หลังจากนึกได้ว่า Disney เปิดให้บริการแล้วผมเริ่มไล่กดหนังเข้า Watchlist อย่างมันส์มือแล้วก็เซอร์ไพรส์เมื่อเจอหนังอย่าง Nomadland และ The Shape of Water จะมัวรออะไรกับออสการ์ที่ขะลุกขะลักในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะหนังที่ออสการ์บอกว่าดีที่สุดของปีที่แล้ว จัดเลย
ทำใจแล้วว่าเป็นหนังกึ่งสารคดีที่คงออกมาเนือยและง่วง นาทีที่ 45 ผมก็เริ่มเนือยแต่จะตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ก็ต้องคลี่ดูเนื้อผ้าทั้งหมดไม่ใช่หรือ หนังว่าด้วยเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เรียกว่า nomad สมัยก่อนอาจหมายถึงชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงปศุสัตว์แล้วเปลี่ยนที่ไปหรือย้ายตามสภาพภูมิอากาศ ในศตวรรษที่ 21 ในอเมริกามีคนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางและอาศัยในรถบ้าน พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่ใช่ homeless หรือคนไร้บ้านแต่เป็น houseless คือไม่ได้มีบ้านแบบเดิมๆอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
จุดเริ่มต้น nomad แต่ละคนแตกต่างกันสำหรับ Fern (Frances McDormand) สาววัย 60 กว่าตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตในรถแวนหลังจากสามีตายและเมือง Empire รัฐ Nevada เมืองที่เคยทำเหมืองยิปซัมปิดตัวลงทั้งเมืองทำให้ทุกคนกระจัดกระจายไปตามทางของตัวเอง
ผมดูหนังพร้อมกับรับเรื่องราวสามอย่างสลับกันไป
อย่างแรกคือ how to เหมือนเราเสิร์ช youtube หา how to อะไรสักอย่าง หนังเล่าการเป็น nomad มือใหม่ผ่านการใช้ชีวิตของ Fern ตั้งแต่กิน นอน ถ่าย ย้ายบ้าน(รถ) จัดบ้าน(รถ) ทำงาน เข้าสังคม ตอนแรกก็อืมม์ อา อ๋อ เขาอยู่แบบนี้นี่เองแต่สักพักชีวิตเราคงไม่เลือกเป็น nomad เราก็เริ่มเฉยๆดูข้อมูลเหมือนดูสารคดี
อย่างที่สองคือ สตอรี่ของหนัง เฟิร์นคือหญิงที่สามีตาย เมืองถูกปิด กลายเป็นคนเดินทางด้วยรถบ้าน หางานทำ เข้าสังคมเพื่อนใหม่ๆ เดินทางไปพบน้องสาว และไปบ้านของชายที่มีใจให้เธอ พล็อดของหนังมีเท่านี้จริงๆ มันช่างราบเรียบจืดชืดเมื่อเทียบกับหนังอื่น
อย่างที่สาม ในเมื่อสองอย่างแรกราบเรียบจนเหลือเพียงว่า หนังเรื่องนี้ให้คุณค่าอะไรกับสังคม สิ่งที่สะท้อนต้องมากพอจนกวาดรางวัลมาเกือบทุกสถาบันและรวมถึงออสการ์แบบม้วนเดียวจบ และเมื่อหนังมาถึงท้ายเรื่องสิ่งที่หนังสะท้อนมันช่างลึกและลึกมากจริงๆ
หนังพูดถึง...การละทิ้ง สำหรับคนหนุ่มสาวโลกของพวกเขาคือการเข้าครอบครอง ตั้งแต่เรียนจบ ทำงาน หาเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูก แสวงหาทรัพย์สินจนกว่าจะมีอิสรภาพทางการเงิน สำหรับคนสูงอายุพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการละทิ้ง โลกของหนุ่มสาวมีมือใหม่มากมายและมีคนไม่ประสบความสำเร็จมากมาย โลกคนสูงอายุก็เช่นกันมีมือใหม่มากมายและไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ
แน่นอนว่า nomads คือคนที่ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดแต่นั่นเป็นเพียงขั้นต้น แค่เปลี่ยนวิถีหรือรูปแบบการใช้ชีวิต สิ่งที่พวกเขาทิ้งเป็นแค่วัตถุและความสะดวกสบายแต่กายเนื้อและจิตใจบางคนปล่อยวางไม่ได้
บางคนยอมจับเจ่ากายเนื้อช่วงท้ายของชีวิตในโรงพยาบาลเพื่อรักษาสิ่งที่สุดท้ายก็สูญเปล่า
Bob Wells ผู้นำชุมชนกลุ่ม nomads กลุ่มหนึ่งมาหลายปียังทำใจกับการสูญเสียลูกชายไม่ได้
Dave (David Strathairn) ชายที่มีใจให้เฟิร์นกลายเป็น nomad เพราะเส้นทางชีวิตเดินมาเช่นนั้น วันหนึ่งเมื่อมีทางเลือกกลับไปอยู่กับครอบครัวเขาก็เลือกกลับไปอยู่วิถีชีวิตเดิมๆและหวังว่าจะมีเฟิร์นเคียงข้าง
เช้าวันหนึ่ง...ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของ Dave เฟิร์นมองดูห้องที่อบอุ่น เปียโนที่เป็นกิจกรรมครอบครัว เก้าอี้เด็กที่เป็นความหวัง กับชายคนหนึ่งที่พร้อมเคียงข้างเธอไปตลอดชีวิต วิถีชีวิตแบบเดิมที่เฟิร์นเคยเลือก ตัดมายังภาพที่เธอยืนอยู่หน้าผามองดูคลื่นสาดกระทบฝั่ง บ้านใหม่ที่เป็นธรรมชาติในทุกที่ เฟิร์นค้นพบแล้วว่าวิถีใหม่ที่เธอเลือกเดินคือทางใด และนั่นหมายถึงได้เวลาต้องปล่อยวิถีเดิมให้จากไปอย่างแท้จริง เธอจึงกลับไปเมือง Empire อีกครั้งเพื่อโละสมบัติสุดท้ายที่เก็บในโกดังและจากลาบ้านของเธอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเปิดประตูสู่บ้านหลังใหม่ ธรรมชาติที่รอเธออยู่
ผู้กำกับโคลอี้ เจา (Chole' Zhao) ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ยังเขียนบทภาพยนต์และตัดต่อด้วยบรรจงทำหนังเรื่องนี้อย่างละเมียดและหมดจด หนังถูกดึงจังหวะในลักษณะราบเรียบ เปลี่ยวเหงา ไหลซึมไปในแต่ละซีนให้ค่อยๆสัมผัสถึงการรับรู้และเข้าใจชีวิตของเฟิร์น วงการภาพยนต์มีดาวประดับอีกดวงที่เราคงเฝ้ารอดูผลงานชิ้นต่อไปของเธออย่างจดจ่อ
สำหรับฟรานเซส แมคดอมานเราอาจจะคุ้นเคยที่เห็นตัวจริงบนเวทีเป็นคนมีความมุ่งมั่น เชื่อมั่น เด็ดเดี่ยวจนดูแข็งกร้าวในทีจะรับบทนี้อย่างไร ครึ่งแรกของหนังสิ่งที่สัมผัสได้คือผู้หญิงที่พยายามเข้มแข็งเพื่อยืนหยัดด้วยตัวเองแต่มีลุ้นตลอดว่ามันตั้งบนฐานที่โงนเงนพร้อมจะพังทลายตลอดเวลา เมื่อผ่านมาครึ่งทางเธอเริ่มปรับตัวได้กับการเป็น nomad เราเริ่มสัมผัสความมั่นใจที่มีมากขึ้นจนกลับมาแกร่งอีกครั้งตอนไปพบน้องสาว ตอนท้ายเรื่องเมื่อต้องจากลาอดีตเป็นครั้งสุดท้ายเธอปล่อยความอาดูรออกมาได้รันทดทีเดียว มันทำให้ผมอดนึกถึงเกลนโคลสใน Hillbilly Elegy ไม่ได้ ต้องบอกว่าเรื่องคุณภาพทั้งสองทำได้พอๆกัน แต่เกลนโคลสเข้าเพียงไม่กี่ฉากขณะที่ฟรานเซสแบกหนังทั้งเรื่องเกือบสองชั่วโมง ตรงนี้ผมคิดว่านักแสดงทั้งสองและผู้ชมยอมรับอย่างหมดใจว่ารางวัลนี้สมควรแก่ฟรานเซสอย่างแท้จริง
[CR] Nomadland [หนังที่เลือกดูเรื่องแรกใน Disney +hotstar]
ทำใจแล้วว่าเป็นหนังกึ่งสารคดีที่คงออกมาเนือยและง่วง นาทีที่ 45 ผมก็เริ่มเนือยแต่จะตัดสินว่าอะไรดีหรือไม่ก็ต้องคลี่ดูเนื้อผ้าทั้งหมดไม่ใช่หรือ หนังว่าด้วยเรื่องของคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง เรียกว่า nomad สมัยก่อนอาจหมายถึงชนเผ่าเร่ร่อนเลี้ยงปศุสัตว์แล้วเปลี่ยนที่ไปหรือย้ายตามสภาพภูมิอากาศ ในศตวรรษที่ 21 ในอเมริกามีคนกลุ่มหนึ่งที่เดินทางและอาศัยในรถบ้าน พวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่ใช่ homeless หรือคนไร้บ้านแต่เป็น houseless คือไม่ได้มีบ้านแบบเดิมๆอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ
จุดเริ่มต้น nomad แต่ละคนแตกต่างกันสำหรับ Fern (Frances McDormand) สาววัย 60 กว่าตัดสินใจเลือกใช้ชีวิตในรถแวนหลังจากสามีตายและเมือง Empire รัฐ Nevada เมืองที่เคยทำเหมืองยิปซัมปิดตัวลงทั้งเมืองทำให้ทุกคนกระจัดกระจายไปตามทางของตัวเอง
ผมดูหนังพร้อมกับรับเรื่องราวสามอย่างสลับกันไป
อย่างแรกคือ how to เหมือนเราเสิร์ช youtube หา how to อะไรสักอย่าง หนังเล่าการเป็น nomad มือใหม่ผ่านการใช้ชีวิตของ Fern ตั้งแต่กิน นอน ถ่าย ย้ายบ้าน(รถ) จัดบ้าน(รถ) ทำงาน เข้าสังคม ตอนแรกก็อืมม์ อา อ๋อ เขาอยู่แบบนี้นี่เองแต่สักพักชีวิตเราคงไม่เลือกเป็น nomad เราก็เริ่มเฉยๆดูข้อมูลเหมือนดูสารคดี
อย่างที่สองคือ สตอรี่ของหนัง เฟิร์นคือหญิงที่สามีตาย เมืองถูกปิด กลายเป็นคนเดินทางด้วยรถบ้าน หางานทำ เข้าสังคมเพื่อนใหม่ๆ เดินทางไปพบน้องสาว และไปบ้านของชายที่มีใจให้เธอ พล็อดของหนังมีเท่านี้จริงๆ มันช่างราบเรียบจืดชืดเมื่อเทียบกับหนังอื่น
อย่างที่สาม ในเมื่อสองอย่างแรกราบเรียบจนเหลือเพียงว่า หนังเรื่องนี้ให้คุณค่าอะไรกับสังคม สิ่งที่สะท้อนต้องมากพอจนกวาดรางวัลมาเกือบทุกสถาบันและรวมถึงออสการ์แบบม้วนเดียวจบ และเมื่อหนังมาถึงท้ายเรื่องสิ่งที่หนังสะท้อนมันช่างลึกและลึกมากจริงๆ
หนังพูดถึง...การละทิ้ง สำหรับคนหนุ่มสาวโลกของพวกเขาคือการเข้าครอบครอง ตั้งแต่เรียนจบ ทำงาน หาเงิน ซื้อรถ ซื้อบ้าน แต่งงาน มีลูก แสวงหาทรัพย์สินจนกว่าจะมีอิสรภาพทางการเงิน สำหรับคนสูงอายุพวกเขาต้องเผชิญหน้ากับการละทิ้ง โลกของหนุ่มสาวมีมือใหม่มากมายและมีคนไม่ประสบความสำเร็จมากมาย โลกคนสูงอายุก็เช่นกันมีมือใหม่มากมายและไม่ใช่ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ
แน่นอนว่า nomads คือคนที่ละทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดแต่นั่นเป็นเพียงขั้นต้น แค่เปลี่ยนวิถีหรือรูปแบบการใช้ชีวิต สิ่งที่พวกเขาทิ้งเป็นแค่วัตถุและความสะดวกสบายแต่กายเนื้อและจิตใจบางคนปล่อยวางไม่ได้
บางคนยอมจับเจ่ากายเนื้อช่วงท้ายของชีวิตในโรงพยาบาลเพื่อรักษาสิ่งที่สุดท้ายก็สูญเปล่า
Bob Wells ผู้นำชุมชนกลุ่ม nomads กลุ่มหนึ่งมาหลายปียังทำใจกับการสูญเสียลูกชายไม่ได้
Dave (David Strathairn) ชายที่มีใจให้เฟิร์นกลายเป็น nomad เพราะเส้นทางชีวิตเดินมาเช่นนั้น วันหนึ่งเมื่อมีทางเลือกกลับไปอยู่กับครอบครัวเขาก็เลือกกลับไปอยู่วิถีชีวิตเดิมๆและหวังว่าจะมีเฟิร์นเคียงข้าง
เช้าวันหนึ่ง...ที่ห้องนั่งเล่นในบ้านของ Dave เฟิร์นมองดูห้องที่อบอุ่น เปียโนที่เป็นกิจกรรมครอบครัว เก้าอี้เด็กที่เป็นความหวัง กับชายคนหนึ่งที่พร้อมเคียงข้างเธอไปตลอดชีวิต วิถีชีวิตแบบเดิมที่เฟิร์นเคยเลือก ตัดมายังภาพที่เธอยืนอยู่หน้าผามองดูคลื่นสาดกระทบฝั่ง บ้านใหม่ที่เป็นธรรมชาติในทุกที่ เฟิร์นค้นพบแล้วว่าวิถีใหม่ที่เธอเลือกเดินคือทางใด และนั่นหมายถึงได้เวลาต้องปล่อยวิถีเดิมให้จากไปอย่างแท้จริง เธอจึงกลับไปเมือง Empire อีกครั้งเพื่อโละสมบัติสุดท้ายที่เก็บในโกดังและจากลาบ้านของเธอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อเปิดประตูสู่บ้านหลังใหม่ ธรรมชาติที่รอเธออยู่
ผู้กำกับโคลอี้ เจา (Chole' Zhao) ไม่เพียงทำหน้าที่เป็นผู้กำกับ ยังเขียนบทภาพยนต์และตัดต่อด้วยบรรจงทำหนังเรื่องนี้อย่างละเมียดและหมดจด หนังถูกดึงจังหวะในลักษณะราบเรียบ เปลี่ยวเหงา ไหลซึมไปในแต่ละซีนให้ค่อยๆสัมผัสถึงการรับรู้และเข้าใจชีวิตของเฟิร์น วงการภาพยนต์มีดาวประดับอีกดวงที่เราคงเฝ้ารอดูผลงานชิ้นต่อไปของเธออย่างจดจ่อ
สำหรับฟรานเซส แมคดอมานเราอาจจะคุ้นเคยที่เห็นตัวจริงบนเวทีเป็นคนมีความมุ่งมั่น เชื่อมั่น เด็ดเดี่ยวจนดูแข็งกร้าวในทีจะรับบทนี้อย่างไร ครึ่งแรกของหนังสิ่งที่สัมผัสได้คือผู้หญิงที่พยายามเข้มแข็งเพื่อยืนหยัดด้วยตัวเองแต่มีลุ้นตลอดว่ามันตั้งบนฐานที่โงนเงนพร้อมจะพังทลายตลอดเวลา เมื่อผ่านมาครึ่งทางเธอเริ่มปรับตัวได้กับการเป็น nomad เราเริ่มสัมผัสความมั่นใจที่มีมากขึ้นจนกลับมาแกร่งอีกครั้งตอนไปพบน้องสาว ตอนท้ายเรื่องเมื่อต้องจากลาอดีตเป็นครั้งสุดท้ายเธอปล่อยความอาดูรออกมาได้รันทดทีเดียว มันทำให้ผมอดนึกถึงเกลนโคลสใน Hillbilly Elegy ไม่ได้ ต้องบอกว่าเรื่องคุณภาพทั้งสองทำได้พอๆกัน แต่เกลนโคลสเข้าเพียงไม่กี่ฉากขณะที่ฟรานเซสแบกหนังทั้งเรื่องเกือบสองชั่วโมง ตรงนี้ผมคิดว่านักแสดงทั้งสองและผู้ชมยอมรับอย่างหมดใจว่ารางวัลนี้สมควรแก่ฟรานเซสอย่างแท้จริง
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้