ทำธุรกิจให้รอดไม่ง่าย อาจเริ่มได้แต่รอดยาก 4 ประเด็นสำคัญในการทำให้ธุรกิจรอด
เนื่องด้วยช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากมากๆในแง่ธุรกิจภาคเอกชน จากการที่ได้พูดคุยกับเพื่อนๆเจ้าของธุรกิจด้วยกัน ธนาคาร หน่วยงาน ข่าวต่างๆ บอกได้เลยว่า”โหด”จริงๆ ใครไม่ใช่ของจริงหรือไม่อึดจริงๆ รอดลำบากเพราะเวลาธุรกิจสะดุด หยุดไปแล้วกลับมายากโดยเฉพาะถ้ามี “หนี้” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน กว่าจะหาส่วนของ “กำไร” มาคืนได้ยากจริงๆ
เลยว่านั่งคิดว่าเราช่วยเหลืออะไรได้บ้าง นอกจากบริจาคและร่วมช่วยเหลือตามกำลังที่มีอยู่ เลยคิดว่าการมาแลกเปลียนประสบการณ์จากการทำงานและเป็นที่ปรึกษามาบ้างอาจจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆได้บ้าง เผื่อว่าจะมีซักคนที่ได้ประโยชน์ มีสติมากขึ้น คิดให้รอบคอบขึ้นในการทำธุรกิจก็ถือว่าโอเคแล้ว
เลยขอเล่า 4 ประเด็นสำคัญในการทำให้ธุรกิจรอด
1. อึดพอไหม พร้อมลุยเกิน 100 (Persistency)
คำว่าอึดนี่จำเป็นมากๆสำหรับเจ้าของกิจการ อธิบายให้เห็นภาพก็เคยมีโฆษณาตัวนึงที่ทั้งบริษัทมีคนเดียว ตั้งแต่รปภ แม่บ้าน เลขา บัญชี ไปถึงเจ้าของวิ่งเปลี่ยนชุดไปๆมาๆอยู่คนเดียว นั่นหล่ะครับหนึ่งในความอึดที่ต้องทำได้ทุกอย่าง
สำหรับคนที่ยังไม่เคยทำธุรกิจเอง ลองคิดภาพตามนะครับ เราอยากเริ่มธุรกิจเราจะมีพนักงาน 20-30 คนเลยไหมตอนแรกเป็นไปไม่ได้เราอาจจะเริ่มจากเราชอบสิ่งนั้นๆ สนใจมากๆ จนเห็นลู่ทางการทำธุรกิจเลยมาลองทำดู แน่นอนตอนเริ่มมีคนเดียวนะครับ ถ้าเป็นการเป็นงานหน่อยอาจเช่าออฟฟิสเล็กๆ มีโต๊ะ สองสามโต๊ะไว้พอเป็นพิธีแต่ทุกอย่างคือ “เรา” อย่าไปคาดหวังคนอื่นมาช่วยนะครับ เพราะทุกหัวที่จ้างมานั้น ตีไปเลยหัวละ 15000-20000 ต่อเดือนคือค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแล มาสิบคนก็ 200,000 บาทต่อเดือนที่ต้องหา “กำไร” มาจ่าย
นอกจากนี้ตำแหน่งต่างๆเช่น ฝ่ายขาย บัญชี HR ส่งของ แพคของ เลขา ฯลฯ นั้นถ้าให้แนะนำก็ “ทำเอง” ครับทำแ-‘ง ทุกอย่างนั่นแหล่ะ ทำไปจนคิดว่า กำไรพอจับต้องได้แล้วค่อยขยับขยายมาทีละคนสองคน ค่อยๆว่ากันไป
จากสถิติจาก entrepreneur.com ธุรกิจขนาดเล็ก
· 20% ไปไม่รอดในปีแรก
· 30% ไปไม่รอดใน 3 ปี
· 50% ไปไม่รอดใน 5 ปี
ส่วนตัวมองว่าสถิตินี้ยังถือว่ามองโลกในแง่ดีอยู่ เพราะเก็บข้อมูลจดทะเบียนยังไม่รวมถึงแบบว่าเอ้ามาลองทำเองก่อน 3 เดือน 6 เดือนแล้วเลิกไปพร้อมกองสินค้าอยู่เต็มคอนโด/โรงรถ ไม่รู้ทำไงอีกเยอะ แต่อย่าขู่เยอะเลยเสียขวัญ 55
แถมให้อึดนี่รวมถึงใจอึดด้วยนะครับ เพราะถ้าทำธุรกิจไปแล้วระหว่างทางเจอ “แน่ๆ” ความท้าทายของจิตใจ เช่นเคสนึง ทำงานไปๆมาๆ จับได้ว่าลูกน้องโกงเลยจะไล่ออก ลูกน้องตัวดีก็เตรียมไว้แล้วปั่นหัวพนักงานคนอื่นๆไปพร้อมกันสุดท้ายลาออกยกชุด เจ้าของก็เฮ้ย!...
เอาไงดี...ของก็ต้องทำ ลูกค้าก็ต้องไปหา บัญชีก็ไม่เสร็จ เก็บเช็คก็ไม่ได้ เหลือตัวคนเดียวกับโต๊ะทำงานว่างเปล่าสีเทาๆ
เลิกดีไหมวะ ช่าง เลยแล้วกัน...
พอตั้งสติได้ ค่าเทอมลูกหล่ะ ไฟแนนซ์รถ ค่าน้ำค่าไฟ เงินกู้ ดอกเบี้ย ภาษี จะเอาที่ไหนกินบ้านก็ยังต้องผ่อน........
…
..
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เว้นไว้ให้ตอบเอง...
2. คิดเองได้หรือเปล่า (Self-Initiatives&controls)
อีกบททดสอบของ SME ทั่วๆไปคือคิดเองว่าต้องทำอะไรได้ต่อไป เจอเคสแบบนี้บ่อยๆที่จากพนักงานประจำขยับมาเป็นเจ้าของเอง โดยตอนเป็นลูกจ้างนั้นมีหัวหน้าชัดเจน รวมถึงมี KPIs, เป้าหมายมีการประเมินผลรวมถึงกำหนดกรอบขอบข่ายการทำงาน( job descriptions) ไว้ชัดเจน พนักงานบางคนถึงขนาดบอกว่าตำแหน่งนี้ job des แบบนี้ไม่ทำนอกเหนืองานนะครับ
แต่พอมาทำของตัวเอง คำถามคือใครจะสั่ง??? หันซ้ายหันขวาไม่มีใครนี่หว่ามีแต่เราเป็นหัวหน้าสูงสุดแล้ว เออดีอิสระอารมณ์เหมือนเราอยากทำอะไรก็ได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ได้อย่างสบายใจไม่มีใครมาดุมาด่าใช่ครับ ใช่นั่นข้อดีหล่ะ
แต่อีกมุมนึงที่เจอบ่อยคือ ชินกับการถูกสั่งพอไม่มีคนสั่งหรือบังคับควบคุมก็จะหลุดๆไปบ้างเช่น บ่ายไปนั่งชิกๆร้านคาเฟ่ดีกว่า หรือเมื่อคืนนอนดูซีรีย์เกาหลีดึกเช้านี้ทำงานเข้าบ่ายแล้วกัน เรื่องพวกนี้มีบ้างไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องปกติ
แต่ๆๆๆๆ ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ยาวนะครับ ยาวหมายถึงปัญหาจะเยอะ เพราะงานส่วนใหญ่ของ SME นั้นขับเคลื่อนด้วยเจ้าของเป็นหลัก(กลับไปดูข้อ1) เรายังไม่สามารถจ้างพนักงานที่เก่งๆดีๆ ได้เหมือนบริษัทใหญ่ๆ (แน่นอนคนเก่งๆดีๆ เขาก็ไม่มาทำกับบริษัทเล็กๆที่เอาแน่นอนยาก) ลูกน้องเห็นเจ้านายขี้เกียจเลยชิวบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้างไม่มีคนคุมดูแล(คุ้นๆไหมเหมือนเราตอนเป็นลูกน้องนั่นหล่ะ เวรกรรมมีจริง ) ทำเสร็จ 5 โมงก็กลับบ้านไปเจ้าของก็คิดว่าลูกจ้างจะทุ่มสุดตัวทำงานแทนเรา ตื่นๆๆๆๆ ไม่มีนะครับ อาจมีจากซีรีย์เกาหลี start up บ้างแต่ชีวิตจริง안녕히 계세요. อันยองฮี คเย เซโย (ลาก่อนเจ้านาย )
งานเกือบทั้งหมดเจ้าของต้องลุยเอง ไม่ได้ลุยก็หลุด หลุดแล้วก็เสียหายมาก เล่าเป็นอุทาหรณ์ไว้เคสนึง ธุรกิจพอไปได้ มีลูกน้องดูแลงานส่วนใหญ่ มีคนนึงหน่วยก้านดีไว้ใจได้ก็ให้ดูแลเป็นหลัก เจ้าของปล่อยลูกน้องดูแลกิจการทุกอย่าง ขาย จัดซื้อ วางบิล รับเช็ค ฯลฯ เจ้าของตื่นเกือบเที่ยง ลูกน้องป้อนงานเอาเอกสารไปให้เซ็น ไม่ได้ลงมาคลุกคลีอะไรเลย ไม่ถึง 2 ปี มาพบว่าลูกน้องโกง เปิด sideline ป้อนงานเข้าบริษัทตัวเอง จนสุดท้ายก็แก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้นจนเกือบเจ๊ง
3. ขายให้เป็น (Sell sell sell)
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือธุรกิจมาบ้างจะเข้าใจดีว่างานไหนสำคัญที่สุดในธุรกิจ ใช่ครับ การขาย เคยมีคนมาปรึกษาว่าไม่ถนัดขายเลยแต่อยากเริ่มธุรกิจทำอย่างไรดี เลยถามว่าเขาถนัดอะไรและถ้าเริ่มธุรกิจจะทำอะไร เขาเลยบอกว่าถนัดหาของและรู้ว่าเทคโนโลยีนี้ดีคนน่าจะชอบ (Classic เคสมากๆ) เลยแนะไปว่าคนอื่นหาของมาได้ไหมคล้ายๆกันเพราะจะไปสั่งจากจีนมา เขาก็อึ้งๆไปหน่อยแล้วบอกเบาๆว่า ก็ได้นะ...
เลยถามต่อว่าเป็นไม่ขายแล้วใครจะขายวะ มันเลยไม่ถามต่อ ฮ่าๆๆๆ
บอกได้เลยว่ายุคนี้เป็นยุคของการขายที่แท้ทรู ของแทบทุกอย่างสามารถหาข้อมูลแหล่งได้จากอินเตอร์เนตดังที่เห็นอยู่ตาม app ตลาดออนไลน์ดังๆหรือ เพจตาม social มีแต่คนขายๆๆๆๆๆๆ จนบางทีงงแล้วทุกคนขายแล้วใครจะซื้อ
คำถามที่เจอบ่อยผมไม่ถนัดขายทำไง อืม...ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ไปฝึกสิครับ หาอ่านหนังสือ ดู youtube ฯลฯ คนกว่าจะเก่ง อาจไม่จำเป็นต้องขายเทพมากๆ แบบแตะตัวแล้วซื้อเลยขนาดนั้น แต่ต้องพอทำได้ กล้าที่จะทำ และลงมือทำแค่นั้น simple มากๆ ทำไปเรื่อยก็จะพอไหวเอง หรือไม่ก็ต้องกลับไปเป็นพนักงานประจำ
อีกเคสที่เจอบ่อยๆก็ไม่ถนัดขายเอง เดี๋ยวจ้างเซลล์มาขาย ทำได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จถ้าเจ้าของขายเองไม่ได้หรือไม่ได้ลุยเอง นำทัพเองไปขาย ต้องเข้าใจธรรมชาติเซลล์ก่อน คนตรงๆซื่อๆ มักขายไม่เก่ง คนคล่องๆกระล่อนๆ จะขายเก่ง แน่นอนว่าคนขายเก่งก็ควบคุมยากในแง่การทำงานและในแง่ความซื่อสัตย์ หวังผลระยะยาวไม่ง่าย
ยกตัวอย่างให้เคสนึงพัฒนา app มากะขายให้กับพวกหอพัก ประเมิณแล้วคนซื้ออำนาจต่อรองสูงมากๆ และดูไม่ค่อยจำเป็นน่าจะขายยาก เฮียแกบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจ้างเซลล์มาวิ่งเดี๋ยวก็ขายได้เราก็ได้แต่มองอืมๆแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย (คนจะลุยอย่าไปขวาง) พอผ่านไป 3-4 เดือนเจออีกทีบอกเป็นไงบอกว่ามีจ้างมาหลายคนแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย เสียแต่เงินเดือนกับค่าใช้จ่าย สุดท้ายก็พับโปรเจคไป
4. เข้าใจคำว่า รายรับ และ กำไร (Profit ≠ revenue)
อันนี้ใครทำธุรกิจอยู่แล้วน่าจะเข้าใจไม่ยาก แต่สำหรับคนทั่วๆไปนั้น ความหมายแตกต่างกันมหาศาลนะครับ เราอาจโอ้โหกับมีคนบอกว่าได้เงินต่อเดือน 300,000 บาท เราอาจคิดว่าสุดยอดเงินเยอะมาก (เด็กๆก็เคยคิดตามนั้น) แต่ธุรกิจเราต้องดู บรรทัดสุดท้ายครับ ไม่ใช่ รายรับ กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่า เขากำไร 50,000 ต่อเดือน หรือ ขาดทุน 200,000 ต่อเดือนได้ขึ้นอยู่กับรายจ่ายและการบริหาร
ส่วนเรื่องกำไรนั้นคืออีกหนึ่งหัวใจหลักของธุรกิจว่าจะรอดหรือไม่รอดในระยะยาวนะครับ ถ้าธุรกิจไหนไม่มีกำไรก็เตรียมพับกระเป๋าได้เลย ส่วนกำไรมาจากไหนก็ รายรับ-รายจ่ายทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ ดังนั้นจะคุยกับใครว่าธุรกิจไปได้ดีหรือไม่ดีนั้นให้ดู “กำไร” นะครับ ไม่ใช่รายได้
มีหลายเคสที่เคยเจอก็รายรับดีมาก แต่พอจับมาทำบัญชีลึกๆกันจริงๆ ลืมนั่นลืมนี่ ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายจริงๆมาใส่ ทำให้ไม่รู้ว่าจริงๆกำไรหรือขาดทุนกันแน่ (แต่ส่วนใหญ่ขาดทุนครับแทบไม่ต้องถาม) ที่ลืมกันบ่อยๆก็อาจจะเป็นเงินเดือนตัวเอง ดอกเบี้ย ต้นทุนสินค้า ต้นทุนขนส่ง พนักงาน ฯลฯ ได้ทั้งหมด อ่อภาษีอีก
การกำหนดราคาก็สำคัญเพราะเป็นต้นทางของรายรับ เช่นของต้นทุน 50 บาท จะขายเท่าไหร่ดี??? ตอบแบบตัวเลขอาจไม่ครอบคลุมแต่ขอให้ลองดู checklist เบื้องต้นก่อน
Þ ต้นทุน แปรผัน เช่น กล่อง สติกเกอร์ ค่าผลิต ค่าตกแต่ง
Þ ต้นทุน คงที่ เช่น เงินเดือน ค่าเช่า ฯลฯ (ลองแปรมาว่าต่อชิ้นที่ขาย อาจจะยากหน่อยเพราะไม่รู้ว่าขายได้กี่ชิ้น)
Þ ต้นทุนอื่นๆ ภาษี ดอกเบี้ย ฯลฯ
ลองหยอดตัวเลขดูนะครับ สมมติให้ 30 บาท รวมต้นทุนเป็น 50+30 = 80 บาท
กำไรเท่าไหร่ดี??? 20 บาทแล้วกัน สรุปขาย 100 บาท เคร แต่เดี๋ยว...
ลอง search ใน app ดูอ้าวเวรกรรมคนอื่นขาย 75 บาท ของเหมือนกันเป๊ะ!!!
หันซ้ายหัวขวาทำไงดี?
…
..
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เลิกทำซิครับ
..
.
ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาต้นทุนคุณได้ นั่งทับมืออยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เหนื่อยและไม่ขาดทุน 55
ส่วนวิธีแก้นั้นว่ากันยาว.......................เพราะต้องไปดูเรื่องปัจจัยพื้นฐาน(fundamental)หลายอย่าง ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟังเพิ่ม บางเรื่องก็สุดที่จะแก้ บางเรื่องพอแก้ได้บ้างว่ากันเป็นเคสๆไป
ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิดสำหรับข้อนี้ว่า There are millions ways to lose money, there are a few ways to earn แปลเป็นไทยว่าค่าใช้จ่ายออกได้เป็นล้านทาง แต่รายรับเนี่ยมาได้จริงๆไม่กี่ทาง
ปล.เขียนมาเพราะอยากเขียนไว้ถ้ามีโอกาสจะมาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมให้นะครับ ทั้งหมดมาจากประสบการณ์จริง อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง ตรงตำราหรือไม่ หรือไม่ตรงใจใครก็ขออภัยล่วงหน้าแต่ยืนยันว่าใช้ได้จริงครับ
ส่วนใครมีประสบการณ์ดีๆมาพูดคุยแนะนำกันได้ครับ
แปะหัวข้อไว้ก่อนเผื่อมาแลกเปลี่ยนกันครั้งหน้า
Þ ทนรับแรงกระแทก
Þ ทำไงไม่ให้โดนโกง
Þ คนโชคดี
Þ ...
บอกเล่าประสบการณ์ทำยังไงให้ธุรกิจรอด สำหรับมือใหม่ที่คิดจะเริ่ม :)
เนื่องด้วยช่วงนี้เป็นช่วงที่ยากลำบากมากๆในแง่ธุรกิจภาคเอกชน จากการที่ได้พูดคุยกับเพื่อนๆเจ้าของธุรกิจด้วยกัน ธนาคาร หน่วยงาน ข่าวต่างๆ บอกได้เลยว่า”โหด”จริงๆ ใครไม่ใช่ของจริงหรือไม่อึดจริงๆ รอดลำบากเพราะเวลาธุรกิจสะดุด หยุดไปแล้วกลับมายากโดยเฉพาะถ้ามี “หนี้” เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ดอกเบี้ยวิ่งทุกวัน กว่าจะหาส่วนของ “กำไร” มาคืนได้ยากจริงๆ
เลยว่านั่งคิดว่าเราช่วยเหลืออะไรได้บ้าง นอกจากบริจาคและร่วมช่วยเหลือตามกำลังที่มีอยู่ เลยคิดว่าการมาแลกเปลียนประสบการณ์จากการทำงานและเป็นที่ปรึกษามาบ้างอาจจะพอมีประโยชน์กับเพื่อนๆได้บ้าง เผื่อว่าจะมีซักคนที่ได้ประโยชน์ มีสติมากขึ้น คิดให้รอบคอบขึ้นในการทำธุรกิจก็ถือว่าโอเคแล้ว
เลยขอเล่า 4 ประเด็นสำคัญในการทำให้ธุรกิจรอด
1. อึดพอไหม พร้อมลุยเกิน 100 (Persistency)
คำว่าอึดนี่จำเป็นมากๆสำหรับเจ้าของกิจการ อธิบายให้เห็นภาพก็เคยมีโฆษณาตัวนึงที่ทั้งบริษัทมีคนเดียว ตั้งแต่รปภ แม่บ้าน เลขา บัญชี ไปถึงเจ้าของวิ่งเปลี่ยนชุดไปๆมาๆอยู่คนเดียว นั่นหล่ะครับหนึ่งในความอึดที่ต้องทำได้ทุกอย่าง
สำหรับคนที่ยังไม่เคยทำธุรกิจเอง ลองคิดภาพตามนะครับ เราอยากเริ่มธุรกิจเราจะมีพนักงาน 20-30 คนเลยไหมตอนแรกเป็นไปไม่ได้เราอาจจะเริ่มจากเราชอบสิ่งนั้นๆ สนใจมากๆ จนเห็นลู่ทางการทำธุรกิจเลยมาลองทำดู แน่นอนตอนเริ่มมีคนเดียวนะครับ ถ้าเป็นการเป็นงานหน่อยอาจเช่าออฟฟิสเล็กๆ มีโต๊ะ สองสามโต๊ะไว้พอเป็นพิธีแต่ทุกอย่างคือ “เรา” อย่าไปคาดหวังคนอื่นมาช่วยนะครับ เพราะทุกหัวที่จ้างมานั้น ตีไปเลยหัวละ 15000-20000 ต่อเดือนคือค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแล มาสิบคนก็ 200,000 บาทต่อเดือนที่ต้องหา “กำไร” มาจ่าย
นอกจากนี้ตำแหน่งต่างๆเช่น ฝ่ายขาย บัญชี HR ส่งของ แพคของ เลขา ฯลฯ นั้นถ้าให้แนะนำก็ “ทำเอง” ครับทำแ-‘ง ทุกอย่างนั่นแหล่ะ ทำไปจนคิดว่า กำไรพอจับต้องได้แล้วค่อยขยับขยายมาทีละคนสองคน ค่อยๆว่ากันไป
จากสถิติจาก entrepreneur.com ธุรกิจขนาดเล็ก
· 20% ไปไม่รอดในปีแรก
· 30% ไปไม่รอดใน 3 ปี
· 50% ไปไม่รอดใน 5 ปี
ส่วนตัวมองว่าสถิตินี้ยังถือว่ามองโลกในแง่ดีอยู่ เพราะเก็บข้อมูลจดทะเบียนยังไม่รวมถึงแบบว่าเอ้ามาลองทำเองก่อน 3 เดือน 6 เดือนแล้วเลิกไปพร้อมกองสินค้าอยู่เต็มคอนโด/โรงรถ ไม่รู้ทำไงอีกเยอะ แต่อย่าขู่เยอะเลยเสียขวัญ 55
แถมให้อึดนี่รวมถึงใจอึดด้วยนะครับ เพราะถ้าทำธุรกิจไปแล้วระหว่างทางเจอ “แน่ๆ” ความท้าทายของจิตใจ เช่นเคสนึง ทำงานไปๆมาๆ จับได้ว่าลูกน้องโกงเลยจะไล่ออก ลูกน้องตัวดีก็เตรียมไว้แล้วปั่นหัวพนักงานคนอื่นๆไปพร้อมกันสุดท้ายลาออกยกชุด เจ้าของก็เฮ้ย!...
เอาไงดี...ของก็ต้องทำ ลูกค้าก็ต้องไปหา บัญชีก็ไม่เสร็จ เก็บเช็คก็ไม่ได้ เหลือตัวคนเดียวกับโต๊ะทำงานว่างเปล่าสีเทาๆ
เลิกดีไหมวะ ช่าง เลยแล้วกัน...
พอตั้งสติได้ ค่าเทอมลูกหล่ะ ไฟแนนซ์รถ ค่าน้ำค่าไฟ เงินกู้ ดอกเบี้ย ภาษี จะเอาที่ไหนกินบ้านก็ยังต้องผ่อน........
…
..
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. คิดเองได้หรือเปล่า (Self-Initiatives&controls)
อีกบททดสอบของ SME ทั่วๆไปคือคิดเองว่าต้องทำอะไรได้ต่อไป เจอเคสแบบนี้บ่อยๆที่จากพนักงานประจำขยับมาเป็นเจ้าของเอง โดยตอนเป็นลูกจ้างนั้นมีหัวหน้าชัดเจน รวมถึงมี KPIs, เป้าหมายมีการประเมินผลรวมถึงกำหนดกรอบขอบข่ายการทำงาน( job descriptions) ไว้ชัดเจน พนักงานบางคนถึงขนาดบอกว่าตำแหน่งนี้ job des แบบนี้ไม่ทำนอกเหนืองานนะครับ
แต่พอมาทำของตัวเอง คำถามคือใครจะสั่ง??? หันซ้ายหันขวาไม่มีใครนี่หว่ามีแต่เราเป็นหัวหน้าสูงสุดแล้ว เออดีอิสระอารมณ์เหมือนเราอยากทำอะไรก็ได้วิ่งเล่นในทุ่งลาเวนเดอร์ได้อย่างสบายใจไม่มีใครมาดุมาด่าใช่ครับ ใช่นั่นข้อดีหล่ะ
แต่อีกมุมนึงที่เจอบ่อยคือ ชินกับการถูกสั่งพอไม่มีคนสั่งหรือบังคับควบคุมก็จะหลุดๆไปบ้างเช่น บ่ายไปนั่งชิกๆร้านคาเฟ่ดีกว่า หรือเมื่อคืนนอนดูซีรีย์เกาหลีดึกเช้านี้ทำงานเข้าบ่ายแล้วกัน เรื่องพวกนี้มีบ้างไม่ใช่ปัญหาเป็นเรื่องปกติ
แต่ๆๆๆๆ ถ้าควบคุมตัวเองไม่ได้ยาวนะครับ ยาวหมายถึงปัญหาจะเยอะ เพราะงานส่วนใหญ่ของ SME นั้นขับเคลื่อนด้วยเจ้าของเป็นหลัก(กลับไปดูข้อ1) เรายังไม่สามารถจ้างพนักงานที่เก่งๆดีๆ ได้เหมือนบริษัทใหญ่ๆ (แน่นอนคนเก่งๆดีๆ เขาก็ไม่มาทำกับบริษัทเล็กๆที่เอาแน่นอนยาก) ลูกน้องเห็นเจ้านายขี้เกียจเลยชิวบ้าง ทำบ้างไม่ทำบ้างไม่มีคนคุมดูแล(คุ้นๆไหมเหมือนเราตอนเป็นลูกน้องนั่นหล่ะ เวรกรรมมีจริง ) ทำเสร็จ 5 โมงก็กลับบ้านไปเจ้าของก็คิดว่าลูกจ้างจะทุ่มสุดตัวทำงานแทนเรา ตื่นๆๆๆๆ ไม่มีนะครับ อาจมีจากซีรีย์เกาหลี start up บ้างแต่ชีวิตจริง안녕히 계세요. อันยองฮี คเย เซโย (ลาก่อนเจ้านาย )
งานเกือบทั้งหมดเจ้าของต้องลุยเอง ไม่ได้ลุยก็หลุด หลุดแล้วก็เสียหายมาก เล่าเป็นอุทาหรณ์ไว้เคสนึง ธุรกิจพอไปได้ มีลูกน้องดูแลงานส่วนใหญ่ มีคนนึงหน่วยก้านดีไว้ใจได้ก็ให้ดูแลเป็นหลัก เจ้าของปล่อยลูกน้องดูแลกิจการทุกอย่าง ขาย จัดซื้อ วางบิล รับเช็ค ฯลฯ เจ้าของตื่นเกือบเที่ยง ลูกน้องป้อนงานเอาเอกสารไปให้เซ็น ไม่ได้ลงมาคลุกคลีอะไรเลย ไม่ถึง 2 ปี มาพบว่าลูกน้องโกง เปิด sideline ป้อนงานเข้าบริษัทตัวเอง จนสุดท้ายก็แก้ปัญหากันไม่จบไม่สิ้นจนเกือบเจ๊ง
3. ขายให้เป็น (Sell sell sell)
ถ้าใครเคยอ่านหนังสือธุรกิจมาบ้างจะเข้าใจดีว่างานไหนสำคัญที่สุดในธุรกิจ ใช่ครับ การขาย เคยมีคนมาปรึกษาว่าไม่ถนัดขายเลยแต่อยากเริ่มธุรกิจทำอย่างไรดี เลยถามว่าเขาถนัดอะไรและถ้าเริ่มธุรกิจจะทำอะไร เขาเลยบอกว่าถนัดหาของและรู้ว่าเทคโนโลยีนี้ดีคนน่าจะชอบ (Classic เคสมากๆ) เลยแนะไปว่าคนอื่นหาของมาได้ไหมคล้ายๆกันเพราะจะไปสั่งจากจีนมา เขาก็อึ้งๆไปหน่อยแล้วบอกเบาๆว่า ก็ได้นะ...
เลยถามต่อว่าเป็นไม่ขายแล้วใครจะขายวะ มันเลยไม่ถามต่อ ฮ่าๆๆๆ
บอกได้เลยว่ายุคนี้เป็นยุคของการขายที่แท้ทรู ของแทบทุกอย่างสามารถหาข้อมูลแหล่งได้จากอินเตอร์เนตดังที่เห็นอยู่ตาม app ตลาดออนไลน์ดังๆหรือ เพจตาม social มีแต่คนขายๆๆๆๆๆๆ จนบางทีงงแล้วทุกคนขายแล้วใครจะซื้อ
คำถามที่เจอบ่อยผมไม่ถนัดขายทำไง อืม...ตอบแบบกำปั้นทุบดินก็ไปฝึกสิครับ หาอ่านหนังสือ ดู youtube ฯลฯ คนกว่าจะเก่ง อาจไม่จำเป็นต้องขายเทพมากๆ แบบแตะตัวแล้วซื้อเลยขนาดนั้น แต่ต้องพอทำได้ กล้าที่จะทำ และลงมือทำแค่นั้น simple มากๆ ทำไปเรื่อยก็จะพอไหวเอง หรือไม่ก็ต้องกลับไปเป็นพนักงานประจำ
อีกเคสที่เจอบ่อยๆก็ไม่ถนัดขายเอง เดี๋ยวจ้างเซลล์มาขาย ทำได้นะครับ แต่ส่วนใหญ่ไม่สำเร็จถ้าเจ้าของขายเองไม่ได้หรือไม่ได้ลุยเอง นำทัพเองไปขาย ต้องเข้าใจธรรมชาติเซลล์ก่อน คนตรงๆซื่อๆ มักขายไม่เก่ง คนคล่องๆกระล่อนๆ จะขายเก่ง แน่นอนว่าคนขายเก่งก็ควบคุมยากในแง่การทำงานและในแง่ความซื่อสัตย์ หวังผลระยะยาวไม่ง่าย
ยกตัวอย่างให้เคสนึงพัฒนา app มากะขายให้กับพวกหอพัก ประเมิณแล้วคนซื้ออำนาจต่อรองสูงมากๆ และดูไม่ค่อยจำเป็นน่าจะขายยาก เฮียแกบอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวจ้างเซลล์มาวิ่งเดี๋ยวก็ขายได้เราก็ได้แต่มองอืมๆแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย (คนจะลุยอย่าไปขวาง) พอผ่านไป 3-4 เดือนเจออีกทีบอกเป็นไงบอกว่ามีจ้างมาหลายคนแล้วไม่ได้ผลอะไรเลย เสียแต่เงินเดือนกับค่าใช้จ่าย สุดท้ายก็พับโปรเจคไป
4. เข้าใจคำว่า รายรับ และ กำไร (Profit ≠ revenue)
อันนี้ใครทำธุรกิจอยู่แล้วน่าจะเข้าใจไม่ยาก แต่สำหรับคนทั่วๆไปนั้น ความหมายแตกต่างกันมหาศาลนะครับ เราอาจโอ้โหกับมีคนบอกว่าได้เงินต่อเดือน 300,000 บาท เราอาจคิดว่าสุดยอดเงินเยอะมาก (เด็กๆก็เคยคิดตามนั้น) แต่ธุรกิจเราต้องดู บรรทัดสุดท้ายครับ ไม่ใช่ รายรับ กรณีนี้อาจเป็นไปได้ว่า เขากำไร 50,000 ต่อเดือน หรือ ขาดทุน 200,000 ต่อเดือนได้ขึ้นอยู่กับรายจ่ายและการบริหาร
ส่วนเรื่องกำไรนั้นคืออีกหนึ่งหัวใจหลักของธุรกิจว่าจะรอดหรือไม่รอดในระยะยาวนะครับ ถ้าธุรกิจไหนไม่มีกำไรก็เตรียมพับกระเป๋าได้เลย ส่วนกำไรมาจากไหนก็ รายรับ-รายจ่ายทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ ดังนั้นจะคุยกับใครว่าธุรกิจไปได้ดีหรือไม่ดีนั้นให้ดู “กำไร” นะครับ ไม่ใช่รายได้
มีหลายเคสที่เคยเจอก็รายรับดีมาก แต่พอจับมาทำบัญชีลึกๆกันจริงๆ ลืมนั่นลืมนี่ ไม่ได้คิดค่าใช้จ่ายจริงๆมาใส่ ทำให้ไม่รู้ว่าจริงๆกำไรหรือขาดทุนกันแน่ (แต่ส่วนใหญ่ขาดทุนครับแทบไม่ต้องถาม) ที่ลืมกันบ่อยๆก็อาจจะเป็นเงินเดือนตัวเอง ดอกเบี้ย ต้นทุนสินค้า ต้นทุนขนส่ง พนักงาน ฯลฯ ได้ทั้งหมด อ่อภาษีอีก
การกำหนดราคาก็สำคัญเพราะเป็นต้นทางของรายรับ เช่นของต้นทุน 50 บาท จะขายเท่าไหร่ดี??? ตอบแบบตัวเลขอาจไม่ครอบคลุมแต่ขอให้ลองดู checklist เบื้องต้นก่อน
Þ ต้นทุน แปรผัน เช่น กล่อง สติกเกอร์ ค่าผลิต ค่าตกแต่ง
Þ ต้นทุน คงที่ เช่น เงินเดือน ค่าเช่า ฯลฯ (ลองแปรมาว่าต่อชิ้นที่ขาย อาจจะยากหน่อยเพราะไม่รู้ว่าขายได้กี่ชิ้น)
Þ ต้นทุนอื่นๆ ภาษี ดอกเบี้ย ฯลฯ
ลองหยอดตัวเลขดูนะครับ สมมติให้ 30 บาท รวมต้นทุนเป็น 50+30 = 80 บาท
กำไรเท่าไหร่ดี??? 20 บาทแล้วกัน สรุปขาย 100 บาท เคร แต่เดี๋ยว...
ลอง search ใน app ดูอ้าวเวรกรรมคนอื่นขาย 75 บาท ของเหมือนกันเป๊ะ!!!
หันซ้ายหัวขวาทำไงดี?
…
..
.
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
..
.
ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหาต้นทุนคุณได้ นั่งทับมืออยู่เฉยๆดีกว่า ไม่เหนื่อยและไม่ขาดทุน 55
ส่วนวิธีแก้นั้นว่ากันยาว.......................เพราะต้องไปดูเรื่องปัจจัยพื้นฐาน(fundamental)หลายอย่าง ไว้มีเวลาจะเล่าให้ฟังเพิ่ม บางเรื่องก็สุดที่จะแก้ บางเรื่องพอแก้ได้บ้างว่ากันเป็นเคสๆไป
ขอทิ้งท้ายไว้ให้คิดสำหรับข้อนี้ว่า There are millions ways to lose money, there are a few ways to earn แปลเป็นไทยว่าค่าใช้จ่ายออกได้เป็นล้านทาง แต่รายรับเนี่ยมาได้จริงๆไม่กี่ทาง
ปล.เขียนมาเพราะอยากเขียนไว้ถ้ามีโอกาสจะมาแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมให้นะครับ ทั้งหมดมาจากประสบการณ์จริง อาจมีข้อผิดพลาดบ้าง ตรงตำราหรือไม่ หรือไม่ตรงใจใครก็ขออภัยล่วงหน้าแต่ยืนยันว่าใช้ได้จริงครับ
ส่วนใครมีประสบการณ์ดีๆมาพูดคุยแนะนำกันได้ครับ
แปะหัวข้อไว้ก่อนเผื่อมาแลกเปลี่ยนกันครั้งหน้า
Þ ทนรับแรงกระแทก
Þ ทำไงไม่ให้โดนโกง
Þ คนโชคดี
Þ ...