เราเคยตั้งกระทู้ถามเรื่องงานไป เรื่องเกิดจากเราย้ายไปทำงานที่ใหม่แล้วอยากลาออกเพราะเจอ Culture Shock หลายคนบอกให้เราไปลาออกเลย ทั้งแบบประชดและแบบแนะนำจริงๆ 55555 วันนี้เลยมาตั้งกระทู้อีกครั้งว่าเราลาออกแล้วนะคะ และเริ่มกลับมามีความสุขอีกครั้งแล้ว ^_^ ไหนๆก็หลุดพ้นแล้ว เลยขอบันทึกความทรงจำที่ทำงานสุดปังนี้ไว้หน่อยดีกว่า XD
เรื่องเกิดจากบริษัทแห่งหนึ่งโทรมาเสนอเงินเดือนที่ดีกับเรามาก จากที่เคยคิดว่าจะทำงานที่เก่าไปสักพัก แต่พอเห็นชื่อบริษัททำให้เราตัดสินใจลาออกจากที่เก่า #โอกาสมาต้องรีบคว้าว่าซั่น แต่สิ่งแรกที่ทำให้เรางงคือ HR ของที่ใหม่ให้เราออกจากที่เก่าโดยไม่ต้องแจ้ง 30 วัน เพราะยังไม่ผ่านโปร แต่เราอยากแจ้งให้ครบ 30 วันก่อน แต่ HR พูดกับเราว่าเขาจะให้เราออกวันนี้เลยก็ได้นะ นี่ใจดีมากแล้วให้ออกช้าตั้งเกือบเดือน เราพยายามบอกเขาแล้วว่าเราอยากแจ้ง 30 วันจริงๆ แต่เขาก็ไม่ยอม (เราทราบมาว่าเขาเร่งเพราะต้องการเคลียร์คนแต่ละรอบการเริ่มงานให้เร็วที่สุด) และพูดจาไม่น่ารักเท่าไหร่ จนเราแอบงงว่าบริษัทระดับนี้ ทำไม HR พูดแบบนี้นะ แต่ด้วยความเชื่อมั่นต่างๆที่มี ทำให้เรายอมออกจากที่เก่าแบบไม่ครบ 30 วัน (ไม่น่าเลย) และมาที่ใหม่ด้วยความหวังว่าจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแน่นอน (มั่นมากก เป็นบทเรียนว่าถ้ารู้สึกเอ๊ะอะไรตั้งแต่แรก มันอาจจะมีเรื่องอื่นให้เอ๊ะอีกก็ได้ 55)
(จริงๆเรื่องลาออก 30 วันที่ทำงานใหม่เราก็พูดค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเรายังไม่ผ่านโปร แต่ความต่างคือเขาพูดกับเราดีกว่ามาก บอกว่า 'เรายังไม่ผ่านโปรใช่มั้ย ลองคุยกับที่เก่าดูมั้ยว่าออกได้เร็วสุดเมื่อไหร่ เพราะต้อง transfer งานกับพนง.เก่า ยังไงมาบอกกับพี่นะคะ' คือฟังแล้วรู้สึกดีกว่ามาก ส่วนที่เก่าคือ จะบอกให้ออกตอนนี้ก็ทำได้นะแต่นี่ยังใจดี คืออะไร ?? 55)
และสุดท้ายแล้วเรากลับเจอ Cuture Shock ที่ทำให้เราอยากลาออกตั้งแต่วันแรกซะอย่างนั้น
ในเรื่องของตัวงาน เราเองไม่ค่อยชอบลักษณะงานที่นี่เท่าไหร่ แต่ก็มาด้วยความตั้งใจเต็มที่ หลายคนมองว่าเราออกเพราะไม่ชอบงาน แต่จริงๆแล้วปัญหาหลักที่ทำให้เราตัดสินใจลาออกไม่ได้อยู่ที่ตัวงานเลย เราเคยกังวลมากๆว่าจะทำงานได้มั้ย แต่ไม่เคยกังวลเรื่องสังคม เพราะที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แต่สุดท้ายเรื่องที่เล่นงานเราจนต้องออกจากงานอีกครั้งกลับเป็นเรื่องที่เรามองข้ามมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เราไม่แฮปปี้อย่างแรกคือเรื่องเวลาทำงาน HR แจ้งเราว่าทำงานวันละ 8 ชม.แต่จริงๆแล้วทางแผนกจะจัดตารางงานโดยคละชั่วโมงกันไป เฉลี่ยแล้วจะทำงานประมาณ 7-12 ชม. ต่อวัน ซึ่งพนักงานอย่างพวกเราต้องมานั่งนับชม.กันเองว่าเมื่อจัดตารางออกมาแล้วชม.ทำงานเกินมั้ย โดนเอาเปรียบหรือเปล่า แต่เราเห็นบางคนทำเกินชม.ก็ไม่พูดอะไร และยอมรับไปเฉยๆ
อย่างที่สองคือ Personality ของคนที่นี่ หลายคนพูดจาโผงผาง เสียงดัง ใช้คำพูดไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ บางคนมองเราหัวจรดเท้า และขำคิกคักกันแทบตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาอยู่กันเป็นกลุ่ม (บางครั้งก็ขำเรา บางครั้งก็ขำกันเอง บางครั้งก็ขำคนอื่น) แต่พอเราขำบ้าง กลับถามว่าแกขำไร wa? เรียกเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยคำพูดบูลลี่ต่างๆ เช่น ไออ้วนๆ ลดน้ำหนักได้ตั้ง 1 โลหรอ ผอมลงเยอะเลยนะเนี่ย ฯลฯ ขนาดวันที่เราเริ่มชินกับนิสัยพวกเขาแล้วยังรู้สึกว่าเราคงไม่ปฏิบัติแบบนี้กับพนักงานใหม่แบบนี้แน่ๆ (ที่ใหม่เราปฏิบัติกับเราดีมากๆ ต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง เรารู้สึกว่าการสร้างความประทับใจแรกก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน)
เรื่องต่อไปคือเรื่องหัวหน้า เราไม่เจอปัญหากับเขาโดยตรง แต่จากที่เห็นเขาก็จะอารมณ์ขึ้นๆลงๆ บทสนทนาประจำวันของพนักงานคือการถามว่าหัวหน้ามาหรือยัง วันนี้อารมณ์ดีมั้ย วันดีคืนดีเขาก็เหวี่ยงใส่พนักงานแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่เรื่องไม่ได้ใหญ่อะไรเลย แต่คนที่โดนด่าก็ก้มหน้าก้มตายอมรับคำด่าโดยไม่อธิบายอะไร เราเห็นแล้วสงสารเขามาก
ทำงานที่นี่เหมือนได้ดูละครหลังข่าวทุกวัน อะไรที่เคยเห็นในละคร ก็ได้เห็นของจริงที่นี่ บันเทิงใจสุด 555555
แต่เรื่องที่เรางงที่สุดคือเรื่องการพักของพนักงาน ที่นี่พนักงานจะพักกันตามการเข้าออฟฟิศของหัวหน้า ถ้าหัวหน้าอยู่ จะพักกันแค่ 30 นาที โชว์ขยันสักหน่อย (เขาบอกเราเองเลยว่าต้องทำตัวขยันให้นายเห็น) แต่ถ้าไม่อยู่ก็พัก 1 ชม. ตามสิทธิ์ที่ควรจะได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะหัวหน้าเขาไม่ได้เงินจากเวลาพัก แต่ลูกน้องจะได้เงิน เขาเลยไม่อยากให้ลูกน้องพักนานๆ เพราะจะไม่คุ้ม เราฟังแล้วก็ฮะในใจ ทำงานวันนึงก็หลายชม. แล้ว ต้องพักไม่ถึง 1 ชม.โดยไม่จำเป็นอีก เรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
ถึงเราจะผิดหวังขนาดไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปความรู้สึกตอนนั้นเราก็คงเลือกมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม (เพราะตอนนั้นคิดแต่เรื่องเงิน 555) และถ้าเราไม่มาเราก็คงไม่มีวันรู้ว่าบริษัทที่เรามองแล้วว้าว เข้ามาแล้วจะเจอแบบนี้ (จนตอนนี้เราก็ยอมรับว่าบริษัทดีนะคะ ในแง่ความมั่นคง มีระบบที่ดีและแข็งแรง เงินเดือนดี แผนกอื่นอาจจะดีก็ได้ แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่แผนกเรา Gap Year พนักงานที่ต่างกัน วัฒนธรรมในแผนกที่ต่างจากที่เราเคยเจอ หรือ Biggest trouble อาจจะเป็นเราเองนี่แหละที่เข้ากับเขาไม่ได้ 555)
ตอนที่เราตั้งกระทู้นั้น เรา depressed มาก กินอะไรไม่ลง ร้องไห้หนักมาก ขับรถไปทำงานเหมือนซอมบี้ พาร่างตัวเองไปออฟฟิศได้ก็บุญแล้ว แต่สุดท้ายเราก็พยายามหาความสุขจากสิ่งตรงหน้าให้มากที่สุด คิดซะว่าไปทำงานก็คือไปทำงาน ไม่ได้ไปหาสังคม จบวันก็กลับบ้าน ดีกับคนที่ดีกับเรา เราคิดแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนพอปรับตัวได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เราไม่เห็นตัวเองเติบโตต่อไปที่นี่ เพราะตัวงานที่เราไม่ถนัด เพราะสังคมที่เราคิดว่าเราอาจจะเข้ากับเค้าไม่ได้ (หรือถ้าเข้าได้ วันนึงเราอาจจะต้องกลืนไปกับพวกเขา ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) และเราก็รู้ว่าเราป่วยบ่อย ลาบ่อย ไม่รู้ช่วงนั้นดวงตกหรืออะไร เราเข้ารพ. ไปสองครั้งใน 1 เดือน เแถมเราต้องลาไปทำธุระที่บ้านในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ถึงเขาจะไม่ห้ามและเรากลับมาทำงานชดเชยให้จนครบ เราก็รู้ว่าเราไม่ควรลาบ่อยขนาดนั้น เราเลยรู้สึกว่าเราไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่หรอก สุดท้ายแล้วเราตัดสินใจบอกผู้จัดการไปตรงๆว่าขอลาออก ซึ่งยังดีที่เขารับฟัง เราจะขอบคุณเขาเสมอที่เขามองเห็นอะไรในตัวเราและให้โอกาสดีๆกับเรา ตอนนั้นเรามีความสุขมากจริงๆ เสียดายที่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้
เราได้รับคอมเม้นจากกท.ก่อนเยอะมากว่าไม่ควรตัดสินใจเร็วเกินไป มันแค่วันแรกเอง ซึ่งจริงค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เป็นบัดดี้ที่เคยอิกนอร์เรา ทรีตเราเหมือนเราโง่ พูดกับเราว่าแกจะรอดมั้ย ทำไมไม่รู้เรื่อง คนที่พูดจาโผงผางและทำให้เราคิดว่าไม่มีวันเข้ากับเขาได้คนนั้น สุดท้ายแล้วเขาคือคนที่สอนงานเราอย่างเต็มที่ และเป็นคนที่ให้คำปรึกษากับเราในเรื่องต่างๆ เรารู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็สอนงานเรา และมีมุมดีๆที่เราพอเคารพเขาได้ วันลาสเดย์เราก็ขอบคุณเค้าอย่างจริงใจ ซื้อของขวัญให้ ถ้าเราไม่มีเพื่อนดีๆสักคนเลย เราอาจจะออกตั้งแต่วันแรกๆแล้วก็ได้ 55 (แต่ก็ยังคิดนะว่าตอนนั้นเขารับน้องเราแรงไปหน่อย 55555)
จนวันนี้ที่เราออกมาแล้ว เราก็ขอจดจำแค่สิ่งดีๆก็พอ มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ใจดีกับเรา หลายคนได้กลายเป็นเพื่อนในไอจีกันต่อ เราไม่อยากโทษองค์กรทั้งหมด เพื่อนบางคนบอกว่าที่เขาทน เพราะเขาอยากเอาชนะว่าตัวเองก็ทำได้ เราชื่นชมเพื่อนมากที่คิดและทำได้แบบนั้น บางคนก็มีความสุขกับที่นี่เพราะรักความมั่นคง รักสวัสดิการ ซึ่งเราก็ว่าดีจริง ส่วนเรา หลายคนบอกว่าเราอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป ก็อาจจะใช่ แต่อ่อนแอบ้างคงไม่เป็นไร เราอาจจะมองต่างออกไปแค่นั้นเอง การเข้ากับที่ทำงานไม่ได้อาจจะไม่ใช่เรื่องผิดขนาดนั้น เราอาจจะไม่เหมาะกับการทำงานที่นี่ แต่เราอาจจะเข้ากันได้กับอีกที่นึงก็ได้ เราขอไปสู้กับตัวงานที่เหมาะกับตัวเอง และใช้ชีวิตแบบที่เราจะมีความสุขดีกว่า
ตอนนี้เราได้งานใหม่แล้ว แต้มบุญที่คิดว่าหมดไปแล้ว เหมือนได้สะสมใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นเราคิดว่าต้องออกเลย ไม่รออะไรแล้ว แต่ก็ดึงสติตัวเองว่ารอให้ได้งานใหม่ก่อนแล้วค่อยออก ยุคนี้งานหายาก โชคดีที่เราสมัครงานไปไม่นานก็ได้สัมภาษณ์แล้วก็ผ่านเลย ตอนนี้เลยมีความสุขขึ้นมาก คงไม่ได้ลาออกเร็วๆนี้อีกแล้ว (พอเถ๊อะ!) เราได้เงินเดือนมากขึ้นเล็กน้อย ตัวงานมีหลายส่วนที่เราต้องเรียนรู้เพิ่ม แต่เรามีความสุขที่ได้รู้อะไรใหม่ๆ ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง เราได้เจอสังคมการทำงานที่ดี ได้เจอ Work Life Balance อีกครั้งนึง ในอนาคตเราคงเจอปัญหาเพิ่มขึ้น งานอาจจะยากขึ้น อาจจะเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่ารัก หรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เรามีกำลังใจ มีความสุขขึ้นมากแล้ว เหมือน Balance ทุกอย่างแล้วรู้สึกว่ามันโอเค ยอมรับได้ และมีความสุขแล้ว
เราไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาทำไม XD เราหยุดเล่นพันทิปไปพักนึง เพราะช่วงแรกๆที่ตั้งกระทู้ขอคำปรึกษา เราได้รับบางคำคอมเม้นที่ทำให้เราดาวน์หนักกว่าเดิมเลยคิดว่าหยุดเล่นไปก่อนดีกว่า แต่เราก็ได้รับกำลังใจเยอะมากเหมือนกัน บางคนก็ส่งข้อความมาหลังไมค์ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ถ้าผ่านมาเห็น ขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ เราซึ้งมากๆที่คนที่ไม่รู้จักกันเลย ส่งข้อความที่ให้พลังบวกกับเราได้ขนาดนั้น ขอบคุณมากค่ะ
สุดท้าย เราไม่อยู่ในจุดที่จะสอนหรือให้คำแนะนำใครได้ แต่ถ้ามีคนที่รู้สึกท้อกับงานแบบเรา เราอยากให้กำลังใจนะ ความรู้สึกไม่ Belong กับที่ที่อยู่มันแย่แบบนี้เอง การที่มีคนคอมเม้นว่าเข้าใจ เคยเจอมาเหมือนกัน และให้กำลังใจเรามันทำให้เราเห็นแนวทางแก้ไขและได้รับพลังบวกเยอะขึ้น คนที่ให้กำลังใจเราแบบตรงๆแต่ไม่บั่นทอน เราก็ขอบคุณมากๆเหมือนกันที่ช่วยดึงสติให้เราค่ะ
ส่วนคนที่กำลังรู้สึกแย่ มันไม่ผิดเลยนะคะที่อยากจะอดทนกับงานที่ทำอยู่และสู้ให้เต็มที่ แต่ถ้ารู้สึกแย่จนอยากจะลาออก เราว่ามันก็ไม่ผิดเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักตัวเองมากพอ และรู้ว่าเราอยากทำอะไร เชื่อว่าเราจะหาทางออกให้ตัวเองได้ในที่สุดค่ะ อย่างเราที่คิดว่าชีวิตพังสุดในตอนนั้น จะออกเลยดีมั้ย ถ้าสมัครงานใหม่แล้วจะได้สัมภาาษณ์มั้ย ฯลฯ สุดท้ายก็มีความสุขจนได้ เพราะงั้นสู้ๆกันนะคะ XD ถึงจะมีวันที่แย่บ้าง แต่ที่เค้าบอกอะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมออาจจะจริงก็ได้เนอะ ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งหนึ่งที่เราหวังว่าจะไม่ได้เจออีก แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ
ไม่ไหวอย่าฝืน ลาออกแล้วค่า TT
เรื่องเกิดจากบริษัทแห่งหนึ่งโทรมาเสนอเงินเดือนที่ดีกับเรามาก จากที่เคยคิดว่าจะทำงานที่เก่าไปสักพัก แต่พอเห็นชื่อบริษัททำให้เราตัดสินใจลาออกจากที่เก่า #โอกาสมาต้องรีบคว้าว่าซั่น แต่สิ่งแรกที่ทำให้เรางงคือ HR ของที่ใหม่ให้เราออกจากที่เก่าโดยไม่ต้องแจ้ง 30 วัน เพราะยังไม่ผ่านโปร แต่เราอยากแจ้งให้ครบ 30 วันก่อน แต่ HR พูดกับเราว่าเขาจะให้เราออกวันนี้เลยก็ได้นะ นี่ใจดีมากแล้วให้ออกช้าตั้งเกือบเดือน เราพยายามบอกเขาแล้วว่าเราอยากแจ้ง 30 วันจริงๆ แต่เขาก็ไม่ยอม (เราทราบมาว่าเขาเร่งเพราะต้องการเคลียร์คนแต่ละรอบการเริ่มงานให้เร็วที่สุด) และพูดจาไม่น่ารักเท่าไหร่ จนเราแอบงงว่าบริษัทระดับนี้ ทำไม HR พูดแบบนี้นะ แต่ด้วยความเชื่อมั่นต่างๆที่มี ทำให้เรายอมออกจากที่เก่าแบบไม่ครบ 30 วัน (ไม่น่าเลย) และมาที่ใหม่ด้วยความหวังว่าจะอยู่ที่นี่ไปอีกนานแน่นอน (มั่นมากก เป็นบทเรียนว่าถ้ารู้สึกเอ๊ะอะไรตั้งแต่แรก มันอาจจะมีเรื่องอื่นให้เอ๊ะอีกก็ได้ 55)
(จริงๆเรื่องลาออก 30 วันที่ทำงานใหม่เราก็พูดค่ะ ด้วยเหตุผลเดียวกันคือเรายังไม่ผ่านโปร แต่ความต่างคือเขาพูดกับเราดีกว่ามาก บอกว่า 'เรายังไม่ผ่านโปรใช่มั้ย ลองคุยกับที่เก่าดูมั้ยว่าออกได้เร็วสุดเมื่อไหร่ เพราะต้อง transfer งานกับพนง.เก่า ยังไงมาบอกกับพี่นะคะ' คือฟังแล้วรู้สึกดีกว่ามาก ส่วนที่เก่าคือ จะบอกให้ออกตอนนี้ก็ทำได้นะแต่นี่ยังใจดี คืออะไร ?? 55)
และสุดท้ายแล้วเรากลับเจอ Cuture Shock ที่ทำให้เราอยากลาออกตั้งแต่วันแรกซะอย่างนั้น
ในเรื่องของตัวงาน เราเองไม่ค่อยชอบลักษณะงานที่นี่เท่าไหร่ แต่ก็มาด้วยความตั้งใจเต็มที่ หลายคนมองว่าเราออกเพราะไม่ชอบงาน แต่จริงๆแล้วปัญหาหลักที่ทำให้เราตัดสินใจลาออกไม่ได้อยู่ที่ตัวงานเลย เราเคยกังวลมากๆว่าจะทำงานได้มั้ย แต่ไม่เคยกังวลเรื่องสังคม เพราะที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยมีปัญหากับเพื่อนร่วมงาน แต่สุดท้ายเรื่องที่เล่นงานเราจนต้องออกจากงานอีกครั้งกลับเป็นเรื่องที่เรามองข้ามมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะเป็นปัญหาเลยด้วยซ้ำ
สิ่งที่เราไม่แฮปปี้อย่างแรกคือเรื่องเวลาทำงาน HR แจ้งเราว่าทำงานวันละ 8 ชม.แต่จริงๆแล้วทางแผนกจะจัดตารางงานโดยคละชั่วโมงกันไป เฉลี่ยแล้วจะทำงานประมาณ 7-12 ชม. ต่อวัน ซึ่งพนักงานอย่างพวกเราต้องมานั่งนับชม.กันเองว่าเมื่อจัดตารางออกมาแล้วชม.ทำงานเกินมั้ย โดนเอาเปรียบหรือเปล่า แต่เราเห็นบางคนทำเกินชม.ก็ไม่พูดอะไร และยอมรับไปเฉยๆ
อย่างที่สองคือ Personality ของคนที่นี่ หลายคนพูดจาโผงผาง เสียงดัง ใช้คำพูดไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่ บางคนมองเราหัวจรดเท้า และขำคิกคักกันแทบตลอดเวลา โดยเฉพาะเวลาอยู่กันเป็นกลุ่ม (บางครั้งก็ขำเรา บางครั้งก็ขำกันเอง บางครั้งก็ขำคนอื่น) แต่พอเราขำบ้าง กลับถามว่าแกขำไร wa? เรียกเพื่อนร่วมงานคนอื่นด้วยคำพูดบูลลี่ต่างๆ เช่น ไออ้วนๆ ลดน้ำหนักได้ตั้ง 1 โลหรอ ผอมลงเยอะเลยนะเนี่ย ฯลฯ ขนาดวันที่เราเริ่มชินกับนิสัยพวกเขาแล้วยังรู้สึกว่าเราคงไม่ปฏิบัติแบบนี้กับพนักงานใหม่แบบนี้แน่ๆ (ที่ใหม่เราปฏิบัติกับเราดีมากๆ ต่อให้อนาคตจะเป็นยังไง เรารู้สึกว่าการสร้างความประทับใจแรกก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน)
เรื่องต่อไปคือเรื่องหัวหน้า เราไม่เจอปัญหากับเขาโดยตรง แต่จากที่เห็นเขาก็จะอารมณ์ขึ้นๆลงๆ บทสนทนาประจำวันของพนักงานคือการถามว่าหัวหน้ามาหรือยัง วันนี้อารมณ์ดีมั้ย วันดีคืนดีเขาก็เหวี่ยงใส่พนักงานแบบไม่มีเหตุผล ทั้งที่เรื่องไม่ได้ใหญ่อะไรเลย แต่คนที่โดนด่าก็ก้มหน้าก้มตายอมรับคำด่าโดยไม่อธิบายอะไร เราเห็นแล้วสงสารเขามาก
ทำงานที่นี่เหมือนได้ดูละครหลังข่าวทุกวัน อะไรที่เคยเห็นในละคร ก็ได้เห็นของจริงที่นี่ บันเทิงใจสุด 555555
แต่เรื่องที่เรางงที่สุดคือเรื่องการพักของพนักงาน ที่นี่พนักงานจะพักกันตามการเข้าออฟฟิศของหัวหน้า ถ้าหัวหน้าอยู่ จะพักกันแค่ 30 นาที โชว์ขยันสักหน่อย (เขาบอกเราเองเลยว่าต้องทำตัวขยันให้นายเห็น) แต่ถ้าไม่อยู่ก็พัก 1 ชม. ตามสิทธิ์ที่ควรจะได้ ที่เป็นแบบนี้เพราะหัวหน้าเขาไม่ได้เงินจากเวลาพัก แต่ลูกน้องจะได้เงิน เขาเลยไม่อยากให้ลูกน้องพักนานๆ เพราะจะไม่คุ้ม เราฟังแล้วก็ฮะในใจ ทำงานวันนึงก็หลายชม. แล้ว ต้องพักไม่ถึง 1 ชม.โดยไม่จำเป็นอีก เรารู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลย
ถึงเราจะผิดหวังขนาดไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปความรู้สึกตอนนั้นเราก็คงเลือกมาทำงานที่นี่เหมือนเดิม (เพราะตอนนั้นคิดแต่เรื่องเงิน 555) และถ้าเราไม่มาเราก็คงไม่มีวันรู้ว่าบริษัทที่เรามองแล้วว้าว เข้ามาแล้วจะเจอแบบนี้ (จนตอนนี้เราก็ยอมรับว่าบริษัทดีนะคะ ในแง่ความมั่นคง มีระบบที่ดีและแข็งแรง เงินเดือนดี แผนกอื่นอาจจะดีก็ได้ แต่ปัญหาอาจจะอยู่ที่แผนกเรา Gap Year พนักงานที่ต่างกัน วัฒนธรรมในแผนกที่ต่างจากที่เราเคยเจอ หรือ Biggest trouble อาจจะเป็นเราเองนี่แหละที่เข้ากับเขาไม่ได้ 555)
ตอนที่เราตั้งกระทู้นั้น เรา depressed มาก กินอะไรไม่ลง ร้องไห้หนักมาก ขับรถไปทำงานเหมือนซอมบี้ พาร่างตัวเองไปออฟฟิศได้ก็บุญแล้ว แต่สุดท้ายเราก็พยายามหาความสุขจากสิ่งตรงหน้าให้มากที่สุด คิดซะว่าไปทำงานก็คือไปทำงาน ไม่ได้ไปหาสังคม จบวันก็กลับบ้าน ดีกับคนที่ดีกับเรา เราคิดแบบนั้นมาเรื่อยๆ จนพอปรับตัวได้บ้าง แต่สุดท้ายแล้ว เราไม่เห็นตัวเองเติบโตต่อไปที่นี่ เพราะตัวงานที่เราไม่ถนัด เพราะสังคมที่เราคิดว่าเราอาจจะเข้ากับเค้าไม่ได้ (หรือถ้าเข้าได้ วันนึงเราอาจจะต้องกลืนไปกับพวกเขา ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม) และเราก็รู้ว่าเราป่วยบ่อย ลาบ่อย ไม่รู้ช่วงนั้นดวงตกหรืออะไร เราเข้ารพ. ไปสองครั้งใน 1 เดือน เแถมเราต้องลาไปทำธุระที่บ้านในช่วงเวลาใกล้ๆกัน ถึงเขาจะไม่ห้ามและเรากลับมาทำงานชดเชยให้จนครบ เราก็รู้ว่าเราไม่ควรลาบ่อยขนาดนั้น เราเลยรู้สึกว่าเราไม่เหมาะจะอยู่ที่นี่หรอก สุดท้ายแล้วเราตัดสินใจบอกผู้จัดการไปตรงๆว่าขอลาออก ซึ่งยังดีที่เขารับฟัง เราจะขอบคุณเขาเสมอที่เขามองเห็นอะไรในตัวเราและให้โอกาสดีๆกับเรา ตอนนั้นเรามีความสุขมากจริงๆ เสียดายที่สุดท้ายมันไม่เป็นอย่างที่คิดไว้
เราได้รับคอมเม้นจากกท.ก่อนเยอะมากว่าไม่ควรตัดสินใจเร็วเกินไป มันแค่วันแรกเอง ซึ่งจริงค่ะ เพราะสุดท้ายแล้วคนที่เป็นบัดดี้ที่เคยอิกนอร์เรา ทรีตเราเหมือนเราโง่ พูดกับเราว่าแกจะรอดมั้ย ทำไมไม่รู้เรื่อง คนที่พูดจาโผงผางและทำให้เราคิดว่าไม่มีวันเข้ากับเขาได้คนนั้น สุดท้ายแล้วเขาคือคนที่สอนงานเราอย่างเต็มที่ และเป็นคนที่ให้คำปรึกษากับเราในเรื่องต่างๆ เรารู้สึกว่าอย่างน้อยเขาก็สอนงานเรา และมีมุมดีๆที่เราพอเคารพเขาได้ วันลาสเดย์เราก็ขอบคุณเค้าอย่างจริงใจ ซื้อของขวัญให้ ถ้าเราไม่มีเพื่อนดีๆสักคนเลย เราอาจจะออกตั้งแต่วันแรกๆแล้วก็ได้ 55 (แต่ก็ยังคิดนะว่าตอนนั้นเขารับน้องเราแรงไปหน่อย 55555)
จนวันนี้ที่เราออกมาแล้ว เราก็ขอจดจำแค่สิ่งดีๆก็พอ มีเพื่อนร่วมงานบางคนที่ใจดีกับเรา หลายคนได้กลายเป็นเพื่อนในไอจีกันต่อ เราไม่อยากโทษองค์กรทั้งหมด เพื่อนบางคนบอกว่าที่เขาทน เพราะเขาอยากเอาชนะว่าตัวเองก็ทำได้ เราชื่นชมเพื่อนมากที่คิดและทำได้แบบนั้น บางคนก็มีความสุขกับที่นี่เพราะรักความมั่นคง รักสวัสดิการ ซึ่งเราก็ว่าดีจริง ส่วนเรา หลายคนบอกว่าเราอ่อนแอก็ต้องแพ้ไป ก็อาจจะใช่ แต่อ่อนแอบ้างคงไม่เป็นไร เราอาจจะมองต่างออกไปแค่นั้นเอง การเข้ากับที่ทำงานไม่ได้อาจจะไม่ใช่เรื่องผิดขนาดนั้น เราอาจจะไม่เหมาะกับการทำงานที่นี่ แต่เราอาจจะเข้ากันได้กับอีกที่นึงก็ได้ เราขอไปสู้กับตัวงานที่เหมาะกับตัวเอง และใช้ชีวิตแบบที่เราจะมีความสุขดีกว่า
ตอนนี้เราได้งานใหม่แล้ว แต้มบุญที่คิดว่าหมดไปแล้ว เหมือนได้สะสมใหม่อีกครั้ง ตอนนั้นเราคิดว่าต้องออกเลย ไม่รออะไรแล้ว แต่ก็ดึงสติตัวเองว่ารอให้ได้งานใหม่ก่อนแล้วค่อยออก ยุคนี้งานหายาก โชคดีที่เราสมัครงานไปไม่นานก็ได้สัมภาษณ์แล้วก็ผ่านเลย ตอนนี้เลยมีความสุขขึ้นมาก คงไม่ได้ลาออกเร็วๆนี้อีกแล้ว (พอเถ๊อะ!) เราได้เงินเดือนมากขึ้นเล็กน้อย ตัวงานมีหลายส่วนที่เราต้องเรียนรู้เพิ่ม แต่เรามีความสุขที่ได้รู้อะไรใหม่ๆ ได้ทำอะไรหลายๆอย่าง เราได้เจอสังคมการทำงานที่ดี ได้เจอ Work Life Balance อีกครั้งนึง ในอนาคตเราคงเจอปัญหาเพิ่มขึ้น งานอาจจะยากขึ้น อาจจะเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่น่ารัก หรืออะไรก็ตาม แต่ตอนนี้เรามีกำลังใจ มีความสุขขึ้นมากแล้ว เหมือน Balance ทุกอย่างแล้วรู้สึกว่ามันโอเค ยอมรับได้ และมีความสุขแล้ว
เราไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาทำไม XD เราหยุดเล่นพันทิปไปพักนึง เพราะช่วงแรกๆที่ตั้งกระทู้ขอคำปรึกษา เราได้รับบางคำคอมเม้นที่ทำให้เราดาวน์หนักกว่าเดิมเลยคิดว่าหยุดเล่นไปก่อนดีกว่า แต่เราก็ได้รับกำลังใจเยอะมากเหมือนกัน บางคนก็ส่งข้อความมาหลังไมค์ ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ถ้าผ่านมาเห็น ขอบคุณจากใจจริงเลยค่ะ เราซึ้งมากๆที่คนที่ไม่รู้จักกันเลย ส่งข้อความที่ให้พลังบวกกับเราได้ขนาดนั้น ขอบคุณมากค่ะ
สุดท้าย เราไม่อยู่ในจุดที่จะสอนหรือให้คำแนะนำใครได้ แต่ถ้ามีคนที่รู้สึกท้อกับงานแบบเรา เราอยากให้กำลังใจนะ ความรู้สึกไม่ Belong กับที่ที่อยู่มันแย่แบบนี้เอง การที่มีคนคอมเม้นว่าเข้าใจ เคยเจอมาเหมือนกัน และให้กำลังใจเรามันทำให้เราเห็นแนวทางแก้ไขและได้รับพลังบวกเยอะขึ้น คนที่ให้กำลังใจเราแบบตรงๆแต่ไม่บั่นทอน เราก็ขอบคุณมากๆเหมือนกันที่ช่วยดึงสติให้เราค่ะ
ส่วนคนที่กำลังรู้สึกแย่ มันไม่ผิดเลยนะคะที่อยากจะอดทนกับงานที่ทำอยู่และสู้ให้เต็มที่ แต่ถ้ารู้สึกแย่จนอยากจะลาออก เราว่ามันก็ไม่ผิดเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักตัวเองมากพอ และรู้ว่าเราอยากทำอะไร เชื่อว่าเราจะหาทางออกให้ตัวเองได้ในที่สุดค่ะ อย่างเราที่คิดว่าชีวิตพังสุดในตอนนั้น จะออกเลยดีมั้ย ถ้าสมัครงานใหม่แล้วจะได้สัมภาาษณ์มั้ย ฯลฯ สุดท้ายก็มีความสุขจนได้ เพราะงั้นสู้ๆกันนะคะ XD ถึงจะมีวันที่แย่บ้าง แต่ที่เค้าบอกอะไรที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมออาจจะจริงก็ได้เนอะ ครั้งนี้ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตครั้งหนึ่งที่เราหวังว่าจะไม่ได้เจออีก แต่ก็ขอบคุณที่เข้ามาทำให้ได้เรียนรู้อะไรเยอะเลย
ขอบคุณค่ะ