ต่อจากกระทู้ที่แล้วค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้https://ppantip.com/topic/38401951
เหตุการณ์ล่วงเลยมา 3 ปี ตอนนี้สุขภาพจิตของคนทั้งบ้านกำลังเข้าขั้นวิกฤตเพราะคนๆเดียวค่ะ
บอกก่อนนะคะในปัจจุบันหนึ่งสัปดาห์เราทำงานในห้องแลปซะส่วนใหญ่ค่ะ ที่เหลือช่วงนี้ก็WFHอยู่ที่บ้าน อีกทั้งเพราะการแพร่กระจายของโรคโควิด-19ทำให้คุณพ่อและแม่กลับมาอยู่บ้านแบบเต็มรูปแบบค่ะ ปกติช่วงหลังมาท่านจะไปทำงานต่างจังหวัด เมื่อก่อนเราจะเลี่ยงที่จะเจอพวกท่านด้วยการออกไปอยู่ที่อื่นค่ะ ทั้งตัดปัญหาการทะเลาะและการมองโลกไม่เหมือนกัน หรือปัญหาเล็กๆน้อยๆที่คุณแม่ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ปัจจุบันความสัมพันธ์ของเรากับพี่น้องคนอื่นยังรักกันดีค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่เราจะมีปัญหากับแม่เพียงคนเดียว
1. ช่วงหลังมาคุณแม่ชอบโวยวายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุมีผล วนอยู่แต่กับเรื่องเดิมๆ ทุกวัน คล้ายกับเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
เดิมทีต้องเท้าความก่อนนะคะ แม่เราเป็นคนที่อยู่นิ่งๆไม่เป็นค่ะ ชอบหาอะไรทำ ชอบหยิบนู่นจับนี่ จะเน้นไปทางด้านทำความสะอาดบ้านซะส่วนใหญ่ อย่างวันหยุดเขาก็ชอบที่จะลื้อของที่มันอยู่ดีๆของมันมาเป็นปีๆไม่ได้รกหรือไม่เรียบร้อยใดๆ ท่านก็จะมาลื้อให้มันรกแล้วก็จัดใหม่ หรือทำความสะอาดบ้านแบบจัดเต็มชุดใหญ่ คล้ายๆกับการล้างบ้านที่คนโบราณนิยมทำกันช่วงก่อนขึ้นปีใหม่(ไม่รู้มีจริงไหม แต่แม่เราบอกมาแบบนี้ค่ะ) แต่เปลี่ยนเป็นทำทุกอาทิตย์ซึ่งการทำความสะอาดบ้านทั้งหลังในวันหยุดเป็นอะไรที่กินพลังงานวันหยุดของเรามากๆ
หรือหลังกลับจากที่ทำงานอยู่ดีๆคุณแม่ก็จะทำความสะอาดบ้านใหม่ทั้งทีบ้านก็ปกติไม่ได้สกปรกอะไรเลย ซึ่งเขาจะทำไปบ่นไปบ่นเรื่องเดิมๆทุกวัน หาว่าไม่ช่วยบ้าง ไม่ทำอะไรเลยบ้าง ซึ่งจริงๆแล้วเราทำหมดทุกอย่างแล้วค่ะ ซึ่งต่อให้เราจะทำทุกอย่างอย่างไรแม่ก็จะหาเรื่องมาบ่นเราได้อยู่ดี ถ้าไม่บ่นเรื่องทำความสะอาดบ้าน เขาจะบ่นเรื่องงานของเรา หลังๆเริ่มลามไปเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่ว่าจะการแต่งตัว การใช้เงิน หรือแม้แต่เรื่องเพื่อนหรือแฟน และไม่ว่าเราจะทำทุกอย่างไว้เรียบร้อยแค่ไหน เขาก็จะหาเรื่องมาบ่นเราได้อยู่ดี ซึ่งมันน่ารำคาญและ toxic สำหรับเรามากๆ
หรือบางทีเราก็ไม่ทราบว่าเขาโมโหอะไรมา เขาก็จะเข้ามาโวยวายหาเรื่องเราตลอด แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไรเขาก็จะต่อว่าเราอย่างเสียหายและเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ เช่น เวลาเขาพูดเราสบตาเขา เขาก็จะตบหน้าเราแล้วหาว่าท้าทาย แต่พอเราไม่สบตาเขาหรือมองไปทางอื่น เขาก็จะตบหน้าเราแล้วบอกว่าเราไม่ตั้งใจฟังเขา ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เขาโวยวายใส่เราทั้งหมดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเดิมๆบ้าง เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องการมองโลกที่ไม่เหมือนกัน เรื่องที่เราไม่ได้ผิดอะไรและแน่นอนว่าเขาไม่เคยขอโทษเราสักครั้ง เราเลยไม่ค่อยได้คุยกับเขาในช่วง 3 ปีให้หลังที่ผ่านมา
2. ช่วงหลังจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจนทำให้มีการWFHที่ผ่านมาไม่ว่าเราจะทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ คุณแม่จะชอบทำลายหรือจำกัดความเป็นอิสระของเราค่ะ โดยพื้นฐานของเราเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งค่ะ เราอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุ 14 เพราะงั้นเราจะยิ่งรำคาญมาก ถ้ามีคนเข้ามาก้าวก่ายชีวิตความเป็นส่วนตัวของเราหรือสิ่งที่เราวางแผนไว้แล้วไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวค่ะ สิ่งที่เราเจอหลักๆเลย คุณแม่ชอบโทรตามแล้วด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเสียงดังทะลุออกมาจากโทรศัพท์เลยค่ะ บางทีประชุมอยู่คนในวงประชุมก็หน้าเสียเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเขาไม่ยอมให้เรานอนนอกบ้านทั้งที่เมื่อก่อนถ้าเราทำงานหนักๆเราจะนอนข้างนอกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขับรถกลับบ้าน แต่นี่เขาก็บังคับให้เรากลับมาบ้านและถ้ากลับดึกเกินกว่าที่เขากำหนด เราก็จะโดนเขาจิกหัวและด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือบางทีเขาก็จะนั่งรถออกไปคนเดียวดึกๆเพื่อมาตามเราถึงที่ทำงานหรือบุกเข้าไปรบกวนการทำงานของเรา ทั้งที่เราแจ้งไปแล้วว่าเราจะทำอะไรกลับประมาณกี่โมงบ้าง แต่เขาไม่เคยจำได้และไม่เคยใส่ใจที่จะจำเน้นแต่จะเอาตัวเองเป็นใหญ่
ตอนนี้เราจนปัญญาที่จะปรับตัวแล้วค่ะ เราเหนื่อยเกินกว่าจะพูดหรืออธิบายอะไรแล้ว ในหัวมีเพียงอยากออกไปจากที่นี่หรือความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง แน่นอนค่ะว่าปัญหาที่เราพบเจอทั้งสองหัวข้อนี้ทั้งคุณพ่อและน้องก็โดนกันหมดและมันหนักข้อขึ้นทุกวันตลอด 3 ปี มันหนักถึงขั้นที่คุณพ่อบอกว่า เขาจะไม่กลับมาบ้านนี้แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวเราไม่ติดนะคะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะแยกกันอยู่หรือแยกทางกันในวัยเกษียณ เพราะตอนนี้เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว แต่อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวและเป็นลูกที่แย่แต่เราคิดว่าแทนที่จะให้คนที่ไม่มีปัญหาออก ทำไมไม่ให้คนที่มีปัญหากับทุกคนออกไปแทน
พอจะมีวิธีแก้ปัญหาใดๆบ้างไหมคะ เพื่อไม่ให้เรารู้สึกประสาทเสียและรู้สึกแย่กับแม่ของตัวเองไปมากกว่านี้ หรือหากมีคุณหมอแนะนำก็ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ได้เลยนะคะ
ปล.ขอไม่พูดเรื่องเวรกรรมหรือบาปบุญ ความกตัญญู ความรักอะไรประเภทนั้นนะคะ เรารับไม่ได้และรู้สึกไม่เคยได้รับค่ะ เราทนฟังเรื่องพวกนั้นมาหลายปีแล้วพยายามปรับหลายๆอย่างแล้วแต่เรารับไม่ได้จริงๆกับสิ่งที่เผชิญอยู่ตอนนี้ เราทรมานจนอยากจะให้ตัวเองตายๆไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคุณแม่พูด ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร
ปล.2. แค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ เราไม่รู้จะเขียนยังไงให้ทุกคนเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ปัญหาบ่นจุกจิกธรรมดาของคนมากอายุ แต่มันคือปัญหาที่ใหญ่มากๆและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ไม่มีใครอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว
____________________
เรามาอัพเดทเหตุการณ์ล่าสุดนะคะ
เราแยกเป็นหัวข้อที่เราเจอมาต่อจากที่เราเล่าไว้ข้างต้นนะคะ
1. คุณแม่เริ่มทำลายข้าวของของเรา ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่น ปัดเครื่องสำอางค์เราลงจากโต๊ะหล่นแตก ปัดเครื่องสำอางค์ออกจากมือเรา เอาเครื่องสำอางค์ของเราไปใช้โดยไม่บอกแล้วทำเสียหาย
2. คุณแม่เริ่มลื้อตู้หนังสือและเอกสารของเราทั้งหมดและเริ่มจัดใหม่ทั้งหมดโดยที่เขาจัดตามความพอใจของเขาเองโดยไม่ได้ถามเราจนตอนนี้เอกสารของเราทั้งหมดถูกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งจนวุ่นวาย พอถามเขาก็ตะคอกขึ้นเสียงใส่
3. คุณแม่ไม่อนุญาตให้เราไปเจอแฟน ทั้งที่ในหนึ่งสัปดาห์เราออกไปเจอแฟนแค่ 1 วัน ซึ่งทุกครั้งที่เรากลับมาหลังจากไปหาแฟน เขามักจะด่าเราด้วยถ้อยคำที่ดูถูกความเป็นเพศหญิงหรือดูถูกผู้หญิงด้วยกันเอง เขามักด่าเราอย่างไม่ให้เกียรติจนเราเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้เห็นเราเป็นลูกหรือเป็นคนแล้วด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่าคุณแม่กำลังพังชีวิตเราอีกครั้ง ครั้งแรกสมัยมัธยมเรามีแฟนคนแรกแล้วคุณแม่สั่งให้เลิกพร้อมกับด่าเราอย่างเสียหายทำให้เรารู้สึกผิดกับการมีแฟนจนเราต้องจำใจบอกเลิกแฟนคนแรกไป
4. ล่าสุดเราออกไปซื้อของมากักตุนเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ต้องไปทำธุรกรรมต่างๆที่ธนาคารทั้งหมด 3 แห่งก่อนซึ่งทั้ง 3 ธนาคารคิวค่อนข้างเยอะทำให้การซื้อของของเราเลทไปค่อนข้างมากแล้วพอซื้อของเสร็จ ขณะที่เรากำลังซื้อกับข้าวเข้าบ้าน คุณแม่ก็โทรมาด่าโวยวายเสียงดังออกมาจากโทรศัพท์โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาไปโมโหอะไรมา เริ่มอาละวาดใส่ทุกคนในบ้านอีกครั้ง
5. คุณแม่เริ่มทุบตีเตะแมวที่เราเลี้ยงจนน้องมีอาการกระตุกกลัวตลอดเวลาที่มีคนมาใกล้
6. เราคุยกับคุณแม่ว่าเดี๋ยวหมดปีนี้เราจะออกไปอยู่ข้างนอกแล้วอาจจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับแฟนก็เป็นสิทธิ์ของเรา คุณแม่ตอบกลับเรามาด้วยการดูถูกและยกขนบธรรมเนียมโบราณมากดเราพร้อมเอาเรื่องนี้มาด่าว่าเราทุกเช้ากลางวันเย็นแม้ว่าเราจะยังไม่ได้พูดอะไรก็ตาม
จนถึงตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคุณแม่ไม่ปกติจริงๆ มีอาการวิตกจริตตลอดเวลาและยังคงไม่เคยขอโทษแต่ทำตีเนียนว่าเขาไม่เคยทำอะไรผิดตลอด นอกจากนี้ยังชอบหาเรื่องมาด่าว่าทอคนในครอบครัวด้วยถ้อยคำรุนแรงเป็นประจำทั้งที่ทุกคนยังไม่ได้ทำอะไร และเริ่มมีอาการเรียกร้องความสนใจและบ่นอยากตายตลอดเวลาจนเราเริ่มเหนื่อยจะห้ามแล้วค่ะ
ตอนนี้ขอขอบคุณทุกคนสำหรับคำแนะนำให้เราออกมาข้างนอกนะคะ แต่ตอนนี้สถานการณ์โควิดยังไม่ดีขึ้นทำให้เรายังไม่สามารถออกไปอยู่ข้างนอกได้ เพราะต้องดูแลคนที่บ้าน ขอบคุณทุกคำแนะนำที่ให้พาไปข้างนอกค่ะ เราตัดสินใจว่าถ้าสถานการณ์โควิดดีขึ้นเราจะออกไปอยู่ข้างนอกแล้วค่ะ แม้ว่าคุณแม่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
แต่ตอนนี้เรายังคิดวิธีพาแม่ไปหาจิตแพทย์ไม่ได้เลยค่ะและอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เรากลัวว่าจะเป็นเราที่ทนไม่ได้ไปเสียก่อน
ปล. คุณแม่ไม่ยอมไปพบจิตแพทย์ค่ะ เขาหาว่าเราคิดว่าเขาบ้าแล้วก็อาละวาดขึ้นมา โดยที่ไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆเลยค่ะ เราลองทำตามที่ทุกความคิดเห็นแล้วนะคะ ทั้งโน้มน้าวด้วยตัวเองและขอให้คนอื่นช่วย แต่พอขอให้เพื่อนๆเขาช่วย เพื่อนๆเขากลับใส่ไฟเรามากกว่าเดิม ทำให้เรากับคุณแม่ทะเลาะกันมากกว่าเดิมอีกค่ะ
ควรทำยังไงกับคุณแม่ดีคะ[2] ???
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เหตุการณ์ล่วงเลยมา 3 ปี ตอนนี้สุขภาพจิตของคนทั้งบ้านกำลังเข้าขั้นวิกฤตเพราะคนๆเดียวค่ะ
บอกก่อนนะคะในปัจจุบันหนึ่งสัปดาห์เราทำงานในห้องแลปซะส่วนใหญ่ค่ะ ที่เหลือช่วงนี้ก็WFHอยู่ที่บ้าน อีกทั้งเพราะการแพร่กระจายของโรคโควิด-19ทำให้คุณพ่อและแม่กลับมาอยู่บ้านแบบเต็มรูปแบบค่ะ ปกติช่วงหลังมาท่านจะไปทำงานต่างจังหวัด เมื่อก่อนเราจะเลี่ยงที่จะเจอพวกท่านด้วยการออกไปอยู่ที่อื่นค่ะ ทั้งตัดปัญหาการทะเลาะและการมองโลกไม่เหมือนกัน หรือปัญหาเล็กๆน้อยๆที่คุณแม่ชอบทำให้เป็นเรื่องใหญ่
ปัจจุบันความสัมพันธ์ของเรากับพี่น้องคนอื่นยังรักกันดีค่ะ ไม่ได้มีปัญหาอะไรแต่เราจะมีปัญหากับแม่เพียงคนเดียว
1. ช่วงหลังมาคุณแม่ชอบโวยวายขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุมีผล วนอยู่แต่กับเรื่องเดิมๆ ทุกวัน คล้ายกับเป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ
เดิมทีต้องเท้าความก่อนนะคะ แม่เราเป็นคนที่อยู่นิ่งๆไม่เป็นค่ะ ชอบหาอะไรทำ ชอบหยิบนู่นจับนี่ จะเน้นไปทางด้านทำความสะอาดบ้านซะส่วนใหญ่ อย่างวันหยุดเขาก็ชอบที่จะลื้อของที่มันอยู่ดีๆของมันมาเป็นปีๆไม่ได้รกหรือไม่เรียบร้อยใดๆ ท่านก็จะมาลื้อให้มันรกแล้วก็จัดใหม่ หรือทำความสะอาดบ้านแบบจัดเต็มชุดใหญ่ คล้ายๆกับการล้างบ้านที่คนโบราณนิยมทำกันช่วงก่อนขึ้นปีใหม่(ไม่รู้มีจริงไหม แต่แม่เราบอกมาแบบนี้ค่ะ) แต่เปลี่ยนเป็นทำทุกอาทิตย์ซึ่งการทำความสะอาดบ้านทั้งหลังในวันหยุดเป็นอะไรที่กินพลังงานวันหยุดของเรามากๆ
หรือหลังกลับจากที่ทำงานอยู่ดีๆคุณแม่ก็จะทำความสะอาดบ้านใหม่ทั้งทีบ้านก็ปกติไม่ได้สกปรกอะไรเลย ซึ่งเขาจะทำไปบ่นไปบ่นเรื่องเดิมๆทุกวัน หาว่าไม่ช่วยบ้าง ไม่ทำอะไรเลยบ้าง ซึ่งจริงๆแล้วเราทำหมดทุกอย่างแล้วค่ะ ซึ่งต่อให้เราจะทำทุกอย่างอย่างไรแม่ก็จะหาเรื่องมาบ่นเราได้อยู่ดี ถ้าไม่บ่นเรื่องทำความสะอาดบ้าน เขาจะบ่นเรื่องงานของเรา หลังๆเริ่มลามไปเรื่องส่วนตัวของเรา ไม่ว่าจะการแต่งตัว การใช้เงิน หรือแม้แต่เรื่องเพื่อนหรือแฟน และไม่ว่าเราจะทำทุกอย่างไว้เรียบร้อยแค่ไหน เขาก็จะหาเรื่องมาบ่นเราได้อยู่ดี ซึ่งมันน่ารำคาญและ toxic สำหรับเรามากๆ
หรือบางทีเราก็ไม่ทราบว่าเขาโมโหอะไรมา เขาก็จะเข้ามาโวยวายหาเรื่องเราตลอด แล้วไม่ว่าเราจะทำอะไรเขาก็จะต่อว่าเราอย่างเสียหายและเสียงดังอย่างไม่เกรงใจ เช่น เวลาเขาพูดเราสบตาเขา เขาก็จะตบหน้าเราแล้วหาว่าท้าทาย แต่พอเราไม่สบตาเขาหรือมองไปทางอื่น เขาก็จะตบหน้าเราแล้วบอกว่าเราไม่ตั้งใจฟังเขา ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องที่เขาโวยวายใส่เราทั้งหมดส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเดิมๆบ้าง เรื่องไม่เป็นเรื่อง เรื่องการมองโลกที่ไม่เหมือนกัน เรื่องที่เราไม่ได้ผิดอะไรและแน่นอนว่าเขาไม่เคยขอโทษเราสักครั้ง เราเลยไม่ค่อยได้คุยกับเขาในช่วง 3 ปีให้หลังที่ผ่านมา
2. ช่วงหลังจากมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรคจนทำให้มีการWFHที่ผ่านมาไม่ว่าเราจะทำอะไรที่ไหนเมื่อไหร่ คุณแม่จะชอบทำลายหรือจำกัดความเป็นอิสระของเราค่ะ โดยพื้นฐานของเราเป็นคนที่ไม่ชอบให้ใครมายุ่งค่ะ เราอยู่คนเดียวมาตั้งแต่อายุ 14 เพราะงั้นเราจะยิ่งรำคาญมาก ถ้ามีคนเข้ามาก้าวก่ายชีวิตความเป็นส่วนตัวของเราหรือสิ่งที่เราวางแผนไว้แล้วไม่เว้นแม้แต่คนในครอบครัวค่ะ สิ่งที่เราเจอหลักๆเลย คุณแม่ชอบโทรตามแล้วด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายเสียงดังทะลุออกมาจากโทรศัพท์เลยค่ะ บางทีประชุมอยู่คนในวงประชุมก็หน้าเสียเลยด้วยซ้ำ อีกทั้งเขาไม่ยอมให้เรานอนนอกบ้านทั้งที่เมื่อก่อนถ้าเราทำงานหนักๆเราจะนอนข้างนอกเพราะเหนื่อยเกินกว่าจะขับรถกลับบ้าน แต่นี่เขาก็บังคับให้เรากลับมาบ้านและถ้ากลับดึกเกินกว่าที่เขากำหนด เราก็จะโดนเขาจิกหัวและด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรง หรือบางทีเขาก็จะนั่งรถออกไปคนเดียวดึกๆเพื่อมาตามเราถึงที่ทำงานหรือบุกเข้าไปรบกวนการทำงานของเรา ทั้งที่เราแจ้งไปแล้วว่าเราจะทำอะไรกลับประมาณกี่โมงบ้าง แต่เขาไม่เคยจำได้และไม่เคยใส่ใจที่จะจำเน้นแต่จะเอาตัวเองเป็นใหญ่
ตอนนี้เราจนปัญญาที่จะปรับตัวแล้วค่ะ เราเหนื่อยเกินกว่าจะพูดหรืออธิบายอะไรแล้ว ในหัวมีเพียงอยากออกไปจากที่นี่หรือความรู้สึกว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านตัวเอง แน่นอนค่ะว่าปัญหาที่เราพบเจอทั้งสองหัวข้อนี้ทั้งคุณพ่อและน้องก็โดนกันหมดและมันหนักข้อขึ้นทุกวันตลอด 3 ปี มันหนักถึงขั้นที่คุณพ่อบอกว่า เขาจะไม่กลับมาบ้านนี้แล้ว ซึ่งโดยส่วนตัวเราไม่ติดนะคะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่จะแยกกันอยู่หรือแยกทางกันในวัยเกษียณ เพราะตอนนี้เราก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว แต่อาจจะฟังดูเห็นแก่ตัวและเป็นลูกที่แย่แต่เราคิดว่าแทนที่จะให้คนที่ไม่มีปัญหาออก ทำไมไม่ให้คนที่มีปัญหากับทุกคนออกไปแทน
พอจะมีวิธีแก้ปัญหาใดๆบ้างไหมคะ เพื่อไม่ให้เรารู้สึกประสาทเสียและรู้สึกแย่กับแม่ของตัวเองไปมากกว่านี้ หรือหากมีคุณหมอแนะนำก็ทิ้งเบอร์ติดต่อไว้ได้เลยนะคะ
ปล.ขอไม่พูดเรื่องเวรกรรมหรือบาปบุญ ความกตัญญู ความรักอะไรประเภทนั้นนะคะ เรารับไม่ได้และรู้สึกไม่เคยได้รับค่ะ เราทนฟังเรื่องพวกนั้นมาหลายปีแล้วพยายามปรับหลายๆอย่างแล้วแต่เรารับไม่ได้จริงๆกับสิ่งที่เผชิญอยู่ตอนนี้ เราทรมานจนอยากจะให้ตัวเองตายๆไปทุกครั้งที่ได้ยินเสียงคุณแม่พูด ไม่ว่าท่านจะพูดอะไร
ปล.2. แค่นี้ก่อนแล้วกันค่ะ เราไม่รู้จะเขียนยังไงให้ทุกคนเข้าใจว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่ปัญหาบ่นจุกจิกธรรมดาของคนมากอายุ แต่มันคือปัญหาที่ใหญ่มากๆและหนักข้อขึ้นเรื่อยๆจนตอนนี้ไม่มีใครอยากอยู่ที่บ้านหลังนี้แล้ว
____________________
เรามาอัพเดทเหตุการณ์ล่าสุดนะคะ
เราแยกเป็นหัวข้อที่เราเจอมาต่อจากที่เราเล่าไว้ข้างต้นนะคะ
1. คุณแม่เริ่มทำลายข้าวของของเรา ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ยกตัวอย่างเช่น ปัดเครื่องสำอางค์เราลงจากโต๊ะหล่นแตก ปัดเครื่องสำอางค์ออกจากมือเรา เอาเครื่องสำอางค์ของเราไปใช้โดยไม่บอกแล้วทำเสียหาย
2. คุณแม่เริ่มลื้อตู้หนังสือและเอกสารของเราทั้งหมดและเริ่มจัดใหม่ทั้งหมดโดยที่เขาจัดตามความพอใจของเขาเองโดยไม่ได้ถามเราจนตอนนี้เอกสารของเราทั้งหมดถูกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งจนวุ่นวาย พอถามเขาก็ตะคอกขึ้นเสียงใส่
3. คุณแม่ไม่อนุญาตให้เราไปเจอแฟน ทั้งที่ในหนึ่งสัปดาห์เราออกไปเจอแฟนแค่ 1 วัน ซึ่งทุกครั้งที่เรากลับมาหลังจากไปหาแฟน เขามักจะด่าเราด้วยถ้อยคำที่ดูถูกความเป็นเพศหญิงหรือดูถูกผู้หญิงด้วยกันเอง เขามักด่าเราอย่างไม่ให้เกียรติจนเราเริ่มรู้สึกว่าเขาไม่ได้เห็นเราเป็นลูกหรือเป็นคนแล้วด้วยซ้ำ เรารู้สึกว่าคุณแม่กำลังพังชีวิตเราอีกครั้ง ครั้งแรกสมัยมัธยมเรามีแฟนคนแรกแล้วคุณแม่สั่งให้เลิกพร้อมกับด่าเราอย่างเสียหายทำให้เรารู้สึกผิดกับการมีแฟนจนเราต้องจำใจบอกเลิกแฟนคนแรกไป
4. ล่าสุดเราออกไปซื้อของมากักตุนเตรียมพร้อมกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ต้องไปทำธุรกรรมต่างๆที่ธนาคารทั้งหมด 3 แห่งก่อนซึ่งทั้ง 3 ธนาคารคิวค่อนข้างเยอะทำให้การซื้อของของเราเลทไปค่อนข้างมากแล้วพอซื้อของเสร็จ ขณะที่เรากำลังซื้อกับข้าวเข้าบ้าน คุณแม่ก็โทรมาด่าโวยวายเสียงดังออกมาจากโทรศัพท์โดยที่เราไม่รู้ว่าเขาไปโมโหอะไรมา เริ่มอาละวาดใส่ทุกคนในบ้านอีกครั้ง
5. คุณแม่เริ่มทุบตีเตะแมวที่เราเลี้ยงจนน้องมีอาการกระตุกกลัวตลอดเวลาที่มีคนมาใกล้
6. เราคุยกับคุณแม่ว่าเดี๋ยวหมดปีนี้เราจะออกไปอยู่ข้างนอกแล้วอาจจะอยู่คนเดียวหรืออยู่กับแฟนก็เป็นสิทธิ์ของเรา คุณแม่ตอบกลับเรามาด้วยการดูถูกและยกขนบธรรมเนียมโบราณมากดเราพร้อมเอาเรื่องนี้มาด่าว่าเราทุกเช้ากลางวันเย็นแม้ว่าเราจะยังไม่ได้พูดอะไรก็ตาม
จนถึงตอนนี้เราค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคุณแม่ไม่ปกติจริงๆ มีอาการวิตกจริตตลอดเวลาและยังคงไม่เคยขอโทษแต่ทำตีเนียนว่าเขาไม่เคยทำอะไรผิดตลอด นอกจากนี้ยังชอบหาเรื่องมาด่าว่าทอคนในครอบครัวด้วยถ้อยคำรุนแรงเป็นประจำทั้งที่ทุกคนยังไม่ได้ทำอะไร และเริ่มมีอาการเรียกร้องความสนใจและบ่นอยากตายตลอดเวลาจนเราเริ่มเหนื่อยจะห้ามแล้วค่ะ
ตอนนี้ขอขอบคุณทุกคนสำหรับคำแนะนำให้เราออกมาข้างนอกนะคะ แต่ตอนนี้สถานการณ์โควิดยังไม่ดีขึ้นทำให้เรายังไม่สามารถออกไปอยู่ข้างนอกได้ เพราะต้องดูแลคนที่บ้าน ขอบคุณทุกคำแนะนำที่ให้พาไปข้างนอกค่ะ เราตัดสินใจว่าถ้าสถานการณ์โควิดดีขึ้นเราจะออกไปอยู่ข้างนอกแล้วค่ะ แม้ว่าคุณแม่จะไม่เห็นด้วยก็ตาม
แต่ตอนนี้เรายังคิดวิธีพาแม่ไปหาจิตแพทย์ไม่ได้เลยค่ะและอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ เรากลัวว่าจะเป็นเราที่ทนไม่ได้ไปเสียก่อน
ปล. คุณแม่ไม่ยอมไปพบจิตแพทย์ค่ะ เขาหาว่าเราคิดว่าเขาบ้าแล้วก็อาละวาดขึ้นมา โดยที่ไม่ยอมฟังเหตุผลใดๆเลยค่ะ เราลองทำตามที่ทุกความคิดเห็นแล้วนะคะ ทั้งโน้มน้าวด้วยตัวเองและขอให้คนอื่นช่วย แต่พอขอให้เพื่อนๆเขาช่วย เพื่อนๆเขากลับใส่ไฟเรามากกว่าเดิม ทำให้เรากับคุณแม่ทะเลาะกันมากกว่าเดิมอีกค่ะ