ใครที่มีพ่อแม่แบบรังแกฉันบ้างคะ เข้ามาคุยกันหน่อยค่ะ

เราอายุ 20 ปลายๆ แล้วค่ะ ผ่านโลกมาเยอะแล้วเหมือนกัน แต่ประสบการณ์และความรู้เท่ากับเด็กอนุบาล 
พ่อแม่ไม่เคยสอนอะไรสักอย่าง ไม่ได้โกหกนะคะ พ่อแม่โยนเงินมาให้แล้วให้หาอาหารกินเองตั้งแต่เราเป็นเด็กๆ ตอนนี้ก็โตแล้วค่ะ แต่เหมือนเรา immuture มากกว่าคนรุ่นเดียวกัน พูดง่ายๆ คือโตแต่ตัว สมองเท่าเด็กอนุบาล

ช่วงปี 2020-2021 พ่อไม่ยอมให้เราทำงานค่ะ ให้เรากักตัวอยู่แต่บ้าน จะประสาท- จะออกไป7-11 ก็บ่นด่า ทุกวันนี้หนีออกไปทำงานทุกวันค่ะ แต่โกหกครอบครัวตลอด พอดีอยู่คนละบ้าน ครอบครัวเราเป็นพวกจบนอก มีการศึกษา แต่ไม่ชอบฉีดวัคซีน ชอบไปหาแพทย์จีน ฉีดยาเข้าเส้น กันโควิด กินหอมแดงต้านโควิด พูดด้วยก็ปวดประสาทค่ะ 

พ่อให้เงินเราทุกเดือน เพื่อไม่ให้เราไปไหน หรือทำงาน ทุกวันนี้อัดอัดใจสุดๆ ค่ะ งานที่ทำก็เงินน้อยถ้าเทียบกับเมื่อก่อน เคยเป็นเซลล์ขายของแบรนด์ค่ะ 
เงินที่ได้จากการทำงานก็ไม่พอใช้ ขายออนไลน์ก็ไม่ค่อยออกค่ะ ทุกวันนี้แทบไม่มีจะกิน แต่ยังดีที่ได้เงินจากพ่อ เอาไว้ออมเพื่อไปหาลู่ทางที่เมืองนอก 

อยากจะหายจากโลกแบบที่พวกเค้าติดต่อเราไม่ได้เลยค่ะ ติดว่าต้องพึ่งเงินพ่อเพื่อเก็บออม ไม่งั้นเราคงแกล้งหายไป

ปล. เคยไปทำงานที่ ญป กับที่ยุโรป (แบบถูกกฎหมาย) แต่ยังไม่วายโดนด่าว่า หนีไปขายตัวค่ะ เบื่อมากๆ ค่ะ ควรต้องทำยังไงดีคะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
20 ปลายๆแล้ว คุยได้ครับ ไม่อนุบาลหรอก (ผมคุยได้ตั้งแต่ 18 ละ) เพราะหากไม่ทำอะไร มันก็เป็นแบบนี้ตลอดไปครับ พ่อแม่อะ เห็นลูกเป็นเด็กเสมอ ไม่ว่าจะโตแค่ไหน เราก็ยัง BABY สำหรับพวกท่านเสมอ เรายังมีความรู้น้อยกว่าพวกท่านเสมอ (ในความคิดท่าน) ท่านห่วงเรา กลัวเราไม่ทันโลก (จริงๆเราอาจทันโลกมากกว่าพวกท่านด้วยซ้ำ)

ในการพูดคุยปรับความเข้าใจ ลองคุยทำนองว่า หนูโตแล้ว หนูดูแลตัวเองได้ค่ะ พ่อแม่ไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร หนูพร้อมและรับได้ค่ะ การพูดในแนวนี้จะเข้าไปแก้ต้นเหตุที่แท้จริงครับ (พ่อแม่แคร์เรา เราจึงบอกไปว่าดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องห่วง) อย่าไปเถียงด้วยอารมณ์ว่า จะทำอย่างนู้นอย่างนี่ โตแล้ว ใครจะทำไม ฉันจะเที่ยว ฉันจะทำงาน ฉันจะออกจากบ้าน ฯลฯ พูดแบบนี้มีแต่จะทะเลาะกันเปล่าๆครับ ให้ย้ำไปว่า ไม่ต้องห่วง ดูแลตัวเองได้ๆๆๆๆๆๆ ย้ำแบบนี้อย่างเดียวเลยครับ น้ำเสียงเรียบๆ แสดงความจริงใจออกมา ตัวเราเองต้องมีทัศติแบบนี้ด้วยนะไม่ใช่สักแต่พูดด้วยปาก ย้ำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวเขาก็ใจอ่อนเอง ทำให้พวกท่านเคารพการตัดสินใจเราให้ได้ครับ

หากไม่สำเร็จ แสดงว่าในชีวิตเราไม่เคยมีผลงานใดๆมาโชว์ท่านเลย  เราไม่เคยแสดงว่าเราโตแล้วอยู่ด้วยตัวเองได้ เราไม่ผ่านการพิสูจน์ เราทำอะไรก็ล้มเหลวไปหมด จนพ่อแม่เป็นห่วง  หากเป็นแบบนี้ เราต้องหยุดอคติก่อน  ชั่งอายุมันเป็นเพียงตัวเลข ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือเราเป็นแบบนั้นจริงๆรึป่าว เราก็ต้องค่อยๆเริ่มทำให้พ่อแม่เชื่อใจ ด้วย การ พิสูจน์ ครับ ทำอะไรให้มันสำเร็จเป็นรูปร่าง ดูแลตัวเองให้ได้ ซื้อของใช้มาใช้เอง (อย่ามัวแต่ขอ) ทำอาหารเอง ทำตัวเป็นผู้ใหญ่ หากรับปากอะไรก็ต้องทำให้ได้ ให้ดีกว่านั้นก็เริ่มทำตัวเป็นผู้ให้ หันไปดูแลพ่อแม่ ใส่ใจพวกท่าน หาของกินให้พวกท่าน หากไม่มีอะไรทำก็ทำความสะอาดบ้าน ถูบ้าน ให้สะอาด ว่างจัดก็ทำบันไดในบ้านทุกๆขั้นให้สะอาดไปเลย คือจะทำยังไงก็ได้ให้ท่านยอมรับและเคารพในการตัดสินใจเรา ให้ท่านเชื่อมั่นว่าเราเอาตัวรอดได้ เมื่อพิสูจน์สำเร็จแล้ว ก็ย้อนไปทำตามที่บอกอะครับ อาจเริ่มจากไป 7-11 ที่ปกติท่านไม่อนุญาตแล้วดูซิว่ายังห้ามไหม มันเป็นอะไรที่ง่ายๆ เราไปซื้อของจำเป็น ซื้อของเข้าบ้าน ไม่ใช่ไปเถรไถรซื้อของตัวเองคือครั้งนี้เราเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องยืนหยัดในเหตุผลและปฎิบัติให้ได้หากเรามีเหตุผลเพียงพอก็ยืนกรานไปได้เลย นี่ก็เป็นแนวทางเฉยๆ ไม่ต้องทำตามเป๊ะๆ เชื่อว่า จขกท คงเข้าใจและน่าจะเป็นประโยชน์ ฝากให้คิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่