เรื่องราวนี้ เริ่มจากที่เราได้เดินทางไปจีนเมื่อ ธ.ค. 2019 ค่ะ ไปกับเพื่อนอีกคน เป็น 2 สาวตะลุยจีนกัน
ทริปนี้เราใช้เวลา 7 วัน เราวางทริปไว้แบบนี้นะคะ
วันที่
1 ลงเครื่องคุนหมิง (เดินเที่ยวในคุนหมิง แล้วไปนอนบนรถไฟ)
2 นั่งรถไฟนอน ไปลี่เจียง เที่ยวเจด ดรากอน ตอนเย็นเที่ยวตลาดเก่าลี่เจียง
3 นั่งบัสไปแชงกรีลา เที่ยววัดซงซานหลิง เย็นๆเดิน กิน เที่ยว
4 นั่งบัสไปย่าติง 8 ชม. บนบัส !!!
5 เดินเที่ยวอุทยานย่าติง รูทยาว ตอนเย็นเหมารถไปเต้าเฉิง
6 นั่งบัสกลับแชงกรีลา นั่งบัสนอนไปคุนหมิง
7 นั่งเครื่องกลับไทย ปิ๊งงง!!
ดูแล้วถือเป็นทริปที่แน่นๆมากๆค่ะ ไม่มีวันไหนได้นอนพักจริงจังเลยค่ะ และบอกเลยว่าจบทริปแล้วเข่าแทบพัง 5555
แต่ก็ได้เจอหลายสิ่งหลายอย่างมาก ถือเป็นการผจญภัยที่น่าจดจำเลยค่ะ อย่างเรื่องราวเรื่องนี้
พาร์ทนี้ขอเล่าตั้งแต่เริ่มต้นก้าวเท้าออกจากเครื่องเลยนะคะ ชอบตั้งแต่ ตม.ที่จีนละ
ที่จะมีเครื่องอัตโนมัติเรียกที่มีระบบภาษาไทยด้วย ได้ยินภาษาไทยแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ 555
พูดถึงอากาศ คือพอถึงคุนหมิงแล้วอากาศช่างต่างจากที่ไทยลิบลับเลยค่ะ มือเย็น หน้าเย็น
จนต้องรีบขนพร๊อบกันหนาวที่เตรียมมา ดีใจที่ได้ใช้พร๊อบพวกนี้ซักที
ซึ่งในสนามบินที่เราบอกว่าเย็นแล้วนั้นคือของปลอมค่ะ
ของจริงคืออากาศข้างนอกตะหาก อากาศเย็นจนพูดออกมาเป็นควันเลยค่ะ
แล้วทีนี้เราสองคนก็เป่าลม พ่นควันเล่นกันค่ะ เหมือนที่บ้านไม่มีอากาศหนาวให้เล่น 5555
เพื่อนเราก็พ่นควันเล่น ทำท่าเหมือนคีบบุหรี่ ถ่ายรูปลง IG ขำขันกันไปโดยหารู้ไม่ว่ามีคนมองอยู่ 5555
หนุ่มแว่นหน้าใสคนในรูปนี้แหล่ะ แอบขำพวกเราค่ะ 5555
แล้วซักพักเค้าก็เดินมาคุยด้วยค่ะ (งุ้ย เขินได้ไหมมมม 5555)
อ่าๆ ที่จำได้ที่คุยก็..ประมาณว่ามาจากไหน? ที่ไทยไม่มีหน้าหนาวใช่ไหม? 5555555 (คิดแล้วก็ฮา)
เค้าก็เล่าว่าเค้าเคยไปเที่ยวไทยด้วยนะ บลาๆ
แล้วก็ถาม เราจะไปไหนต่อล่ะ อะไรประมาณนี้ค่ะ
เราก็บอกเค้าไปว่าเราจะไปลี่เจียง เราจะไปโดยรถไฟนะ แต่หนุ่มแว่นนั้นมีปลายทางคนละที่กับเราค่ะ
เค้าก็ยังใจดี แนะนำเพื่อนเค้า ว่าเนี่ยเพื่อนเค้าจะไปสถานีรถไฟเหมือนกัน ตามเพื่อนเค้าไปซิ …
เท่านั้นแหล่ะ เราสองสาวก็กลายเป็นลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ดเลยค่ะ 🦆🐤🐤 ตามหนุ่มแว่นคนนี้แหล่ะ
เค้าก็พาเราไปจุดซื้อตั๋วรถบัส พาไปขึ้นรถบัส ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ถ้าให้หาเองก็คงใช้เวลาระยะนึงเหมือนกัน เพราะป้ายส่วนใหญเป็นภาษาจีนค่ะ
พอถึงจุดที่ต้องลงรถบัส (ซึ่งมันก็ไม่ได้ไปจอดหน้าสถานีแบบหัวลำโพงบ้านเรานะ) รถบัสก็จะจอดตรงป้าย…บอกไม่ถูกว่าเค้าเรียกว่าจุดไหนเหมือนกันค่ะ
โชคดีที่ได้แม่เป็ดพาลง เค้าก็บอกเรา ลงตรงนี้นะ แล้วเค้าก็พาเดิน เราก็พยายามมองหาตึกสถานีรถไฟจากรูปที่ศึกษามาด้วยนะคะ
เค้าก็พาเลี้ยวซ้าย ก็เจอตึกสถานีรถไฟพอดีค่ะ เย่ !! หน้าตาตึกจะประมาณนี้ เป็นเอกลักษณ์ เห็นจากไกลๆเลย
ทางเข้าสถานีรถไฟก็จะมีเครื่องสแกนตรวจอาวุธก่อนเข้าไปค่ะ (มีทุกๆที่เลย รวมทั้งรถบัสด้วยค่ะ)
แล้วทีนี้พอเราเข้าไปที่สถานีรถไฟ ลำดับถัดไปคือไปรับตั๋วรถไฟค่ะ เราอ่ะซื้อตั๋วผ่านออนไลน์ไว้แล้วค่ะ รู้แค่ว่าต้องมารับตั๋วกระดาษที่สถานี
พอมาถึงช่องจำหน่ายตั๋ว ก็ยิ่งมึนค่ะ อยากจะร้องไห้ เพราะเป็นภาษาจีนหมดเลยค่ะ แล้วแต่ละแถวคนต่อคิวยาวมากกกกกกก 20-30 คนต่อแถวเลย
เราก็ถามหนุ่มจีนว่าเราต้องไปต่อแถวช่องไหนหรอ เค้าก็เดินฝ่าฝูงชนคนนับร้อยไปถาม จนท.ในช่องให้ แล้วก็มาบอกเรา ว่าต่อแถวนี้แหล่ะ
เราก็ขอบคุณเค้า ขอให้เค้าโชคดี แล้วเราก็แยกกันค่ะ
จบแล้วค่ะ เรื่องของหนุ่มจีนผู้ใจดี มีเมตตา กรุณา 5555
ต่อจากนั้นค่ะ
เราก็ยืนต่อแถวรับตั๋วอยู่นาน โดยแถวแทบจะไม่ขยับเลยค่ะ (ทำไมมันนานนักหว่า?)
ยืนต่อแถวซักพักก็ได้ยินภาษาไทย หันไปก็เจอแก๊งค์คนไทยมาเที่ยวเหมือนกัน ต่อแถวข้างๆกัน
เค้าก็พยายามจะใช้แอพแปลภาษาจีนจากช่องตั๋วเหมือนกัน เหมือนยืนรอนานแล้วด้วยค่ะ
แล้วก็มีผู้กล้าจากแก๊งค์นี้ออกไปถามช่องที่ไม่มีคิว แล้วก็กลับมาพร้อมตั๋วรถไฟค่ะ
แล้วเราก็เป็นผู้ตามที่ดีอีกแล้วค่ะ ตามไปช่องนั้น โชว์หลักฐานการจอง + Passport
ได้ตั๋วมาเรียบร้อย เราขึ้นรถไฟรอบ 3 ทุ่มค่ะ จากนั้นก็เอากระเป๋าไปฝาก (เสียเงินนะ แต่ไม่แพงๆ) แล้วก็ได้เวลาเดินตะลุยคุนหมิงค่ะ !!
ถ่ายรูปกับตัวมาสคอตที่นี่ซะหน่อย เจ้ากระทิง
แล้วก็เปิด Google Map ดูว่ามีที่ไหนให้เดินเที่ยวได้บ้าง เพราะไม่กล้านั่งรถบัส 555
ก็ปักหมุดที่เที่ยวแล้วก็ 2 เท้าย้ำ ไปตามทาง ชมนกชมไม้ แวะซื้อขนมปัง แวะดูสินค้า
พออากาศเย็นๆ นี่บอกเลยว่าเดินสนุกมากๆ มันสบายเดินได้เรื่อยๆเลยค่ะ เดินเที่ยว ลองกินนั่นนี่ สนุกดีค่ะ
เราก็มีเป้าหมายอยากซื้อ Power Bank กับ ยาสมุนไพรหงจิ่งเทียน เพื่อป้องกัน HIGH ALITUDE SICKNESS ค่ะ เผื่อไว้ๆ
แล้วก็แวะหาของกินมื้อเย็น เป็นอะไรไม่รู้เหมือนกันค่ะ นิ้วจิ้มๆเอา
ได้มาเป็นชามใหญ่มากกกก เป็นซุปรสหมาล่าค่ะ อร่อยดี กินไปกินมาลิ้นชา ไม่รู้รสซะงั้น
อันนี้ชามเพื่อนเรา เพื่อนบอกว่าเลี่ยนๆ 5555
สรุปเราสองคนกินไม่หมดจ้าาา 5555 มันเยอะมากจริงๆ และช้อนไม้นี้ก็เหมือนกินไม่ถนัด พอมันเริ่มเย็นก็เลี่ยนกันแล้วค่ะ > <
กินเสร็จฝนก็ตกปรอยๆ ก็เลยตักสินใจเดินกลับไปใกล้ๆสถานีรถไฟดีกว่า
ก็เดินตากฝนบ้าง หลบตามหลังคาทางเดินบ้าง จนมาใกล้ๆสถานีรถไฟ
เราก็ไม่รู้จะไปไหน เลยตัดสินใจจะเข้าไปนั่งสั่งน้ำในโรงแรมแถวนั้นค่ะ
แต่เคาว์เตอร์น้ำปิดไปแล้วค่ะ แต่ก็มีคนนั่งตามโต๊ะอยู่บ้าง ด้วยความเหนื่อย
ก็ตัดสินใจนั่งในนั้นรอรถไฟยาวไปเลยค่ะ นั่งหลับกันไปเลย
พอสองทุ่มก็ ไปที่สถานีรถไฟ
ที่เราจองเป็นตู้นอน 1 ห้อง จะมี 6 ที่นอน เป็นที่นอน
สามชั้น สองฝั่ง (ย้ำที่นอนนะ ไม่ใช่หมู!!)
ครั้งนี้เรากับเพื่อนนอนชั้นกลางคนละฝั่ง ในห้องเดียวกันมีคุณครูสาวชาวจีนด้วย ซึ่งะมีเด็กๆ นักเรียนเดินมาทักทายมาคุย
เจ้าเด็กๆก็เฟรนด์ลี่อ่ะ ก็ทักเราด้วย ชวนคุย มาจากไหน ไปเที่ยวไหน ทำงานอะไร บลาๆ ครึกครื้นกันไปค่ะ
เตียงนอนอะไรก็สบายดีนะคะ สะอาดสะอ้าน ก็พอที่จะนอนได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเราไม่ชอบอย่างแรงเลยคือ กลิ่นบุหรี่ค่ะ เรียกได้ว่าเหมือนเราถูกรมควันด้วยกลิ่นบุหรี่ จากกลุ่มคนที่มายืนสูบที่ช่องระหว่างตู้ ซึ่งกลิ่นมันเข้ามาเต็มๆค่ะ เรานอนแทบไม่ได้เลย เราเลยเอายาดมโป๊ยเซียนยัดจมูกไว้แล้วคลุมโปง ใส่หูฟังเปิดเพลงแล้วหลับไปค่ะ
ก็หลับๆตื่นๆ ช่วงรางที่มันไม่สมูทบ้าง หรือช่วงจอดระหว่างสถานีบ้าง
สรุปถึงลี่เจียงตีห้า ใต้ตาโบ๋วไปเลยค่ะ 5555
แล้วเราก็จองทริปเที่ยวต่อทันทีเลยค่ะ ตอนนั้น ใจพร้อม แต่กายไม่พร้อมเอาซะเลย
น้ำก็ไม่ได้อาบ แล้วจะไปเดินเที่ยว ขึ้นภูเขาหิมะ ทั้งสูง ทั้งหนาว ทั้งหาว ทั้งง่วง!!! เดี๋ยวจะมาเล่าต่อใน ทู้หน้าค่ะ
เพิ่งมาเล่า: โชคดีมีหนุ่มจีนพาไปสถานีรถไฟ [ทริปคุนหมิง ครึ่งวัน]
ทริปนี้เราใช้เวลา 7 วัน เราวางทริปไว้แบบนี้นะคะ
วันที่
1 ลงเครื่องคุนหมิง (เดินเที่ยวในคุนหมิง แล้วไปนอนบนรถไฟ)
2 นั่งรถไฟนอน ไปลี่เจียง เที่ยวเจด ดรากอน ตอนเย็นเที่ยวตลาดเก่าลี่เจียง
3 นั่งบัสไปแชงกรีลา เที่ยววัดซงซานหลิง เย็นๆเดิน กิน เที่ยว
4 นั่งบัสไปย่าติง 8 ชม. บนบัส !!!
5 เดินเที่ยวอุทยานย่าติง รูทยาว ตอนเย็นเหมารถไปเต้าเฉิง
6 นั่งบัสกลับแชงกรีลา นั่งบัสนอนไปคุนหมิง
7 นั่งเครื่องกลับไทย ปิ๊งงง!!
ดูแล้วถือเป็นทริปที่แน่นๆมากๆค่ะ ไม่มีวันไหนได้นอนพักจริงจังเลยค่ะ และบอกเลยว่าจบทริปแล้วเข่าแทบพัง 5555
แต่ก็ได้เจอหลายสิ่งหลายอย่างมาก ถือเป็นการผจญภัยที่น่าจดจำเลยค่ะ อย่างเรื่องราวเรื่องนี้
พาร์ทนี้ขอเล่าตั้งแต่เริ่มต้นก้าวเท้าออกจากเครื่องเลยนะคะ ชอบตั้งแต่ ตม.ที่จีนละ
ที่จะมีเครื่องอัตโนมัติเรียกที่มีระบบภาษาไทยด้วย ได้ยินภาษาไทยแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ 555
พูดถึงอากาศ คือพอถึงคุนหมิงแล้วอากาศช่างต่างจากที่ไทยลิบลับเลยค่ะ มือเย็น หน้าเย็น
จนต้องรีบขนพร๊อบกันหนาวที่เตรียมมา ดีใจที่ได้ใช้พร๊อบพวกนี้ซักที
ซึ่งในสนามบินที่เราบอกว่าเย็นแล้วนั้นคือของปลอมค่ะ
ของจริงคืออากาศข้างนอกตะหาก อากาศเย็นจนพูดออกมาเป็นควันเลยค่ะ
แล้วทีนี้เราสองคนก็เป่าลม พ่นควันเล่นกันค่ะ เหมือนที่บ้านไม่มีอากาศหนาวให้เล่น 5555
เพื่อนเราก็พ่นควันเล่น ทำท่าเหมือนคีบบุหรี่ ถ่ายรูปลง IG ขำขันกันไปโดยหารู้ไม่ว่ามีคนมองอยู่ 5555
หนุ่มแว่นหน้าใสคนในรูปนี้แหล่ะ แอบขำพวกเราค่ะ 5555
แล้วซักพักเค้าก็เดินมาคุยด้วยค่ะ (งุ้ย เขินได้ไหมมมม 5555)
อ่าๆ ที่จำได้ที่คุยก็..ประมาณว่ามาจากไหน? ที่ไทยไม่มีหน้าหนาวใช่ไหม? 5555555 (คิดแล้วก็ฮา)
เค้าก็เล่าว่าเค้าเคยไปเที่ยวไทยด้วยนะ บลาๆ
แล้วก็ถาม เราจะไปไหนต่อล่ะ อะไรประมาณนี้ค่ะ
เราก็บอกเค้าไปว่าเราจะไปลี่เจียง เราจะไปโดยรถไฟนะ แต่หนุ่มแว่นนั้นมีปลายทางคนละที่กับเราค่ะ
เค้าก็ยังใจดี แนะนำเพื่อนเค้า ว่าเนี่ยเพื่อนเค้าจะไปสถานีรถไฟเหมือนกัน ตามเพื่อนเค้าไปซิ …
เท่านั้นแหล่ะ เราสองสาวก็กลายเป็นลูกเป็ดเดินตามแม่เป็ดเลยค่ะ 🦆🐤🐤 ตามหนุ่มแว่นคนนี้แหล่ะ
เค้าก็พาเราไปจุดซื้อตั๋วรถบัส พาไปขึ้นรถบัส ซึ่งบอกตามตรงเลยว่า ถ้าให้หาเองก็คงใช้เวลาระยะนึงเหมือนกัน เพราะป้ายส่วนใหญเป็นภาษาจีนค่ะ
พอถึงจุดที่ต้องลงรถบัส (ซึ่งมันก็ไม่ได้ไปจอดหน้าสถานีแบบหัวลำโพงบ้านเรานะ) รถบัสก็จะจอดตรงป้าย…บอกไม่ถูกว่าเค้าเรียกว่าจุดไหนเหมือนกันค่ะ
โชคดีที่ได้แม่เป็ดพาลง เค้าก็บอกเรา ลงตรงนี้นะ แล้วเค้าก็พาเดิน เราก็พยายามมองหาตึกสถานีรถไฟจากรูปที่ศึกษามาด้วยนะคะ
เค้าก็พาเลี้ยวซ้าย ก็เจอตึกสถานีรถไฟพอดีค่ะ เย่ !! หน้าตาตึกจะประมาณนี้ เป็นเอกลักษณ์ เห็นจากไกลๆเลย
ทางเข้าสถานีรถไฟก็จะมีเครื่องสแกนตรวจอาวุธก่อนเข้าไปค่ะ (มีทุกๆที่เลย รวมทั้งรถบัสด้วยค่ะ)
แล้วทีนี้พอเราเข้าไปที่สถานีรถไฟ ลำดับถัดไปคือไปรับตั๋วรถไฟค่ะ เราอ่ะซื้อตั๋วผ่านออนไลน์ไว้แล้วค่ะ รู้แค่ว่าต้องมารับตั๋วกระดาษที่สถานี
พอมาถึงช่องจำหน่ายตั๋ว ก็ยิ่งมึนค่ะ อยากจะร้องไห้ เพราะเป็นภาษาจีนหมดเลยค่ะ แล้วแต่ละแถวคนต่อคิวยาวมากกกกกกก 20-30 คนต่อแถวเลย
เราก็ถามหนุ่มจีนว่าเราต้องไปต่อแถวช่องไหนหรอ เค้าก็เดินฝ่าฝูงชนคนนับร้อยไปถาม จนท.ในช่องให้ แล้วก็มาบอกเรา ว่าต่อแถวนี้แหล่ะ
เราก็ขอบคุณเค้า ขอให้เค้าโชคดี แล้วเราก็แยกกันค่ะ
จบแล้วค่ะ เรื่องของหนุ่มจีนผู้ใจดี มีเมตตา กรุณา 5555
ต่อจากนั้นค่ะ
เราก็ยืนต่อแถวรับตั๋วอยู่นาน โดยแถวแทบจะไม่ขยับเลยค่ะ (ทำไมมันนานนักหว่า?)
ยืนต่อแถวซักพักก็ได้ยินภาษาไทย หันไปก็เจอแก๊งค์คนไทยมาเที่ยวเหมือนกัน ต่อแถวข้างๆกัน
เค้าก็พยายามจะใช้แอพแปลภาษาจีนจากช่องตั๋วเหมือนกัน เหมือนยืนรอนานแล้วด้วยค่ะ
แล้วก็มีผู้กล้าจากแก๊งค์นี้ออกไปถามช่องที่ไม่มีคิว แล้วก็กลับมาพร้อมตั๋วรถไฟค่ะ
แล้วเราก็เป็นผู้ตามที่ดีอีกแล้วค่ะ ตามไปช่องนั้น โชว์หลักฐานการจอง + Passport
ได้ตั๋วมาเรียบร้อย เราขึ้นรถไฟรอบ 3 ทุ่มค่ะ จากนั้นก็เอากระเป๋าไปฝาก (เสียเงินนะ แต่ไม่แพงๆ) แล้วก็ได้เวลาเดินตะลุยคุนหมิงค่ะ !!
ถ่ายรูปกับตัวมาสคอตที่นี่ซะหน่อย เจ้ากระทิง
แล้วก็เปิด Google Map ดูว่ามีที่ไหนให้เดินเที่ยวได้บ้าง เพราะไม่กล้านั่งรถบัส 555
ก็ปักหมุดที่เที่ยวแล้วก็ 2 เท้าย้ำ ไปตามทาง ชมนกชมไม้ แวะซื้อขนมปัง แวะดูสินค้า
พออากาศเย็นๆ นี่บอกเลยว่าเดินสนุกมากๆ มันสบายเดินได้เรื่อยๆเลยค่ะ เดินเที่ยว ลองกินนั่นนี่ สนุกดีค่ะ
เราก็มีเป้าหมายอยากซื้อ Power Bank กับ ยาสมุนไพรหงจิ่งเทียน เพื่อป้องกัน HIGH ALITUDE SICKNESS ค่ะ เผื่อไว้ๆ
แล้วก็แวะหาของกินมื้อเย็น เป็นอะไรไม่รู้เหมือนกันค่ะ นิ้วจิ้มๆเอา
ได้มาเป็นชามใหญ่มากกกก เป็นซุปรสหมาล่าค่ะ อร่อยดี กินไปกินมาลิ้นชา ไม่รู้รสซะงั้น
อันนี้ชามเพื่อนเรา เพื่อนบอกว่าเลี่ยนๆ 5555
สรุปเราสองคนกินไม่หมดจ้าาา 5555 มันเยอะมากจริงๆ และช้อนไม้นี้ก็เหมือนกินไม่ถนัด พอมันเริ่มเย็นก็เลี่ยนกันแล้วค่ะ > <
กินเสร็จฝนก็ตกปรอยๆ ก็เลยตักสินใจเดินกลับไปใกล้ๆสถานีรถไฟดีกว่า
ก็เดินตากฝนบ้าง หลบตามหลังคาทางเดินบ้าง จนมาใกล้ๆสถานีรถไฟ
เราก็ไม่รู้จะไปไหน เลยตัดสินใจจะเข้าไปนั่งสั่งน้ำในโรงแรมแถวนั้นค่ะ
แต่เคาว์เตอร์น้ำปิดไปแล้วค่ะ แต่ก็มีคนนั่งตามโต๊ะอยู่บ้าง ด้วยความเหนื่อย
ก็ตัดสินใจนั่งในนั้นรอรถไฟยาวไปเลยค่ะ นั่งหลับกันไปเลย
พอสองทุ่มก็ ไปที่สถานีรถไฟ
ที่เราจองเป็นตู้นอน 1 ห้อง จะมี 6 ที่นอน เป็นที่นอนสามชั้น สองฝั่ง (ย้ำที่นอนนะ ไม่ใช่หมู!!)
ครั้งนี้เรากับเพื่อนนอนชั้นกลางคนละฝั่ง ในห้องเดียวกันมีคุณครูสาวชาวจีนด้วย ซึ่งะมีเด็กๆ นักเรียนเดินมาทักทายมาคุย
เจ้าเด็กๆก็เฟรนด์ลี่อ่ะ ก็ทักเราด้วย ชวนคุย มาจากไหน ไปเที่ยวไหน ทำงานอะไร บลาๆ ครึกครื้นกันไปค่ะ
เตียงนอนอะไรก็สบายดีนะคะ สะอาดสะอ้าน ก็พอที่จะนอนได้
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำเราไม่ชอบอย่างแรงเลยคือ กลิ่นบุหรี่ค่ะ เรียกได้ว่าเหมือนเราถูกรมควันด้วยกลิ่นบุหรี่ จากกลุ่มคนที่มายืนสูบที่ช่องระหว่างตู้ ซึ่งกลิ่นมันเข้ามาเต็มๆค่ะ เรานอนแทบไม่ได้เลย เราเลยเอายาดมโป๊ยเซียนยัดจมูกไว้แล้วคลุมโปง ใส่หูฟังเปิดเพลงแล้วหลับไปค่ะ
ก็หลับๆตื่นๆ ช่วงรางที่มันไม่สมูทบ้าง หรือช่วงจอดระหว่างสถานีบ้าง
สรุปถึงลี่เจียงตีห้า ใต้ตาโบ๋วไปเลยค่ะ 5555
แล้วเราก็จองทริปเที่ยวต่อทันทีเลยค่ะ ตอนนั้น ใจพร้อม แต่กายไม่พร้อมเอาซะเลย
น้ำก็ไม่ได้อาบ แล้วจะไปเดินเที่ยว ขึ้นภูเขาหิมะ ทั้งสูง ทั้งหนาว ทั้งหาว ทั้งง่วง!!! เดี๋ยวจะมาเล่าต่อใน ทู้หน้าค่ะ