มถ่วงที่ผิดปกติและปาฏิหาริย์ ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วสร้างความตกใจให้กับนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และสร้างความตื่นเต้นให้กับประเทศ เมืองที่เงียบสงบซึ่งไม่ค่อยพบผู้มาเยือน กลายเป็นจุดรวมตัวสำหรับทุกคนที่ต้องการสัมผัสกับเหตุการณ์ "ขึ้นบนลงเนิน" ที่ไม่ปกตินี้
เนินแรงโน้มถ่วงบน Mt.Radan Cr.ภาพ Serbia.com
นักวิทยาศาสตร์หลายทีมติดตามข่าวนี้และมาที่นี่เพื่อทำการวิจัย โดยพิสูจน์ว่าเนินแรงโน้มถ่วงบน Mt.Radan ไม่ใช่งานของสิ่งมีชีวิตนอกโลกหรือพลังลึกลับที่ท้าทายแรงโน้มถ่วง แต่เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากเส้นขอบฟ้าไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน พื้นที่ถูกปกคลุมด้วยป่าทึบ และไม่มีวัตถุแนวตั้งใดที่สามารถให้มิติและสัดส่วนที่เหมาะสมแก่เรา ภูมิทัศน์ธรรมชาตินี้สุ่มสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดเพื่อบิดเบือนวิสัยทัศน์ของเราและสร้างภาพลวงตาที่น่าตื่นเต้น
เซอร์เบียตอนใต้นั้นมีอัญมณีที่ซ่อนอยู่มากมายให้สำรวจ ภูมิประเทศแบบภูเขานี้สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ชื่นชอบการเดินป่า มีแม่น้ำและทะเลสาบมากมายเพื่อให้ทัศนียภาพโดดเด่น โดยเนินแรงโน้มถ่วงบน Mt. Radan เป็นเพียงหนึ่งในนั้น และถึงแม้จะเป็นตำนานที่ถูกหักล้าง แต่ก็ยังคุ้มค่าแก่การมาเยี่ยมชม
อีกแห่ง ในเมือง Piercy รัฐแคลิฟอร์เนีย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกว่า " Confusion Hill " ถูกขนานนามว่าเป็น " บ้านแรงโน้มถ่วง " โดยโครงสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าชมภายในเอียง เจ้าของอ้างว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า Chipalope (ครึ่งกระแตครึ่งละมั่ง) มีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น ตามนิทานเรื่องนี้ มีชิปมังก์คู่หนึ่งและแอนทีโลปคู่หนึ่งเดินเคียงข้างกันอยู่ในป่า ทันใดนั้นเกิดพายุประหลาดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งเต็มไปด้วยฟ้าร้องและฟ้าผ่า แผ่นดินสั่นสะเทือนด้วยแรงลม สุดท้ายพวกมันก็ถูกแปรสภาพเป็น Chipalope
เรื่องนี้เล่าต่อว่า Chipalope ตัวผู้ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ " Chester the First " ได้ตระหนักรู้ในตนเอง และตัดสินใจว่าเขาและสหายของเขาจะต้องซ่อนตัวจากมนุษย์ โดยจะปรากฏเฉพาะบนเนินเขา Confusion Hill ในตอนกลางคืนหรือในช่วงเช้าตรู่เท่านั้น
Gravity Hill ใน Lewisberry รัฐเพนซิลเวเนีย ตั้งอยู่ที่สี่แยกของถนนสองสายที่พลุกพล่าน
โดยเมื่อดับเครื่องรถและจอดอยู่เฉยๆ จะรู้สึกเหมือนรถกำลังเคลื่อนขึ้นเนินจริงๆ ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นภาพลวงตา
ในเรื่องแรงโน้มถ่วงนี้ ในศตวรรษที่ 17 Isaac Newton ได้คิดค้นกฎความโน้มถ่วงสากล แต่เขาไม่สามารถอธิบายกลไกเบื้องหลังแรงโน้มถ่วงได้ จนในปี 1917 Albert Einstein เสนอทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปของเขา ระบุว่าคุณลักษณะนี้เกิดจากแรงโน้มถ่วงที่เกิดจากการบิดตัวของโครงสร้างของกาลอวกาศที่มองไม่เห็น ซึ่งเกิดจากการมีอยู่ของมวล (หรือพลังงาน) และโลกเดินทางเป็นเส้นตรงเสมอ
การปรากฏตัวของดวงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่โค้งงอและทำให้โลกดูเหมือนจะเคลื่อนที่เป็นวงรี ลองนึกภาพแผ่นยางยืดออกอย่างตึง ถ้าวางลูกโบว์ลิ่งไว้ตรงกลาง มวลของลูกจะทำให้เกิดความกดในแผ่นยางให้ยุบลง และหากคุณวางแอปเปิ้ลลงบนขอบของแผ่น แอปเปิ้ลจะกลิ้งลงทางลาดมาตรงกลาง ทำให้การยุบลงนี้ไม่สามารถเห็นได้โดยคนที่มองตรงไปที่แผ่นจากด้านบน
ทั้งนี้ การทดลองนั้นมีหลายวิธี ซึ่งความสูงของความชันสามารถวัดได้โดย geo level (เครื่องมือวัดพิกัดทางภูมิศาสตร์) และ GPS ยังสามารถคำนวณความสูงของภูมิประเทศได้ด้วย เพราะจะคำนวณระยะทางไปยังดาวเทียม (ถ้าวางทั้งสองด้าน จุดสูงสุดและต่ำสุดจะแสดงสิ่งที่อยู่ใกล้ดาวเทียมมากที่สุด) รวมทั้ง ค่าของความเร่งโน้มถ่วงที่วัดได้จากลูกตุ้มคณิตศาสตร์ (mathematical pendulum) โดยการทดลองทั้งหมดนี้ได้ดำเนินการแล้วกับ Mt. Radan และทุกๆ การทดลองแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ไม่มีแรงโน้มถ่วง และไม่มี"เนินแม่เหล็ก" เป็นเพียงการลงเขาธรรมดาๆ
Confusion Hill สถานที่ท่องเที่ยวริมถนนที่สำคัญสำหรับนักเดินทาง
ถูกเปิดในปี 1949 โดยเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เน้นการแสดงภาพลวงตา
Mysterious Road Defies Gravity in Pittsburgh - Gravity Hill, Pennsylvania
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
" Gravity Hills " เนินเขาที่มีแรงโน้มถ่วงมหัศจรรย์ (หรือภาพลวงตา)
" เนินแรงโน้มถ่วง " เรียกอีกอย่างว่า " เนินแม่เหล็ก และเนินเขาลึกลับ " ซึ่งชื่อทั้งสามพูดถึงความพยายามที่จะอธิบายปรากฏการณ์แปลก ๆ นี้ โดยมักจะเป็นแรงบันดาลใจสำหรับตำนานท้องถิ่นและทฤษฎีต่างๆจำนวนมาก ส่วนใหญ่จะเชื่อมต่อกับวิญญาณและความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ แม้ว่าเนินแรงโน้มถ่วงเกิดขึ้นในหลายส่วนของโลก และหลายแห่งได้รับการบันทึกในสหรัฐอเมริกา แต่ภูเขาเหล่านี้บางส่วนเมื่พิสูจน์ชัดแล้วว่าไม่ใช่กฎแห่งธรรมชาติ พวกมันจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแทน
สำหรับชื่อแรก "เนินแรงโน้มถ่วง" มันแสดงให้เห็นว่าแรงโน้มถ่วงของเนินเขาดังกล่าวไม่สม่ำเสมอ กล่าวคือ แรงที่อยู่ด้านล่างอ่อนกว่าที่สูง ทำให้วัตถุเคลื่อนขึ้นทางลาด ในความเป็นความจริงแรงโน้มถ่วงไม่เท่ากันทุกที่บนโลก โดยพื้นที่ที่อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรของโลกจะมีแรงโน้มถ่วงน้อยกว่าบริเวณที่อยู่ห่างจากโลกเล็กน้อย ดังนั้น การอธิบายว่าเนินแรงโน้มถ่วงเป็นผลมาจากความแตกต่างของแรงดึงดูดระหว่างด้านบนและด้านล่างของทางลาดเอียงอาจไม่เป็นไปได้เลย
คำอธิบายอีกประการหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดเช่นกัน นั่นคือ การมีอยู่ของเนินแรงโน้มถ่วงเป็นภาพลวงตา ซึ่งตามคำอธิบายนี้เกิดจากภูมิทัศน์โดยรอบทำให้เกิดภาพลวงตา ทำให้เราคิดว่าทางลาดลงของเนินเขาเป็นทางที่ขึ้นไปทางด้านบนจริงๆ แม้จะรู้ว่าพวกมันถูกสร้างขึ้นมาจากภาพลวงตา เนินแรงโน้มถ่วงยังคงเป็นที่มาของความอัศจรรย์ เนื่องจากผลของภาพลวงตานั้นค่อนข้างน่าทึ่ง
นอกเหนือจากเนินเขาที่มีแรงโน้มถ่วงแล้ว ภาพลวงตานี้ยังถูกใช้ในสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งในสหรัฐอเมริกาที่รู้จักกันในชื่อ " mystery spots "
สถานที่ท่องเที่ยวที่ลึกลับเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในอดีต โดยมักจะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมแรกเข้าเล็กน้อย รวมทั้งบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอาคารที่มีกฎแห่งแรงโน้มถ่วงเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น และนี่เป็นเนินแรงโน้มถ่วงที่เป็นที่รู้จักในสถานที่ต่างๆ
ที่แรก บน Mt. Radan เมือง Bojnik ในเซอร์เบียตอนใต้ มีเนินแรงโน้มถ่วงที่ไม่ธรรมดา เมื่อได้รับความนิยมในที่สาธารณะเป็นครั้งแรก สื่อเรียกมันว่าความโน้มถ่วงที่ผิดปกติและปาฏิหาริย์ ข่าวแพร่กระจายอย่างรวดเร็วสร้างความตกใจให้กับนักวิทยาศาสตร์อย่างแท้จริง และสร้างความตื่นเต้นให้กับประเทศ เมืองที่เงียบสงบซึ่งไม่ค่อยพบผู้มาเยือน กลายเป็นจุดรวมตัวสำหรับทุกคนที่ต้องการสัมผัสกับเหตุการณ์ "ขึ้นบนลงเนิน" ที่ไม่ปกตินี้
เซอร์เบียตอนใต้นั้นมีอัญมณีที่ซ่อนอยู่มากมายให้สำรวจ ภูมิประเทศแบบภูเขานี้สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ชื่นชอบการเดินป่า มีแม่น้ำและทะเลสาบมากมายเพื่อให้ทัศนียภาพโดดเด่น โดยเนินแรงโน้มถ่วงบน Mt. Radan เป็นเพียงหนึ่งในนั้น และถึงแม้จะเป็นตำนานที่ถูกหักล้าง แต่ก็ยังคุ้มค่าแก่การมาเยี่ยมชม
อีกแห่ง ในเมือง Piercy รัฐแคลิฟอร์เนีย มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เรียกว่า " Confusion Hill " ถูกขนานนามว่าเป็น " บ้านแรงโน้มถ่วง " โดยโครงสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อให้ผู้เข้าชมภายในเอียง เจ้าของอ้างว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า Chipalope (ครึ่งกระแตครึ่งละมั่ง) มีต้นกำเนิดมาจากที่นั่น ตามนิทานเรื่องนี้ มีชิปมังก์คู่หนึ่งและแอนทีโลปคู่หนึ่งเดินเคียงข้างกันอยู่ในป่า ทันใดนั้นเกิดพายุประหลาดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งเต็มไปด้วยฟ้าร้องและฟ้าผ่า แผ่นดินสั่นสะเทือนด้วยแรงลม สุดท้ายพวกมันก็ถูกแปรสภาพเป็น Chipalope
เรื่องนี้เล่าต่อว่า Chipalope ตัวผู้ซึ่งกลายเป็นที่รู้จักในชื่อ " Chester the First " ได้ตระหนักรู้ในตนเอง และตัดสินใจว่าเขาและสหายของเขาจะต้องซ่อนตัวจากมนุษย์ โดยจะปรากฏเฉพาะบนเนินเขา Confusion Hill ในตอนกลางคืนหรือในช่วงเช้าตรู่เท่านั้น
การปรากฏตัวของดวงอาทิตย์ ทำให้พื้นที่โค้งงอและทำให้โลกดูเหมือนจะเคลื่อนที่เป็นวงรี ลองนึกภาพแผ่นยางยืดออกอย่างตึง ถ้าวางลูกโบว์ลิ่งไว้ตรงกลาง มวลของลูกจะทำให้เกิดความกดในแผ่นยางให้ยุบลง และหากคุณวางแอปเปิ้ลลงบนขอบของแผ่น แอปเปิ้ลจะกลิ้งลงทางลาดมาตรงกลาง ทำให้การยุบลงนี้ไม่สามารถเห็นได้โดยคนที่มองตรงไปที่แผ่นจากด้านบน
ทั้งนี้ การทดลองนั้นมีหลายวิธี ซึ่งความสูงของความชันสามารถวัดได้โดย geo level (เครื่องมือวัดพิกัดทางภูมิศาสตร์) และ GPS ยังสามารถคำนวณความสูงของภูมิประเทศได้ด้วย เพราะจะคำนวณระยะทางไปยังดาวเทียม (ถ้าวางทั้งสองด้าน จุดสูงสุดและต่ำสุดจะแสดงสิ่งที่อยู่ใกล้ดาวเทียมมากที่สุด) รวมทั้ง ค่าของความเร่งโน้มถ่วงที่วัดได้จากลูกตุ้มคณิตศาสตร์ (mathematical pendulum) โดยการทดลองทั้งหมดนี้ได้ดำเนินการแล้วกับ Mt. Radan และทุกๆ การทดลองแสดงให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ไม่มีแรงโน้มถ่วง และไม่มี"เนินแม่เหล็ก" เป็นเพียงการลงเขาธรรมดาๆ