สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 8
เพิ่งเลิกรากัน เพิ่งผ่านมาสองเดือน แผลยังใหม่ ...
บางความคิด ที่โกรธแค้น อยากเอาคืน อยากทำร้าย ที่มันผุดขึ้นในหัว
ขอบอกว่า มันคือ “ความปกติ เวลาที่จิตใจมีโทสะ และ พยาบาท” ค่ะ
เมื่อมีความคิดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว จิตใจจะอึดอัด จะต่อต้านความคิดนั้น
ด้วย “ความอยาก” ให้ความคิดร้ายๆนั้นหายไป เมื่อมันไม่หายไป ก็จะ “โกรธตัวเอง”
ที่ไม่ได้ดังใจตน ที่ไม่เลิกแค้น ที่ไม่อาจให้อภัยได้ “ทันที” ตามที่ใจต้องการ
การโกรธตัวเอง เพราะตัวเองไม่ได้ดังใจ ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้นี่ก็คือการ ให้อาหาร “โทสะ”
ในใจตนเพิ่มแล้ว เจ้าโทสะ และพยาบาท พอมีอาหารเพิ่ม ก็เติบโตขึ้น ครอบครองใจเกือบตลอดเวลา
ความเกลียด ความโกรธของตัวเองก็มีเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นวงจรแบบนี้ไป ไม่จบสิ้น
พอจะเห็นกระบวนการทำงานของกิเลสหรือยังคะ ...
ถ้าเห็นการเกิดขึ้นของมัน ก็จะเห็นเคล็ดลับที่จะทำให้มันดับไป อยู่ตรงนี้แหละค่ะ ง่ายๆเลย
คือ หยุดให้อาหาร ตัวโทสะในใจคุณ อยู่กับมันด้วยความเข้าใจธรรมชาติของมันค่ะ
เวลาคุณรัก กำลังรักหวานๆ ก็มีแต่สิ่งดีๆอยากหยิบยื่นให้กัน
ขณะใด ที่จิตใจมี เมตตา ก็จะไม่มีโทสะขณะนั้น
เมื่อถูกทำร้าย (ทางกาย / ทางใจ) จิตใจของปุถุชนทั่วไป ก็จะมีความโกรธแค้น
หนัก เบา ตามแต่ความเจ็บปวด ที่ตนได้รับ
คุณทำอะไรกับความแค้นนี้ไม่ได้ค่ะ สั่งให้จิตใจเมตตาเดี๋ยวนี้นะ อย่าแค้นนะ ทำไม่ได้หรอก
(นอกจากคนที่ฝึกจิตมาอย่างดี ระดับใกล้อริยชน)
แต่ ...
สิ่งที่คุณทำได้ทันที และเป็นการแก้ไขที่ตรงจุดที่สุด
_ด่านแรก
คุณสามารถ ควบคุม กาย / วาจา ให้อยู่ในเขตศีลเขตธรรมได้
สมาทาน ตั้งใจไว้กับตัวเอง โกรธมากแค่ไหน จะไม่ละเมิดศีล จะไม่ทำร้าย ไม่พูดร้าย
(จะไม่ปรุงแต่งความคิดร้ายๆต่อไปแบบคนขาดสติ)
_ด่านที่สอง
อารมณ์ปรุงแต่งที่ผุดมา ให้อาหารโทสะคุณ
(เช่น ... การนึกไปถึงว่า ที่ผ่านมา โกหกกันมาตลอดใช่ไหม / มาหลอกกันทำไม ...
ถ้าเริ่มปรุงแต่งจากตรงนี้ คิดฟุ้งซ่าน วนไปเรื่อย โทสะจะเริ่มคุมไม่ได้ และจะสร้างความทุกข์ทรมาน ร้อนรน ดุจไปเผาให้คุณไม่จบ)
แรกๆที่มันผุดมา คุณจะเผลอไปปรุงแต่งเรื่องเก่าๆ และปรุงต่อเป็นเรื่องใหม่ (ที่จะมีความรุนแรงแฝงอยู่)
ต่อมา พอมันผุดขึ้นมาบ่อยๆ คุณจะต้องตามให้ทันความคิด ที่จะไม่คิดตามกิเลสตัวนี้ค่ะ
หยุดให้อาหารโทสะ โทสะก็ไม่เติบโต
ด่านนี้ ยากสำหรับผู้ไม่เคยฝึกมาเลย อย่าเพิ่งท้อไปซะก่อน ลองคิดเปรียบเทียบ เหมือนบ้านกำลังไฟไหม้
การพากเพียร ป้องกัน ไม่เติมเชื้อไฟเพิ่ม และพากเพียรดับไฟที่กำลังลุกไหม้ เป็นสิ่งที่ควรทำ อย่างไม่ย่อท้อ
_ด่านสุดท้าย
ให้เติม ความรัก ให้หัวใจคุณค่ะ รักแบบราคะทำร้ายคุณ ก็ใช้รักแบบที่บริสุทธิ์กว่าเยียวยาคุณ
เหมือน แก้พิษงู ด้วยเซรุ่มที่ทำมาจากพิษงูนั่นแหละ
มีความรักดีๆ รอการเอาใจใส่จากคุณ และรักเหล่านั้นจะตอบแทนคุณโดยการเติมเต็มหัวใจที่ถูกแผดเผาเพราะพิษรัก
ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งค่ะ
สิ่งใด ที่มัวแต่จดๆจ้องๆ ไม่เคยลงมือทำ หรือไม่มีโอกาสทำ ก็ลงมือทำซะ ทำให้สุดตัวไปเลย เช่น
_มีมิชชั่นพิเศษให้ตัวเอง ทำเซอร์ไพร้ส์ พ่อแม่ หรือคนในครอบครัว ทำให้วันนั้น เป็นวันที่ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิต
_เยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง ที่ห่างหายกันไปนาน (ยุคโควิด เยี่ยมทางออนไลน์ไปก่อน)
_เผื่อแผ่ความช่วยเหลือไปถึงญาติๆ ตามกำลังที่คุณมี (อาจจะเป็นทางด้าน ช่วยด้วยแรงกาย หรือช่วยให้กำลังใจ)
_ฮาร์ดคอร์ขึ้นไปอีก คือ ให้ความรักความปรารถนาดี และข้าวของจำเป็นต่อคนที่คุณไม่รู้จัก
(เด็กกำพร้าขาดแคลน / คนชราไร้ลูกหลาน ไร้เรี่ยวแรง / คนหมดทางไป ไร้ทางออก ฯ)
ที่สำคัญที่สุด (ตรงนี้ไม่ต้องรีบบังคับจิตตัวเองนะคะ ผ่านมาครบทุกด่าน คุณจะค่อยๆรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาเอง)
ให้มองว่ารักครั้งนี้ คือบทเรียน เธอคนนี้ คือครู (ผู้อาจจะดุไปหน่อย คุณถึงบอบช้ำขนาดนี้)
สรุปบทเรียนให้ตนได้ว่า
ความรัก ตอนดีๆ ก็มีความสุขเพราะมัน จู่ๆถูกริบคืนโดยไม่เต็มใจ ก็ทุกข์แทบตายเพราะมัน
ความรักมันเป็นอย่างนี้แหละ ...
ไม่มีใคร เป็นเจ้าของมันได้อย่างแท้จริงหรอก (นอกจากรักเพื่อผู้อื่นที่ไม่มีการเห็นแก่ตนอย่างแท้จริงเท่านั้น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บางความคิด ที่โกรธแค้น อยากเอาคืน อยากทำร้าย ที่มันผุดขึ้นในหัว
ขอบอกว่า มันคือ “ความปกติ เวลาที่จิตใจมีโทสะ และ พยาบาท” ค่ะ
เมื่อมีความคิดร้ายๆ ผุดขึ้นมาในหัว จิตใจจะอึดอัด จะต่อต้านความคิดนั้น
ด้วย “ความอยาก” ให้ความคิดร้ายๆนั้นหายไป เมื่อมันไม่หายไป ก็จะ “โกรธตัวเอง”
ที่ไม่ได้ดังใจตน ที่ไม่เลิกแค้น ที่ไม่อาจให้อภัยได้ “ทันที” ตามที่ใจต้องการ
การโกรธตัวเอง เพราะตัวเองไม่ได้ดังใจ ห้ามความคิดตัวเองไม่ได้นี่ก็คือการ ให้อาหาร “โทสะ”
ในใจตนเพิ่มแล้ว เจ้าโทสะ และพยาบาท พอมีอาหารเพิ่ม ก็เติบโตขึ้น ครอบครองใจเกือบตลอดเวลา
ความเกลียด ความโกรธของตัวเองก็มีเพิ่มขึ้นไปอีก เป็นวงจรแบบนี้ไป ไม่จบสิ้น
พอจะเห็นกระบวนการทำงานของกิเลสหรือยังคะ ...
ถ้าเห็นการเกิดขึ้นของมัน ก็จะเห็นเคล็ดลับที่จะทำให้มันดับไป อยู่ตรงนี้แหละค่ะ ง่ายๆเลย
คือ หยุดให้อาหาร ตัวโทสะในใจคุณ อยู่กับมันด้วยความเข้าใจธรรมชาติของมันค่ะ
เวลาคุณรัก กำลังรักหวานๆ ก็มีแต่สิ่งดีๆอยากหยิบยื่นให้กัน
ขณะใด ที่จิตใจมี เมตตา ก็จะไม่มีโทสะขณะนั้น
เมื่อถูกทำร้าย (ทางกาย / ทางใจ) จิตใจของปุถุชนทั่วไป ก็จะมีความโกรธแค้น
หนัก เบา ตามแต่ความเจ็บปวด ที่ตนได้รับ
คุณทำอะไรกับความแค้นนี้ไม่ได้ค่ะ สั่งให้จิตใจเมตตาเดี๋ยวนี้นะ อย่าแค้นนะ ทำไม่ได้หรอก
(นอกจากคนที่ฝึกจิตมาอย่างดี ระดับใกล้อริยชน)
แต่ ...
สิ่งที่คุณทำได้ทันที และเป็นการแก้ไขที่ตรงจุดที่สุด
_ด่านแรก
คุณสามารถ ควบคุม กาย / วาจา ให้อยู่ในเขตศีลเขตธรรมได้
สมาทาน ตั้งใจไว้กับตัวเอง โกรธมากแค่ไหน จะไม่ละเมิดศีล จะไม่ทำร้าย ไม่พูดร้าย
(จะไม่ปรุงแต่งความคิดร้ายๆต่อไปแบบคนขาดสติ)
_ด่านที่สอง
อารมณ์ปรุงแต่งที่ผุดมา ให้อาหารโทสะคุณ
(เช่น ... การนึกไปถึงว่า ที่ผ่านมา โกหกกันมาตลอดใช่ไหม / มาหลอกกันทำไม ...
ถ้าเริ่มปรุงแต่งจากตรงนี้ คิดฟุ้งซ่าน วนไปเรื่อย โทสะจะเริ่มคุมไม่ได้ และจะสร้างความทุกข์ทรมาน ร้อนรน ดุจไปเผาให้คุณไม่จบ)
แรกๆที่มันผุดมา คุณจะเผลอไปปรุงแต่งเรื่องเก่าๆ และปรุงต่อเป็นเรื่องใหม่ (ที่จะมีความรุนแรงแฝงอยู่)
ต่อมา พอมันผุดขึ้นมาบ่อยๆ คุณจะต้องตามให้ทันความคิด ที่จะไม่คิดตามกิเลสตัวนี้ค่ะ
หยุดให้อาหารโทสะ โทสะก็ไม่เติบโต
ด่านนี้ ยากสำหรับผู้ไม่เคยฝึกมาเลย อย่าเพิ่งท้อไปซะก่อน ลองคิดเปรียบเทียบ เหมือนบ้านกำลังไฟไหม้
การพากเพียร ป้องกัน ไม่เติมเชื้อไฟเพิ่ม และพากเพียรดับไฟที่กำลังลุกไหม้ เป็นสิ่งที่ควรทำ อย่างไม่ย่อท้อ
_ด่านสุดท้าย
ให้เติม ความรัก ให้หัวใจคุณค่ะ รักแบบราคะทำร้ายคุณ ก็ใช้รักแบบที่บริสุทธิ์กว่าเยียวยาคุณ
เหมือน แก้พิษงู ด้วยเซรุ่มที่ทำมาจากพิษงูนั่นแหละ
มีความรักดีๆ รอการเอาใจใส่จากคุณ และรักเหล่านั้นจะตอบแทนคุณโดยการเติมเต็มหัวใจที่ถูกแผดเผาเพราะพิษรัก
ให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งค่ะ
สิ่งใด ที่มัวแต่จดๆจ้องๆ ไม่เคยลงมือทำ หรือไม่มีโอกาสทำ ก็ลงมือทำซะ ทำให้สุดตัวไปเลย เช่น
_มีมิชชั่นพิเศษให้ตัวเอง ทำเซอร์ไพร้ส์ พ่อแม่ หรือคนในครอบครัว ทำให้วันนั้น เป็นวันที่ท่านมีความสุขที่สุดในชีวิต
_เยี่ยมเยียนเพื่อนฝูง ที่ห่างหายกันไปนาน (ยุคโควิด เยี่ยมทางออนไลน์ไปก่อน)
_เผื่อแผ่ความช่วยเหลือไปถึงญาติๆ ตามกำลังที่คุณมี (อาจจะเป็นทางด้าน ช่วยด้วยแรงกาย หรือช่วยให้กำลังใจ)
_ฮาร์ดคอร์ขึ้นไปอีก คือ ให้ความรักความปรารถนาดี และข้าวของจำเป็นต่อคนที่คุณไม่รู้จัก
(เด็กกำพร้าขาดแคลน / คนชราไร้ลูกหลาน ไร้เรี่ยวแรง / คนหมดทางไป ไร้ทางออก ฯ)
ที่สำคัญที่สุด (ตรงนี้ไม่ต้องรีบบังคับจิตตัวเองนะคะ ผ่านมาครบทุกด่าน คุณจะค่อยๆรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาเอง)
ให้มองว่ารักครั้งนี้ คือบทเรียน เธอคนนี้ คือครู (ผู้อาจจะดุไปหน่อย คุณถึงบอบช้ำขนาดนี้)
สรุปบทเรียนให้ตนได้ว่า
ความรัก ตอนดีๆ ก็มีความสุขเพราะมัน จู่ๆถูกริบคืนโดยไม่เต็มใจ ก็ทุกข์แทบตายเพราะมัน
ความรักมันเป็นอย่างนี้แหละ ...
ไม่มีใคร เป็นเจ้าของมันได้อย่างแท้จริงหรอก (นอกจากรักเพื่อผู้อื่นที่ไม่มีการเห็นแก่ตนอย่างแท้จริงเท่านั้น)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ความคิดเห็นที่ 11
ไม่เคยรัก แต่เคยแค้น
อารมณ์ชั่ววูบทำให้อยากจะทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
มีปืนก็คงยิง มีมีดก็คงเสียบ(แม่มมมมให้มิด)
แต่สิ่งที่เหนี่ยวรั้งไว้คือ ....คิดถึงอนาคตของตัวเอง
สะใจแค่ไม่กี่วินาทีหรอก แต่ผลหลังจากนั้นต้องทุกข์อีกกี่ปีก็ไม่รู้
การที่เราวางมือ ไม่ตอแย ไม่ได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนของเราลดลง หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร
เราแค่อดทนต่อความตกต่ำ ยืนอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจุดนี้ก็จะผ่านเราไป
เรื่องทุกเรื่องมันมีจุดย่ำแย่ที่สุดของมันอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราอย่าไปหาเรื่องขุดหลุมอื่นเพิ่มให้มันตกต่ำไปกว่าเดิม
ไม่รักกันก็แค่แยกทาง ไม่จำเป็นต้องทำร้ายทำลายอีกฝ่าย จุดต่ำสุดมันจะไม่ได้อยู่ที่แค่เลิกกันละ
มันจะกลายเป็นโรงพัก เป็นศาล หรือคุก.... ซึ่งไม่คุ้มกับชีวิตของเราเอาซะเลยนะ ว่ามั้ย?
อารมณ์ชั่ววูบทำให้อยากจะทำลายทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า
มีปืนก็คงยิง มีมีดก็คงเสียบ(แม่มมมมให้มิด)
แต่สิ่งที่เหนี่ยวรั้งไว้คือ ....คิดถึงอนาคตของตัวเอง
สะใจแค่ไม่กี่วินาทีหรอก แต่ผลหลังจากนั้นต้องทุกข์อีกกี่ปีก็ไม่รู้
การที่เราวางมือ ไม่ตอแย ไม่ได้ทำให้คุณค่าความเป็นคนของเราลดลง หรือไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายอะไร
เราแค่อดทนต่อความตกต่ำ ยืนอยู่นิ่งๆ เดี๋ยวจุดนี้ก็จะผ่านเราไป
เรื่องทุกเรื่องมันมีจุดย่ำแย่ที่สุดของมันอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราอย่าไปหาเรื่องขุดหลุมอื่นเพิ่มให้มันตกต่ำไปกว่าเดิม
ไม่รักกันก็แค่แยกทาง ไม่จำเป็นต้องทำร้ายทำลายอีกฝ่าย จุดต่ำสุดมันจะไม่ได้อยู่ที่แค่เลิกกันละ
มันจะกลายเป็นโรงพัก เป็นศาล หรือคุก.... ซึ่งไม่คุ้มกับชีวิตของเราเอาซะเลยนะ ว่ามั้ย?
ความคิดเห็นที่ 72
ถ้าเธอคู่ควรกับความแค้น คุณก็แค้น มันเลือกไม่ได้หรอกค่ะ
อาจจะฟังดูแย่ แต่ฉันไม่สนับสนุนให้คุณกดหรือเมินความรู้สึกของตัวเองหรอก แค้นก็ยอมรับว่าแค้น
ในเมื่อลองคิดถึงส่วนที่ดีดูแล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่าวิธีนี้ไม่อาจลดเลือนความแค้นไปได้
คุณต้องเปลี่ยน input ค่ะ จึงจะคาดหวัง output ที่ต่างไปจากเดิมได้
ฉันจะลองเสนอให้คุณใช้วิธีดั้งเดิม ดังนี้ค่ะ
เรื่องของความแค้นไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยากเท่าไร
คุณเชื่อในกฎแห่งกรรมไหม เชื่อไหมว่าคนเราย่อมต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากรับก็ตาม
ส่วนที่ง่ายก็คือ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่ต้องให้ผลจากการกระทำแก่เธอ เดี๋ยวโลกนี้ก็จัดการให้เอง มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่นา
เมื่อคุณฉีกกระดาษ กระดาษก็ขาด เมื่อคุณกินข้าว คุณก็อิ่ม
แค่มองผิวเผินก็รู้ว่าทำอะไรไปย่อมได้รับผลอย่างแน่นอน จะไม่ได้รับผลก็ต่อเมื่อไม่ได้ทำ
และเธอได้ทำไปแล้ว ทำไมเธอจะไม่ได้รับผลล่ะ?
หากคุณคิดแค้น แก้แค้น คุณก็ต้องรับผลจากการแค้นเช่นกัน
ในเมื่อคุณไม่อยากรับผลของมัน คุณก็แค่ไม่ต้องคิดถึงความแค้น
แค่รู้ไว้ก็พอว่าเธอจะได้รับผลตอบแทนที่สมค่าไปเอง
ตัวฉันที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ก็ลองทำแล้วสังเกตดูค่ะ รู้สึกแปลกใจทีเดียว
เพราะฉันไม่อยากรับผิดชอบต่อการคิดแค้น ฉันก็เลยไม่คิด ปล่อยอีกฝ่ายไปเหมือนเป็นแค่สายลมที่ผ่านมา ปล่อยให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ไป
แล้วในตอนที่ฉันลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้ว ข่าวก็เข้าหูเองว่าอีกฝ่ายได้รับเหมือนที่เคยทำกับฉันเป๊ะ บ้าบอก็ติดต่อมาขอโทษฉันด้วย
ซึ่งในเวลานั้น ฉันก็เฉยสนิทซะจนกล่าวให้อภัยไปง่ายๆ (มีปลอบใจแถม) ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่ยินดีจะสานสัมพันธ์กันใหม่ ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตของตัวเองไปเถอะ มันดูเหมือนการอโหสิกรรมค่ะ ฉันไม่ติดใจอยากได้อะไรแล้ว
แล้วฉันก็ลองมองดูกรณีที่อีกฝ่ายไม่ปรับปรุงตัว มันแปลกดีที่เขาก็ยังจะเจอเรื่องน่าเสียใจซึ่งเป็นผลจากการกระทำแบบเดิมซ้ำๆ (ก็เขาทำซ้ำ ทำไมจะไม่ได้รับผลซ้ำล่ะ) บางทีมันทำให้ฉันนึกสงสารเชียวล่ะค่ะ เพราะไม่รู้ว่าตัวว่าตัวเองทำอะไรไปถึงได้ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ก็เลยต้องเจอแล้วเจออีก วนอยู่ในความทุกข์ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องเสนอหน้าไปบอกด้วย เพราะฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น แม้แต่แค้นก็ไม่คิด
ฉันเห็นมาเยอะค่ะ ทั้งแบบเห็นด้วยตาและฟังมาจากคนอื่น มันเยอะจนเชื่อสนิทใจเลยว่ากฎแห่งกรรมมีจริง มันสมเหตุสมผลที่ทุกคนต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง
กรรมไม่มีตา ไม่สนใจศาสนา ไม่สนใจหน้าตาฐานะทางสังคม ไม่สนใจเงิน ไม่สนใจว่าการกระทำนั้นเป็นความดีหรือความชั่วในสายตาของมนุษย์ด้วยซ้ำ มันเหมือนระบบอัตโนมัติที่จักรวาลรังสรรค์มาให้ ทั้งเที่ยงตรง ทั้งแม่นยำ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป
กรรมอาจเป็นความยุติธรรมที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวาลก็ได้
มันไม่ใช่เรื่องศาสนาหรอกค่ะ แต่เป็นความจริงที่อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ซ้ำได้
เพราะงั้น คุณก็ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ ให้เธอไปรับกรรมในเวลาและสถานที่ซึ่งคุณไม่รู้ไม่เห็น จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบการรู้เห็นของตัวเองไง
ไม่ว่าคุณจะแค้นเธอหรือไม่ เธอก็จะต้องรับผลจากการกระทำด้วยตัวเอง แบบนี้แล้วจะคิดแค้นไปทำไมกันล่ะ ต้องมารับผลของการคิดแค้นเสียอีก
ดังนั้นก็อนุญาตให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ปกติสุขเถอะค่ะ อย่าไปคิดถึง ปล่อยวางไปเสีย มาดูแลความเป็นไปในชีวิตของตัวเองดีกว่า
กรรมของเธอไม่ใช่เรื่องของคุณ เรื่องของคุณคือการกระทำของตัวเองเท่านั้น หากไม่อยากรับผิดชอบความแค้นก็อย่าคิดค่ะ แค่ปล่อยเธอไปเท่านี้ก็พอแล้ว
ในตอนที่คุณลืมเธอไปหมดแล้ว กำลังมีชีวิตดีและมีความสุข เดี๋ยวก็มีอะไรมาเข้าหูเองแหละว่าเธอเป็นยังไง
ซึ่งในวันนั้น คุณไม่เหลือใจจะไปสมน้ำหน้าเธอแล้ว กลับรู้สึกเมตตาสงสารมากกว่า
มันจะมาในรูปแบบนี้แหละค่ะ
สู้ๆ นะคะ ปล่อยวางค่ะ ทำยากหน่อยหากไม่เคยฝึก แต่ฝึกหน่อยก็ทำได้เอง
คุณต้องมีสติรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง พอคิดเรื่องเธอปุ๊บ รู้ตัวปั๊บว่ากำลังแค้น ก็ตระหนักถึงความจริงไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ เธอจะต้องรับผลจากการกระทำด้วยตัวเอง คุณจะแค้นหรือไม่แค้นก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรให้คุณต้องแค้นเลย แล้วหยุดคิดซะ คิดปุ๊บก็เลิกคิด
แรกๆ ต้องทำถี่หน่อยค่ะ แต่หลังๆ จะง่ายขึ้น สุดท้ายคุณก็ลืมไปเพราะไม่ได้คิดถึงตั้งนานแล้ว
โดยปกติ ขั้นตอนนี้สามารถทำให้คุณลืมง่ายขึ้นในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน คุณจะรู้สึกได้จากส่วนลึกของจิตใจเลยว่าความแค้นเจือจาง ส่วนมากไม่พ้นสามเดือนก็ลืมจริงค่ะ นานๆ ครั้งจะหวนคิดถึงสักครั้ง แต่อารมณ์ความแค้นจะไม่ตามมาด้วย คือเหลือแค่ข้อมูลเรื่องราวเท่านั้น
ชีวิตคุณมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้คิดตั้งเยอะ จะไปบ้างานคิดถึงงานแทนก็ได้ คิดเรื่องงานแล้วได้เงินด้วยนี่นา ^^ คิดเรื่องเธอไปก็มีแต่เสียกับเสีย เรื่องอะไรจะทำ
ก็ประมาณนี้แหละค่ะ ขอให้คุณโชคดี
อาจจะฟังดูแย่ แต่ฉันไม่สนับสนุนให้คุณกดหรือเมินความรู้สึกของตัวเองหรอก แค้นก็ยอมรับว่าแค้น
ในเมื่อลองคิดถึงส่วนที่ดีดูแล้วยังไม่ได้ผล แสดงว่าวิธีนี้ไม่อาจลดเลือนความแค้นไปได้
คุณต้องเปลี่ยน input ค่ะ จึงจะคาดหวัง output ที่ต่างไปจากเดิมได้
ฉันจะลองเสนอให้คุณใช้วิธีดั้งเดิม ดังนี้ค่ะ
เรื่องของความแค้นไม่ใช่อะไรที่ยุ่งยากเท่าไร
คุณเชื่อในกฎแห่งกรรมไหม เชื่อไหมว่าคนเราย่อมต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง ไม่ว่าจะอยากหรือไม่อยากรับก็ตาม
ส่วนที่ง่ายก็คือ มันไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่ต้องให้ผลจากการกระทำแก่เธอ เดี๋ยวโลกนี้ก็จัดการให้เอง มันเป็นเรื่องธรรมชาตินี่นา
เมื่อคุณฉีกกระดาษ กระดาษก็ขาด เมื่อคุณกินข้าว คุณก็อิ่ม
แค่มองผิวเผินก็รู้ว่าทำอะไรไปย่อมได้รับผลอย่างแน่นอน จะไม่ได้รับผลก็ต่อเมื่อไม่ได้ทำ
และเธอได้ทำไปแล้ว ทำไมเธอจะไม่ได้รับผลล่ะ?
หากคุณคิดแค้น แก้แค้น คุณก็ต้องรับผลจากการแค้นเช่นกัน
ในเมื่อคุณไม่อยากรับผลของมัน คุณก็แค่ไม่ต้องคิดถึงความแค้น
แค่รู้ไว้ก็พอว่าเธอจะได้รับผลตอบแทนที่สมค่าไปเอง
ตัวฉันที่เพิ่งรู้เรื่องนี้ก็ลองทำแล้วสังเกตดูค่ะ รู้สึกแปลกใจทีเดียว
เพราะฉันไม่อยากรับผิดชอบต่อการคิดแค้น ฉันก็เลยไม่คิด ปล่อยอีกฝ่ายไปเหมือนเป็นแค่สายลมที่ผ่านมา ปล่อยให้กฎแห่งกรรมทำหน้าที่ไป
แล้วในตอนที่ฉันลืมเรื่องนั้นไปหมดแล้ว ข่าวก็เข้าหูเองว่าอีกฝ่ายได้รับเหมือนที่เคยทำกับฉันเป๊ะ บ้าบอก็ติดต่อมาขอโทษฉันด้วย
ซึ่งในเวลานั้น ฉันก็เฉยสนิทซะจนกล่าวให้อภัยไปง่ายๆ (มีปลอบใจแถม) ไม่ติดใจอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่ยินดีจะสานสัมพันธ์กันใหม่ ต่างฝ่ายต่างใช้ชีวิตของตัวเองไปเถอะ มันดูเหมือนการอโหสิกรรมค่ะ ฉันไม่ติดใจอยากได้อะไรแล้ว
แล้วฉันก็ลองมองดูกรณีที่อีกฝ่ายไม่ปรับปรุงตัว มันแปลกดีที่เขาก็ยังจะเจอเรื่องน่าเสียใจซึ่งเป็นผลจากการกระทำแบบเดิมซ้ำๆ (ก็เขาทำซ้ำ ทำไมจะไม่ได้รับผลซ้ำล่ะ) บางทีมันทำให้ฉันนึกสงสารเชียวล่ะค่ะ เพราะไม่รู้ว่าตัวว่าตัวเองทำอะไรไปถึงได้ต้องเจอเรื่องแบบนี้ ก็เลยต้องเจอแล้วเจออีก วนอยู่ในความทุกข์ แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องของฉันที่ต้องเสนอหน้าไปบอกด้วย เพราะฉันไม่อยากได้อะไรทั้งนั้น แม้แต่แค้นก็ไม่คิด
ฉันเห็นมาเยอะค่ะ ทั้งแบบเห็นด้วยตาและฟังมาจากคนอื่น มันเยอะจนเชื่อสนิทใจเลยว่ากฎแห่งกรรมมีจริง มันสมเหตุสมผลที่ทุกคนต้องรับผลจากการกระทำของตัวเอง
กรรมไม่มีตา ไม่สนใจศาสนา ไม่สนใจหน้าตาฐานะทางสังคม ไม่สนใจเงิน ไม่สนใจว่าการกระทำนั้นเป็นความดีหรือความชั่วในสายตาของมนุษย์ด้วยซ้ำ มันเหมือนระบบอัตโนมัติที่จักรวาลรังสรรค์มาให้ ทั้งเที่ยงตรง ทั้งแม่นยำ ไม่มากเกินไปและไม่น้อยเกินไป
กรรมอาจเป็นความยุติธรรมที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวของจักรวาลก็ได้
มันไม่ใช่เรื่องศาสนาหรอกค่ะ แต่เป็นความจริงที่อธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ สามารถพิสูจน์ซ้ำได้
เพราะงั้น คุณก็ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ ให้เธอไปรับกรรมในเวลาและสถานที่ซึ่งคุณไม่รู้ไม่เห็น จะได้ไม่ต้องรับผิดชอบการรู้เห็นของตัวเองไง
ไม่ว่าคุณจะแค้นเธอหรือไม่ เธอก็จะต้องรับผลจากการกระทำด้วยตัวเอง แบบนี้แล้วจะคิดแค้นไปทำไมกันล่ะ ต้องมารับผลของการคิดแค้นเสียอีก
ดังนั้นก็อนุญาตให้ตัวเองได้มีชีวิตที่ปกติสุขเถอะค่ะ อย่าไปคิดถึง ปล่อยวางไปเสีย มาดูแลความเป็นไปในชีวิตของตัวเองดีกว่า
กรรมของเธอไม่ใช่เรื่องของคุณ เรื่องของคุณคือการกระทำของตัวเองเท่านั้น หากไม่อยากรับผิดชอบความแค้นก็อย่าคิดค่ะ แค่ปล่อยเธอไปเท่านี้ก็พอแล้ว
ในตอนที่คุณลืมเธอไปหมดแล้ว กำลังมีชีวิตดีและมีความสุข เดี๋ยวก็มีอะไรมาเข้าหูเองแหละว่าเธอเป็นยังไง
ซึ่งในวันนั้น คุณไม่เหลือใจจะไปสมน้ำหน้าเธอแล้ว กลับรู้สึกเมตตาสงสารมากกว่า
มันจะมาในรูปแบบนี้แหละค่ะ
สู้ๆ นะคะ ปล่อยวางค่ะ ทำยากหน่อยหากไม่เคยฝึก แต่ฝึกหน่อยก็ทำได้เอง
คุณต้องมีสติรู้เท่าทันความคิดของตัวเอง พอคิดเรื่องเธอปุ๊บ รู้ตัวปั๊บว่ากำลังแค้น ก็ตระหนักถึงความจริงไว้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของคุณ เธอจะต้องรับผลจากการกระทำด้วยตัวเอง คุณจะแค้นหรือไม่แค้นก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว มันไม่มีเหตุผลอะไรให้คุณต้องแค้นเลย แล้วหยุดคิดซะ คิดปุ๊บก็เลิกคิด
แรกๆ ต้องทำถี่หน่อยค่ะ แต่หลังๆ จะง่ายขึ้น สุดท้ายคุณก็ลืมไปเพราะไม่ได้คิดถึงตั้งนานแล้ว
โดยปกติ ขั้นตอนนี้สามารถทำให้คุณลืมง่ายขึ้นในเวลาไม่เกินหนึ่งเดือน คุณจะรู้สึกได้จากส่วนลึกของจิตใจเลยว่าความแค้นเจือจาง ส่วนมากไม่พ้นสามเดือนก็ลืมจริงค่ะ นานๆ ครั้งจะหวนคิดถึงสักครั้ง แต่อารมณ์ความแค้นจะไม่ตามมาด้วย คือเหลือแค่ข้อมูลเรื่องราวเท่านั้น
ชีวิตคุณมีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าให้คิดตั้งเยอะ จะไปบ้างานคิดถึงงานแทนก็ได้ คิดเรื่องงานแล้วได้เงินด้วยนี่นา ^^ คิดเรื่องเธอไปก็มีแต่เสียกับเสีย เรื่องอะไรจะทำ
ก็ประมาณนี้แหละค่ะ ขอให้คุณโชคดี
ความคิดเห็นที่ 76
ไม่ว่าจะแค้นจะเกลียดยังไง ให้จินตนาการถึงผลที่ตามมาหลังลงมือ ชั่งน้ำหนักว่ามันคุ้มที่คุณจะแลกไหม หมายถึง เวลาของคุณ ชีวิตของคุณ ถ้าไม่คุ้ม อย่าทำ ปล่อยผ่าน เดินหน้าต่อ
คนเราก็เท่านี้ เราถูกโปรแกรม และอาบชโลมด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียง เปลือก เงินทอง ตัณหา ราคะ หลายคนจึงกระทำสิ่งเลวร้ายต่อคนอื่น เพื่อหวังครอบครองอะไรก็ตามที่ตัวเองอยากได้ อยากมี อยากเป็น ธรรมดาโลกหล่ะนะ
คนเราก็เท่านี้ เราถูกโปรแกรม และอาบชโลมด้วยเกียรติยศ ชื่อเสียง เปลือก เงินทอง ตัณหา ราคะ หลายคนจึงกระทำสิ่งเลวร้ายต่อคนอื่น เพื่อหวังครอบครองอะไรก็ตามที่ตัวเองอยากได้ อยากมี อยากเป็น ธรรมดาโลกหล่ะนะ
แสดงความคิดเห็น
พวกคุณจัดการกับความรักที่กลายเป็นความแค้นยังไงครับ?
เคยลองแล้วนะครับ พยายามนึกถึงเรื่องราวดีๆที่เคยมีให้กัน แต่ผมไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าที่ผ่านมามันเคยเป็นเรื่องจริงบ้างหรือไม่ มันเหมือนพอมองย้อนกลับไปทุกอย่างอาจเป็นเรื่องโกหกมาตั้งแต่ต้น ไม่อยากจะพูดถึงมันเท่าไรเพราะนอกจากจะสุมอกตัวเองแล้วมันจะยังเป็นการพูดอยู่ฝ่ายเดียว ตั้งแต่วันที่เลิกกัน ผมใช้ชีวิตได้ตามปกตินะครับทุกอย่างนะครับ ไม่เคยนั่งซึมเศร้าเสียใจร้องไห้แม้แต่วินาทีเดียว แต่บางทีก็คิดว่ามันดีจริงๆเหรอที่เราอาจจะเข้มแข็งได้แบบนั้น แต่ในใจรู้สึกโกรธแค้นอยู่ตลอดเวลาที่นึกถึงมัน เลยเอาเป็นว่าอยากถามง่ายๆว่า เมื่อความรักของคุณกลายเป็นความแค้น คุณจัดการกับมันยังไงกันบ้างครับ
ขอบคุณครับ