JJNY : แพทย์ชนบทชี้แบบนี้ปท.ไม่รอด│ประกาศล็อกดาวน์จำกัดเดินทาง14วัน│หอค้ามองล็อกดาวน์1ด.สูญ3แสนลบ.│รมว.สธ.อินเดียไขก๊อก

แพทย์ชนบท ชี้ วัคซีนมีน้อย ตรวจหาโควิดต้องเข้าคิวข้ามคืน แบบนี้ประเทศไม่รอด 
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6499217
 
 
แพทย์ชนบท ชี้ วัคซีนมีน้อย ตรวจหาโควิดต้องเข้าคิวข้ามคืน แบบนี้ประเทศไปไม่รอด แนะประชาชนต้องเข้าถึงการตรวจหาเชื้อด้วยตนเองได้
 
วันที่ 9 ก.ค.64 https://www.facebook.com/ชมรมแพทย์ชนบท-142436575783508/ ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ข้อความ ระบุว่า 
 
ลับลวงพราง วัคซีนโควิด ตอน 19 : 09-07-64 ความว่า ถึงเวลาแล้ว ที่ประชาชนต้องเข้าถึงการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตนเองได้
 
วัคซีนก็มาน้อย การตรวจเชื้อโควิดก็คิวยาวมาก แล้วทางรอดจะมีไหม ข่าวการที่ประชาชนที่รู้สึกว่าตนเองเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด ต้องไปเข้าแถวนอนบนถนนตากยุงเพื่อจองคิวตั้งแต่ค่ำ เพื่อให้ได้คิวสวอปตรวจโควิดตอนเช้านั้นน่าหดหู่ยิ่ง
 
ปรากฏการณ์เช่นนี้บ่งบอกความทุกข์ของคนไทย ทุกข์จากความกังวลว่าติดโควิดแล้วก็สาหัสแล้ว ยังต้องทุกข์กับการแย่งคิว รอคิว เพื่อจะได้รับการตรวจหาเชื้อโควิดอีก เรามีทางออกที่ดีกว่าไหม นี่ปี 2021 แล้วนะ
 
ในต่างประเทศที่เขาเจอการระบาดระลอกใหญ่มาก่อนเช่นในอังกฤษ เขาก็ใช้วิธีว่า ใครที่สงสัยว่าตนเองจะติดโควิด สามารถแจ้งไปที่หน่วยงานสาธารณสุข เขาก็จะส่งชุดทดสอบโควิดด้วยตนเอง (self rapid Ag test) มาให้ตรวจด้วยตนเอง โดยเอาไม้ที่มีในชุดตรวจแหย่จมูกแล้วใส่เข้าไปชุดตรวจ จะได้ผลออกมาว่าบวกหรือลบ แม้ว่าผลจะมีความคลาดเคลื่อนบ้าง แต่ก็ทำให้คนที่รู้ผลการตรวจจัดการตนเองได้ดีขึ้น คือหากให้ผลบวกก็จะได้กักตนเองจริงจัง สังเกตอาการหากแย่ลงก็จะได้พยายามติดต่อโรงพยาบาล หากผลเป็นลบก็สบายใจขึ้น แต่ก็ยังต้องเว้นระยะห่างจากคนอื่นๆต่อไป
 
การตรวจ rt-PCR ส่วนใหญ่กว่าจะรู้ผลต้องใช้เวลา 24-48 ชั่วโมง ค่าใช้จ่ายก็สูง ราคาท้องตลาดอยู่ที่ 3,000 บาท ต้นทุนการตรวจของห้องแล็บโดยไม่รวมค่าเก็บสวอปตกราว 1,000 บาท เหมาะกับสถานการณ์ต้องการความแม่นยำในการวินิจฉัยเช่น คนไข้หนัก คนไข้ที่จะผ่าตัด คนไข้ที่ต้องรับเข้านอนรักษาในโรงพยาบาล
 
ส่วนการตรวจ self swab rapid test ชุดตรวจโควิดด้วยตนเองนั้น การตรวจผ่านทางรูจมูกยังเป็นทางเลือกที่แม่นยำกว่าการตรวจด้วยน้ำลาย และเหมาะกับการนำมาใช้ในกลุ่มเสี่ยงและอยากรู้ว่าตนเองติดเชื้อโควิดหรือไม่ ราคาต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 300-400 บาท ต่อtest ซึ่งเทคโนโลยีนี้มีขายมากมายหลากหลายยี่ห้อ แต่ในประเทศไทยเนื่องจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่รับรองชุดตรวจลักษณะนี้ จึงยังไม่มีการวางขายหรือใช้ในประเทศไทย
 
ปัจจุบันการระบาดโควิดหนักหน่วงและกว้างขวาง การมีแหล่งตรวจเฉพาะในโรงพยาบาลหรือหน่วยตรวจเคลื่อนที่เท่านั้นย่อมไม่เพียงพอแล้ว เราทุกคนควรสามารถเข้าถึงชุดตรวจโควิดด้วยตนเองได้ เหมือนกันที่เราสามารถซื้อชุดตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตนเองจากร้านขายยามาตรวจเองได้ เมื่อรู้ผลแล้วก็จะได้ปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง การตรวจโควิดด้วยตนเองไม่ใช่เรื่องยาก การผูกขาดการตรวจโควิดไว้กับโรงพยาบาลต่างหากคือการสร้างความทุกข์หนักให้กับประชาชน
 
ที่สำคัญ หากประชาชนสามารถตรวจโควิดได้ด้วยตนเอง ตัวเลขผู้ติดเชื้อต่อวันย่อมเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 2-3 เท่าอย่างแน่นนอน และเมื่อผลเป็นบวกจำนวนมากเช่นนั้น ก็จะไม่มีทางที่โรงพยาบาลหรือโรงพยาบาสนามจะเพียงพอ การกักตัวรักษาที่บ้านหรือ Home Isolation ก็จะเป็นระบบที่ต้องจัดวางตามมาอย่างแน่นอน
 
ถึงเวลาแล้วสำหรับประเทศไทยที่ต้องยอมรับความจริงว่า การระบาดนั้นหนักมากและคุมไม่อยู่แล้ว และต้องให้ประชาชน สามารถตรวจโควิดได้ด้วยตนเองและมีระบบการกักตัวรักษาที่บ้าน ให้มีการพึ่งพาโรงพยาบาลเฉพาะการเจ็บป่วยที่มีอาการปานกลางขึ้นไปเท่านั้น
 
วัคซีนก็มีน้อย การตรวจหาเชื้อโควิดก็ต้องรอเข้าคิวข้ามคืน แบบนี้ประเทศไทยไปไม่รอดนะครับท่านประยุทธ์ ต้องเปิดให้ประชาชนได้ตรวจหาเชื้อโควิดด้วยตนเองได้แล้ว และนี่จะช่วยทำให้ไม่ต้องล็อคดาวน์ใหญ่ก็ได้ เพราะหากคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงได้ตรวจเชื้อโควิดด้วยตนเองได้สะดวก เขาก็จะกักตัวเองที่บ้าน ไม่ไปแพร่เชื้อต่อ การระบาดของโรคก็จะค่อยๆลดลงได้ โดยไม่ต้องล็อกดาวน์ให้เศรษฐกิจพังพินาศ
  
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=4805732526120533&id=142436575783508


 
ด่วน! ศบค. ประกาศล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทาง 14 วัน มีผลทันที
https://www.prachachat.net/general/news-709536

ที่ประชุม ศบค. ประกาศล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทาง จำนวน 14 วัน มีผลทันที 
 
วันที่ 9 กรกฎาคม 2564 การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ครั้งที่ 9/2564 ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้อำนวย ศบค. ผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ได้พิจารณามาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอก 4 หลังจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นสูงมาก ล่าสุดวันนี้ยอดผู้ติดเชื้อโควิดทำสถิติใหม่ 9,276 ราย เสียชีวิตเพิ่มอีก 72 คน ขยับเข้าใกล้หลักหมื่นคนต่อวันตามที่ศบค.คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ จาการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่ค่อนข้างรุนแรง
 
ผลการประชุมเบื้องต้น ที่ประชุมได้ยกระดับมาตรการจำกัดการเดินทาง 14 วัน พร้อมกำหนดเป้าหมายลดผู้ป่วยภายใน 2-4 สัปดาห์ และขอให้ทำงานจากที่บ้าน หรือเวิร์คฟอร์มโฮม (WFH) 100% ยกเว้นงานบริการที่จำเป็น และงานที่เกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภค และขอให้ประชาชน งดการเดินทางโดยไม่จำเป็น ยกเว้น เดินทางไปซื้ออาหาร ไปโรงพยาบาล และฉีดวัคซีนป้องกันโควิด
 
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนในพื้นที่เสียง 6 จังหวัด ไม่ออกนอกเคหะสถานช่วงเวลา 22.00-04.00 น. เว้นแต่มีความจำเป็น แต่จะไม่ประกาศเป็นเคอร์ฟิว ห้างสรรพสินค้าจะอนุญาตให้เปิดได้เฉพาะส่วนซุปเปอร์มาเก็ต แผนกขายยา แผนกอาหาร แผนกสินค้าเบ็ดเตล็ด ส่วนร้านสะดวกซื้อจะมีกำหนดเวลาเปิด–ปิด
 
สำหรับโรงพยายาล สถานพยาบาล คลินิกแพทย์รักษาโรค ร้านขายยา ร้านอาหารในส่วนที่ไม่ใช่สถานบันเทิง หรือสถานบริการ และแผงจำหน่ายอาหาร ร้านสะดวกซื้อขนาดเล็ก ร้านค้าทั่วไป ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกรรมการเงิน ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ตลาดและตลาดนัดส่วนอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงรส อาหารสัตว์ เวชภัณฑ์ และสินค้าเบ็ดเตล็ด แก๊สหุงต้ม เชื้อเพลิง ปั๊มน้ำมัน ปั๊มแก๊ส การให้บริการขนส่งผู้โดยสาร และขนส่งสินค้ำ รวมทั้งบริการส่งสินค้าและอาหารตามสั่ง เปิดได้ตามปกติ
 
นอกจากนี้ยังเน้นมาตรการป้องกันส่วนบุคคล การสวมหน้ากากอนามัย งดการคลุกคลีใกล้ชิดกัน หรือรับประทานอาหารร่วมกัน ทั้งในที่บ้าน และสถานที่ทำงาน และที่ประชุมมีมติให้ขยาย​พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 หรือ พรก.ฉุกเฉิน ต่ออีก 2 เดือน คือ สิงหาคม-กันยายน
 


หอการค้ามองล็อกดาวน์1เดือนสูญ3แสนลบ.
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_140785/

หอการค้า มอง ล็อกดาวน์ประเทศ 1 เดือน เศรษฐกิจเสียหาย 2- 3 แสนล้านบาท ขณะ GDP ปี 64 ขยายตัว 0-1%
 
นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจเปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนอาจนำไปสู่การล็อกดาวน์ของรัฐบาลในระยะเวลา 14 วันซึ่งเชื่อว่าหากมีการล็อกดาวน์ เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจ 200,000 ถึง 300,000 ล้านบาทต่อเดือน และจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในปีนี้ให้ขยายตัวได้ที่ประมาณร้อยละ 0-1 โดยการฉีดวัคซีนยังคงเป็นปัจจัยหลัก ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและเศรษฐกิจไทย
 
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าหากเศรษฐกิจทรุดตัวลงเพิ่มเติมรัฐบาลคงพิจารณาเพดานหนี้สาธารณะและอาจกู้เงินเพิ่มเติมจาก 500,000 ล้านบาท เนื่องจากวงเงินดังกล่าวในขณะนี้ แค่เพียงพอต่อการพยุงเศรษฐกิจจากแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรอบที่ 4 แต่ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่