ทิดนิ่ม3. ตั้งศาลกั้นทาง,แม่ตะเคียน

กระทู้สนทนา





"การเป็นนักบวช คือการที่เราต้องพาตัวเองให้ออกห่างจากกิเลสที่มายั่วเย้าให้มากที่สุดโดยใช้หลักคำสอนขององค์ศาสดาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว ปลายทางคือนิพพานมิใช่สวรรค์ นักบวชที่แท้จริงต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบทั้งกายและใจหาใช่เครื่องแต่งกาย เพราะชุดนักบวชไม่ว่าจะเป็นศาสนาใด ใคร ๆ ก็สามารถหามาสวมให้ร่างกายได้แม้เขาจะไม่ใช่นักบวชก็ตาม"
       
       นี่คือคำสอนของหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่ท่านได้กรุณาสอนผมเมื่อครั้งยังดำรงเพศสมณะ การที่ผมหยิบยกเอาหนึ่งในคำพูดของท่านมากล่าวอ้างในครั้งนี้ เนื่องด้วยว่าเรื่องราวที่ผมจะบอกกล่าวเล่าขานผ่านตัวอักษรในครานี้นั้นเกี่ยวข้องกับคำว่า "พระ" หรือ "นักบวช" โดยตรง
       
       ด้วยงานที่ค่อนข้างรัดตัวการที่ผมจะปลีกเวลาไปเยี่ยมเยือนอดีตสหายธรรมได้นั้นจึงค่อนข้างยาก ดังนั้นพอถึงวันหยุดผมจึงไม่รีรอที่จะเผ่นโผนโจนทะยานสู่สถานธรรมคาเฟ่ วัดวาที่ผมเคยได้บวชเรียนจนเปลี่ยนวิถีชีวิตความคิดให้กลายเป็นคนละคน
       
       วันนี้ผมแวะซื้อผลไม้ประจำฤดูกาลไปฝากบรรดาหลวงพ่อหลวงพี่ และก็ไม่ลืมที่จะซื้อขนมนมเนยไปฝากลูกพี่เต้เด็กวัดผู้ทรงอิทธิพลด้วยเช่นกัน
       
       เมื่อเดินทางถึงจุดหมายผมก็ต้องแปลกใจที่วันนี้ภายในวัดครึกครื้นคราคร่ำไปด้วยรถราผู้คน
       
       "ทำไมคนเยอะจังล่ะหลวงพี่" ผมวางถุงผลไม้ลงบนโต๊ะหินอ่อนแล้วถามหลวงพี่เพ็ญที่นั่งเอามือเท้าคางมองบรรดาผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่จนน่าปวดหัว
       
       "เค้ามาขอหวย" หลวงพี่เพ็ญตอบสั้น ๆ
       
       "ห๊ะ! ขอหวย!!"
       
       "ช่าย....มาขอหวยกับแม่ตะเคียน" หลวงพี่เพ็ญตอบ
       
       อะไรกันครับเนี่ย นี่วัดเรามีเจ้าแม่ตะเคียนตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะครับผมไม่เห็นรู้เรื่อง แล้วดูทรงน่าจะให้หวยแม่นเสียด้วยเพราะจากจำนวนคนที่เข้ามาในวัดเวลานี้คะเนเอาจากสายตาที่มองผ่านกรอบแว่นของผมแล้วก็มีหลักร้อยเลยล่ะ
       
       "แม่ตะเคียน? ใครประไพรเหรอ?" ผมถาม
       
       "ประพงประไพรไหนล่ะทิด พวกเจ้าหล่อนมีชื่อว่า สไบเงิน สไบทอง" เสียงหนึ่งดังขึ้นหลวงพี่บอลนั่นเอง
       
       โอ้โฮ! นั่นชื่อเจ้าแม่เหรอครับเนี่ย ไหงมันฟังดูโหลขนาดนั้นล่ะครับ แถมยังเรียกว่าพวกหล่อนแสดงว่าไม่ได้มาแบบฉายเดี่ยวเป็นแน่แท้
       
       "เดี๋ยวนะหลวงพี่ ฟังจากชื่อแล้วก็สรรพนามนี่ มีสองคนเลยเหรอครับ" ผมถามพลางชี้มือไปที่ผลไม้บรโต๊ะที่กองอยู่นับสิบถุง
       
       "อืม! มาแบบแพ็คคู่ แล้วก็นะทิด ผีสางนางไม้น่ะเค้าไม่เรียกเป็นคน เค้าเรียกเป็นตน อย่าสับสนสิบวชก็บวชมาแล้วนะเราน่ะ" หลวงพี่บอลค่อนแคะผมพอให้คันยิบ ๆ ในกระดองใจ
       
       "คนบ้านเดียวกันแค่มองตากันก็เข้าใจอยู่ รู้ว่าไม่ถูกใช่มั้ยหวย-ใช่มั้ยเอาใหม่สู้ ๆ"
       
       เสียงไอ้เต้ร้องเพลงอย่างอารมณ์ดีมาทางพวกเรา บทเพลงที่สร้างกำลังใจให้คนต่างจังหวัดที่เข้ามาขายแรงแลกเงินในเมืองหลวง บัดนี้ได้ถูกลูกพี่เต้ดัดแปลงเนื้อเสียปี้ป่น นี่ถ้ามันโดนจับลิขสิทธิ์ขึ้นมาผมกล้าพูดเลยว่าอ่วมแน่นอนครับพี่น้อง
       
       "แหม่! อารมณ์ดีเชียวนะลูกพี่!!" ผมทักทายตามประสาคนที่สนิทกัน
       
       "อ่ะก็แน่ล่ะสิ ถ้าผมเห็นรถพี่เข้าวัดมาเมื่อไหร่แสดงว่าจะได้กินของอร่อยเมื่อนั้น" ไอ้เต้ตอบพลางเดินตรงรี่มาที่โต๊ะหินอ่อนทันที
       
       "โห!! แงะ!!" ไอ้เต้โพล่งออกมา
       
       "เงาะโว้ย!" ผมกับหลวงพี่เพ็ญพูดขึ้นพร้อมกัน ไอ้เต้ทำท่าจะจกเอาเงาะในถุงผมดห็นดังนั้นก็ตีมือมันทันที
       
       "เดี๋ยว! ยังไม่ได้ถวายพระเลย"
       
       "อ้าว! แล้วจะรออะไรล่ะครับ จัดการสิ" ไอ้เต้ทำหน้าเบ้อย่างไม่พอใจ
       
       หลังจากที่ผมจัดการประเคนผลไม้ให้หลวงพี่เพ็ญพอเป็นพิธี การเบิกฤกษ์มหกรรมโต๊ะจีนลิงก็เริ่มขึ้น ไอ้เต้แกะเงาะกินอย่างเอร็ดอร่อยและบ้าคลั่ง เนื่องจากผลไม้ชนิดนี้เป็นอีกหนึ่งของโปรดของมัน
       
       "อ้าว! กินเงาะซะเยอะแยะขนาดนั้น งั้นขนมนี่ก็คงไม่เป็นที่ปรารถนาแล้วสินะ" ผมพูดพลางยกถุงสิ่งของบางอย่างขึ้นให้ไอ้เต้ดู
       
       "บัวลอย!!" ไอ้เต้ร้องลั่นตาลุกวาว จากนั้นมันก็ดีดตัวขึ้นวิ่งไปทางศาลาหอฉัน
       
       "อ้าวเฮ้ย! มืงจะไปไหน!!" ผมร้องถาม
       
       "ไปเอาถ้วย!!" ไอ้เต้ตะโกนตอบ
       
       พวกเรานั่งหัวเราะขบขันกับการแสดงออกที่ใสซื่อของไอ้เด็กคนนี้
       
       ขณะที่ผมกับหลวงพี่บอลและหลวงพี่เพ็ญนั่งมองผู้คนมากมายที่กำลังขัดถูขอนไม้ที่ดำมะเมื่อมมีความยาวกว่าสิบเมตร บางคนก็ถ่ายรูป บางคนจุดธูปยกมือท่วมหัว ผมนั่งมองการกระทำของคนเหล่านั้นอย่างเพลิดเพลิน
       
       "จะไปแล้วเหรอครับหลวงพ่อ" หลวงพี่เพ็ญพูดขึ้น
       
       "ใช่ ทิดนิ่มว่างอยู่มั้ยไปส่งผมหน่อยได้รึเปล่า" หลวงพ่อชอุ่มถามขึ้น
       
       "ก็ว่างอยู่นะครับ หลวงพ่อจะไปไหนล่ะครับ" ผมถามพลางขยับกายลุกขึ้นเตรียมพร้อม
       
       "ไปบ้านโยมที่วังยางน่ะ มีธุระนิดหน่อย" หลวงพ่อชอุ่มตอบ
       
       ผมพยักหน้ารับพร้อมกับเดินเข้าไปรับถุงย่ามของหลวงพ่อชอุ่มมาถือไว้
       
       "งั้นจะไปเลยมั้ยครับ" ผมถาม
       
       "อื้ม! ไปเลย" หลวงพ่อชอุ่มตอบ
       
       บ้านวังยาง เป็นหมู่บ้านที่อยู่ติดกันกับหมู่บ้านที่วัดตั้งอยู่ มีเพียงแม่น้ำสายหลักที่กว้างใหญ่ขวางกั้น เมื่อก่อนหากจะเดินทางไปหมู่บ้านวังยางจะต้องขับรถอ้อมโลก ทั้งที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำแต่กลับใช้เวลาในการเดินทางเกือบชั่วโมงแม้จะเป็นการขับรถก็ตาม แต่ปัจจุบันทางการได้อำนวยความสะดวกสบายโดยการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำขนาดใหญ่ให้ผู้คนสัญจรไปมาได้อย่างไม่เสียเวลา จากที่จะต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมง เราสามารถไปถึงที่หมายโดยใช้เวลาเพียงสิบห้านาทีเท่านั้น
       
       "ว่าแต่หลวงพ่อมีธุระอะไรที่นั่นเหรอครับ" ผมถามหลวงพ่อชอุ่มขณะเรานั่งรถไปด้วยกัน
       
       "จะไปดูโยมสักหน่อย เห็นว่าถูกผีทำ"
       
       ห๊ะ! ผีทำ!! คำตอบนั้นทำเอาผมอยากกระทืบเบรกให้มิดแล้วหักหัวเลี้ยวกลับวัดทันที นี่อะไรกันล่ะครับ ใจคอพวกท่านจะให้ผมอยู่อย่างสบายใจห่างไกลเรื่องผีสางบ้างไม่ได้เลยเหรอครับ มาวัดทีไรไม่เคยหนีพ้นเลยสักที
       
       "ผีอีกแล้วเหรอครับ" ผมโอดครวญเบา ๆ หลวงพ่อชอุ่มถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
       
       สักพักผมก็ขับรถมาถึงจุดหมายตามการนำทางของชอุ่มแมพที่สามารถบอกทางได้อย่างถูกต้องโดยไม่ใช้สัญญาณอินเทอร์เน็ตให้วุ่นวาย

สถานที่ปลายทางเป็นบ้านไม้ยกสูงใต้ถุนเปิดโล่ง ด้านหลังเป็นทางเดินที่ทอดยาวสู่ริมแม่น้ำ แต่ทางเดินนั้นมีสิ่งปลูกสร้างที่ดูคล้ายกับบ้านไม้ทรงไทยขนาดกระทักรัดตั้งขวางทางอยู่
       
       เจ้าของบ้านชายหญิงเดินลงจากบ้านมากราบนมัสการหลวงพ่อชอุ่มตามมารยาท
       
       "นิมนต์บนบ้านเลยครับหลวงพ่อ ช่วยดูให้หน่อยเถอะครับว่ามันเกิดอะไรขึ้น"
       
       หลวงพ่อชอุ่มพยักหน้ารับแล้วเดินขึ้นบ้านไป ผมก็เดินตามท่านต้อย ๆ อย่างเสียมิได้เพราะตัวเองมีหน้าที่สะพายย่ามของท่านอยู่
       
       บนบ้านหน้าต่างทุกบานถูกเปิดทำให้แสงสว่างจากด้านนอกสาดส่องเข้ามาในตัวบ้าน ความมืดมิดอึมครึมอับชื้นอึดอัดของตัวบ้านที่ผมคิดไว้ว่าจะต้องมีกลับไม่เป็นดังคาด มันโอ่โถงโล่งสบายหายใจหายคอสะดวก
       
       ตรงกลางบ้านมีเตียงที่คล้ายกับเตียงผู้ป่วยตามโรงพยาบาลที่เรา ๆ ท่าน ๆ คุ้นตา บนเตียงร่างของหญิงชรานอนมองมาทางผมกับหลวงพ่อชอุ่ม ทั้งแขนและขาของแกถูกมัดติดกับขอบเตียงที่เป็นเหล็กด้วยผ้า หลวงพ่อชอุ่มเดินตรงไปที่นั่นทันที
       
       "เป็นยังไงบ้างโยม" หลวงพ่อชอุ่มถาม
       
       "ก็แย่เลยเจ้าค่ะหลวงพ่อ ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย" หญิงชราตอบ
       
       ผมก็อ้าว! ไม่ใช่ว่าแกจะคุ้มคลั่งจนไร้สติพูดจาไม่รู้เรื่องดอกหริอถึงได้มันกันไว้จนแน่นหนาแบบนั้น ผีทำผีเข้ามันต้องร้องโหวกเหวกโวยวายตาขวางแลบลิ้นปลิ้นตาด่าทอไม่ใช่เหรอครับ แล้วนี่อะไร พูดจาโต้ตอบอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนคนปกติธรรมดานี่นา
       
       "ไหนขอดูหน่อย" หลวงพ่อชอุ่มหันไปพูดกับชายวัยกลางคน
       
       เขาพยักหน้ารับคำแล้วบรรจงแกะผ้าที่มัดแขนมัดขาของหญิงชราออก เมื่อหลุดพ้นจากพันธนาการร่างที่ผ่ายผอมของหญิงชราก็เริ่มสั่นเทิ้มขึ้นทีละน้อย จากนั้นก็รุนแรงขึ้น แขนขาฟาดไปมาในอากาศสะเปะสะปะ บางครั้งก็กระทบกับของเตียงที่เป็นเหล็กดังสนั่น ด้วยเสียงที่ดังขนาดนั้นผมว่าเนื้อหนังของแกต้องมีเขียวช้ำบ้างไม่มากก็น้อย
       
       "เอาล่ะพอแล้ว" หลวงพ่อชอุ่มบอกชายวัยกลางคนจึงจัดการเอาผ้ามัดแขนขาไว้เช่นเดิม แต่ด้วยความรุนแรงของการดิ้นมันจึงทุลักทุเลอย่างที่สุด
       
       "โอย! ทิดมาช่วยกันหน่อยไม่ไหว ๆ ทำไมวันนี้ดิ้นแรงกว่าทุกครั้งล่ะเนี่ยแม่!!" ชายวัยกลางคนส่งเสียงขอความช่วยเหลือมาทางผม
       
       เมื่อเห็นว่าเป็นดังนั้นผมจึงตรงเข้าไปช่วยจับแขนไว้อีกแรง ผมแอบชำเรืองมองหน้าหญิงชราคนนั้นแวบหนึ่ง แกร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมาอย่างน่าเวทนา ผมว่าเธอคงได้รับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสทีเดียวล่ะครับกับอาการประหลาดที่กำลังเป็นอยู่นี้
       
       "เอายังไงดีครับหลวงพ่อ พอจะช่วยเหลือแก้ไขอะไรได้มั้ยครับ" ชายวัยกลางคนถามหลังจากเราสองคนมัดแม่ของเขาเรียบร้อย แววตาที่เขามองร่างที่ผอมแห้งของมารดามันแสดงออกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวดวงแดอย่างเห็นได้ชัด
       
       "เราลงไปคุยกันข้างล่างเถอะ" หลวงพ่อชอุ่มบอก
       
       เมื่อพวกเราลงมาข้างล่าง หลวงพ่อชอุ่มก็นำไปยังทางเดินที่ทอดสู่ริมน้ำด้านหลังบ้าน ท่านเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเรือนไทยไซส์มินิที่ตั้งตระหง่านขวางทางอยู่แล้วพูดขึ้น
       
       "อย่างแรกเลยนะ เอาเรือนหลังนี้ออกไปจากตรงนี้ก่อน"
       
       จากนั้นท่านก็เดินกลับมาที่ตัวบ้าน
       
       "แล้วก็นะ ศาลพระภูมิใครเค้าให้ตั้งขวางร่องน้ำแบบนี้" หลวงพ่อชอุ่มบอก
       
       จากที่ผมจับใจความได้คร่าว ๆ คือเรือนไทยหลังนั้นถูกนำมาตั้งขวางทางไว้เนื่องจากมีร่างทรงมาทัก ว่าถ้าหากอยากให้เงินทองที่หามาได้ไม่ขาดมือให้หาศาลเพียงตาหรือไม่ก็บ้านน็อคดาวน์หลังเล็ก ๆ มาตั้งขวางทางเดินที่ตรงไปยังแม่น้ำไว้ เป็นเคล็ดว่าเงินทองที่รั่วไหลลงสู่แม่น้ำนั้นจะได้ถูกบ้านหรือศาลดักเอาไว้ให้
       
       ทางชายเจ้าของบ้านก็หลงเชื่อแบบหัวปักหัวปำออกไปตระเวณหาซื้อศาลเพียงตามาตั้งไว้ตามคำแนะนำ แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่ได้จนในที่สุดก็ไปคว้าเอาบ้านน็อกดาวน์หลังนี้มาจากจังหวัดแพร่ในราคาหลายหมื่นบาท
       
       ส่วนศาลพระภูมินั้น แต่ดังแต่เดิมมันไม่ได้ตั้งอยู่ตรงที่ ๆ เห็นกันในปัจจุบัน มันเป็นเพียงศาลหลังเก่าที่ทำจากปี๊บ ด้วยว่ากาลเวลาผ่านเลยแดดฝนโลมเลียสนิมจึงกัดกล่อนจนปี๊บนั้นเป็นรูโหว่ เสาไม่ที่เป็นฐานก็เริ่มผุกร่อน
       
       ร่างทรงที่เคยบอกเรื่องให้ตั้งศาลขวางริมน้ำแล้วยังมาทักเรื่องศาลพระภูมิที่เก่าคร่ำคร่านั้นอีก เจ้าของบ้านจึงทำการเปลี่ยนศาลพระภูมิให้และยังโยกย้ายตำแหน่งที่ตั้งตามที่ร่างทรงบอก
       
       เพียงแค่เดือนแรกแม่ของเขาก็เริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ นานวันเข้าอาการป่วยไข้ก็ยิ่งหนักขึ้นไม่ว่าจะพาไปรักษาที่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้นเลยกลับนิ่งทรุดลงจนน่าเป็นห่วง สุดท้ายจึงได้หันหน้ามาพึ่งหลวงพ่อชอุ่มอย่างที่เห็น
       
       "ทางเดินที่โยมเอาบ้านไปตั้งขวางไว้น่ะ มันเป็นทางที่คนโบร่ำโบราณเค้าใช้สัญจรตั้งแต่อดีต เมื่อจู่ ๆ ทางที่เค้าเคยเดินไปมาทุกวี่วันมีอะไรมาตั้งขวางกั้นจนทำให้ไม่สามารถผ่านได้อย่างสะดวกเช่นเดิมเค้าก็โกรธเอาน่ะสิ ทางเดินแบบนี้ย่ะนะโบราณเค้าถือ คนไม่เดินผีก็เดิน อย่าเอาอะไรไปตั้งให้เกะกะ มันไม่ดี" หลวงพ่อชอุ่มบอก
       
       
(มีต่อครับ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่