{16:116} "และพวกเธออย่ากล่าวตามที่ลิ้นของพวกเธอกล่าวเท็จขึ้นว่า นี่เป็นที่อนุมัติและนี่เป็นที่ต้องห้าม......"

 
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
การอธิบายเริ่มด้วยตัวอาคารกะบะห์ ไม่ใช่สิ่งศักสิทธิ มุสลิมไม่ได้กราบไหว้บูชา "อาคารสี่เหลี่ยมสีดำ" หลังนั้น แต่ไม่ได้กล่าวถึงหินดำโดยตรง แล้ว จู่ๆก็เปลี่ยนจากตัวอาคาร มาที่ "หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)" โดยอ้าง ฮาดีษนี้ขึ้นมา มีความว่า:

"มีรายงานว่า “ท่านอุมัร” ได้มายังก้อนหินดำและก้มลงจูบก้อนหินดำนั้น, แล้วท่านก็กล่าวว่า:  ฉันรู้ว่าเจ้าเป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งไม่อาจจะนำผลประโยชน์ หรือ หรือทำความเสียหายให้กับผู้ใดได้, หากว่าฉันไม่เคยเห็นท่านศาสดาจูบเจ้ามาก่อนแล้ว, ฉันจะไม่จูบเจ้าเลย”
(รายงานโดย อัล-บุคอรี,1520;มุสลิม,1720)" 

     สิ่งที่สำคัญของคำอธิบายเรื่อง"หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)" ในที่นี้คือ อาจารชารีฟ วงศ์เสงี่ยม ไม่ได้กล่าวถึง ความพิเศษ และ อำนาจศักดิ์สิทธิ์ ของ"หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)" ที่มันสามารถให้คุณและให้โทษต่อมุสลิมที่ไม่ให้ความสนใจต่อมัน ตามความเชื่อของ มุสลิมสะลาฟีย์(วะฮาบีย์)  ซึ่งศรัทธาว่ามุสลิมจะปฏิเสธฮาดีษเกี่ยวกับ"หินดำ(ٱلْحَجَرُ ٱلْأَسْوَد)" ไม่ได้อย่างเด็ดขาด ฮาดีษซึ่งเป็นคำกล่าวของท่านศาสดามูฮัมมัดที่แท้จริงตามความศรัทธาของวะฮาบียฺ/สาละฟีย์(ปัจจุบัน)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
 คำอธิบายาจารชารีฟ วงศ์เสงี่ยม

1.เพราะท่านนบีเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด ที่มุสลิมทุกคนพยายามจะลอกเลียนแบบ ให้ได้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ที่เป็นแบบอย่างที่มุสลิมได้รับอนุญาตให้ลอกเลียนแบบ  เพราะมีแบบอย่างบางอย่างที่(ทำได้) เฉพาะท่านนบี (เท่านั้น) มุสลิมห้ามปฏิบัติตาม(และ)ห้ามลอกเลียนแบบ (สิ่งที่ไม่ถูกต้อง)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. แบบอย่างของนบีที่มุสลิมไดรับการอนุญาตให้ลอกเลียนแบบ.มุสลิมพยายามจะลอกเลียนแบบ ให้ได้ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  และหนึ่งในแบบอย่างนั่น(ก็)คือการจูบหินดำ ซึ่งไม่มีคุณไม่มีโทษแต่ท่านนบีจูบเราจึงจูบหินดำตาม ต่างศาสนิกฟังอาจจะถามว่าทำไมจึงจูบด้วยละ ? ทำไมถึงต้องจูบด้วย?
 
.....เพราะฉนั้นหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม บางข้อหรืออาจจะหลายๆข้อสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ และอีกหลายข้อไม่สามารถที่จะอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เพราะหลักคำสอนของอิสลามหลายๆข้อนั้นถูกบัญญัติเอาไว้โดยมีเหตุผลซึ่งไม่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แต่เป็นเหตุผลแห่งความเป็นนายและความเป็นบ่าว หมายความว่าอัลลออ์ได้บัญญัติข้อห้ามข้อใช้ที่มุสลิมปฏิบัตินี่นะ อัลลออ์เป็นพระผู้เป็นเจ้าอัลลออ์เป็นนาย นายย่อมมีสิทธิที่จะบัญญัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้บ่าวปฏิบัติโดยไม่ีเหตุผล นอกจากความพอใจของเจ้านาย.....อัลลออ์มีสิทธิ์เป็นอย่างยิ่งเลยที่จะออกกฏให้ผู้ที่เป็นบ่าวของพระองค์ได้ปฏิบัติตาม, เพราะฉนั้นถ้าอัลลอฮ์บอกท่านนบีว่าเวลาไปประกอบพิธีฮัจจฺเนี่ย หนึ่งในนั้นจะต้องให้จูบหินดำไปหน่อย-ให้จูบหินดำไปหน่อย..ถามว่ามีเหตุผลอะไร?..ก็ข้าสั่งให้เจ้าจูบข้าอยากให้เจ้าจูบนะ เดํยวข้าจะให้ผลบุญ เป็นเหตุให้เข้าสวรรค์...อัลลอฮ์มีสวรรค์ให้ อัลลอฮ์มีผลบุญให้และผลบุญนำไปสู่สวรรค์ ........ 

คำอธิบายของอาจารย์ อามีน ลอนา
คริสต์กับมุสลิม จุดที่เหมือนกันคือพระเจ้าเป็นใหญ่ไม่มีใครต่อรองหรือหือกับพระเจ้าได้ พระเจ้าเป็นใหญ่คำสั่งของพระเจ้าเด็ดขาดและจุดหนึ่งที่สำคัญมากซึ่งผมเชื่อว่าทั้งยิวคริสอิสลามเชื่อตรงกัน  ก็คือการที่พระเจ้าสั่งสิ่งๆหนึ่งมาแล้วเราหาเหตุมาตอบไม่ได้ว่าทำไมต้องเป็นอย่างนั้น เรามีความเชื่อว่าจริงๆแล้วนั้นการที่เราตอบสนองต่อคำสั่งของพระเจ้านั้นแหละคือเหตุผลที่แสดงว่าพระองค์เป็นพระเจ้า การเป็นพระเจ้านี่นะคร้บ จุดๆหนึ่งที่จะต้องมีต่อการเป็นพระเจ้าก็คือการสั่งแล้วมนุษย์ตอบสนองโดยปราศจากการตั้งคำถามเขาเรียกว่าเป็นการยอมจำนน อิสลามจึงมีความหมายอีกอย่างหนึ่งว่าการยอมจำนนต่อพระเจ้าโดยสิ้นเชิง.มันถึงจะมีความหมาย  
อาจารย์ชารีฟบอกว่าการพระองค์อัลลออ์ตะอาลาส่งบัญญัติลงมาในศาสนาว่าเวลามุสลิมไปทำพิธีฮัที่นครเมกกะให้มีการจูบที่หินดำ มุสลิมฟังคำสั่งของพรองค์เหตุผลก็คือการที่เราจูบนี่ มันเป็นการแสดงว่าพระเจ้ามีอำนาจและเราเป็นบ่าวของพระองค์ สิ่งนั้นจะไม่ใช่พระเจ้าถ้าสั่งแล้วเราไม่ตาม 
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่