จากคำถามว่าผีมีจริงไหม จนต้องไปสัมผัสด้วยตัวเอง กลางป่าช้า

ผีมีจริงไหม???...
https://youtu.be/KNKoRu93254?si=dgh7WfmavM_ygZn6
เราเคยเอาคำถามชวนสงสัยเหล่านี้ ไปถามพระรูปหนึ่ง คือตาเราเอง เมื่อก่อนท่านเป็นครูเกษียรไปบวชที่วัดดังแห่งหนึ่งทาง จ.มุกดาหาร เป็นวัดป่า หลังจากท่านครองผ้าเหลืองได้ประมาณ10พรรษา ลูกหลานก็ได้ไปนิมนต์ท่านให้มาอยู่ที่วัดไกล้บ้าน เพราะท่านอายุมากแล้วจะได้ดูแลท่านสะดวก และลูกหลานจะได้ทำบุญกับท่านบ่อยๆ 
แต่บังเอิญวัดป่าแถวหมู่บ้านไม่มี มีแต่วัดบ้าน ซึ่งกิจของวัดบ้านกับวัดป่าข้อนข้างที่จะต่างกัน ญาติๆก็เลยไปขอทางชุมชนว่างั้นขอไปสร้างกุฏิเล็กๆซักหลังแบบพักชั่วคราวในป่าช้าได้ไหม ชาวบ้านก็เห็นชอบและช่วยกันสร้างกุฏิจนเสร็จ 
  และพอดีช่วงนั้นเราเดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน ได้ข่าวว่าหลวงตาท่านกลับมาอยู่หมู่บ้านก็เลยแวะเข้าไปเยี่ยมถามสารทุกสุขดิบตามประสาหลานคนหนึ่ง และตอนที่ท่านไปบวช ที่มุกดาหารใหม่ๆ เราเคยไปคอยรับใช้ท่านในช่วงปิดเทอมด้วย พอเจอหลวงตาเราก็ก้มกราบ พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย แล้วเราก็ถามหลวงตาแบบหยอกๆว่า มาอยู่ซะกลางป่าช้าเลยหลวงตาไม่กลัวผีเหรอครับ555+ หลวงตาก็รับมุขผีบ่กลัวหรอก กลัวแต่คนนั่นล่ะ555+ จากนั้นเราก็ถามหลวงตาว่า หลวงตาครับผีมีจริงไหมครับ
ท่านก็ตอบว่า ถ้าบอกว่ามีจริงจะเชื่ออยู่บ่ หรือถ้าตอบว่าไม่มีก็จะเชื่อหลวงตาอยู่บ่ หลวงตาบอกบ่ได้ดอก เรื่องแบบนี้มันต้องสัมผัสเอง แล้วหลวงตาก็ชวนเราบวช คือท่านชวนเราบวชบ่อยมาก เจอหน้ากันทีไรจะชวนบวชทุกที เราก็ปฏิเสธทันที โอ้หลวงตากิเลสผมยังหนาอยู่ครับ555+ หลวงตาก็หัวเราะ แล้วก็นั่งนิ่งไปซักพัก ท่านก็พูดว่า ถ้าอยากรู้ว่าผีมีจริงหรือไม่ คืนนี้มานอนที่นี่สิ ที่กุฏิหลวงตาซักคืนสิ แล้ววันนั้นเราก็บ้าบิ่นอะไรไม่รู้ เราก็ตอบรับคำชวนหลวงตาเฉยเลย  
คืนนั้นเราก็หอบที่นอนหมอนมุ้ง ไปนอนที่ระเบียงกุฏิหลวงตา ที่ตั้งอยู่ในป่าช้าไม่มีไฟฟ้า มีแต่แสงสว่างจากเทียน ส่วนหลวงตาท่านก็อยู่ในห้อง  ระหว่างที่กำลังเตรียมที่นอน หลวงตาก็เปิดประตูออกมาถามเราว่านอนได้ไหมล่ะ เราก็ตอบว่าได้ครับ แต่แปลกที่ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรเลย แต่กลับรู้สึกว่าอากาศดีมากๆ คือรอบๆกุฏิสะอาดมากๆไม่รก เต็มไปด้วยต้นไม้ มีเสียงจี้งหรีด เสียงแมลงร้องแข่งกัน  แถมอากาศเย็นสบาย จนลืมไปเลยว่าเราอยู่ในป่าช้า
อ่ะงั้นก็รีบนอนนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปบินฑบาตร หลวงตาท่านพูดแล้วก็เดินลงจากกุฏิไปเดินจงกลม 
ส่วนเราหลังจากเตรียมที่นอนเสร็จ ก็คุยโทรศัพท์กับแฟนพักใหญ่ๆก็วางสาย ไหว้พระสวดมนต์แล้วก็จะนอน แต่ระหว่างที่กำลังจะนอน หลวงตาก็เดินขึ้นมาบนกุฏิพอดี แล้วก็บอกให้เรานั่งสมาธิก่อนค่อยนอน เราก็ครับๆแล้วรีบลุกขึ้นมานั่ง ส่วนท่านก็เดินเข้าห้องแล้วปิดประตู เรื่องการนั่งสมาธิก็พอมีพื้นฐานอยู่บ้าง เพราะสมัยไปอยู่กับท่านที่วัดเก่า ก็เคยปฏิบัติ แต่หลังจากนั้นก็ไม่เคยทำอีกเลย หลังจากนั่งสมาธิไม่รู้ว่านานแค่ใหน ก็รู้สึกว่าร่างกายมันเบาไปหมด ไม่รู้สึกปวดเมื่อยหรือง่วงเลย หลังจากนั้นรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดที่ตรงกลางหน้าผาก แล้วภาพต่างๆมันก็วาปเข้ามาในหัว เห็นเมืองเก่า ซากวัดเก่าร่องรอยถูกเผา เห็นภูเขาไฟไหม้ ตัดมาเป็นฉากๆ แต่มันสนุกมากเลย พาเราเพลิดเพลินยังไงไม่รู้  แล้วหลังจากนั้นภาพต่างๆก็หายไป แต่กลับได้ยินเสียงคนคุยกัน ซุบซิบๆ ความรู้สึกไม่ใช่แค่คน2คน แต่เสียงเหมือนคนกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูเราแล้วก็พยายามพูดกับเรา มีเสียงเด็กวิ่งแล้วก็หัวเราะเหมือนกำลังวิ่งเล่นหยอกกันอย่างสนุกสนาน ซักพักมีกลิ่นอาหารลอยมา เหมือนมีคนกำลังทำอาหาร ทำไมเรารู้สึกเหมือนกำลังอยู่กลางหมู่บ้านเล็กๆ แต่ความรู้สึกตอนนั้นเฮ้ยมันรู้สึกสนุกเพลิดเพลิน ไม่อยากลืมตาเลย อยากนั่งต่อและอยากเห็นว่า
สิ่งที่เรารู้สึกมันใช่ไหม เราก็นั่งต่อไปเรื่อยๆภาพต่างๆมันก็สลับเข้าสลับออกเหมือนเรากำลังดูหนังแล้วเราอยู่ในฉากยังไงยังงั้นเลย นี่จิตเรากำลังปรุงแต่งอยู่รึเปล่า หรือว่าเรากำลังฝัน แต่มันเพลิดเพลินมาก นั่งต่อไปซักพัก เราก็เห็นเด็กมายืนชะเง้อตรงระเบียงเหมือนพยายามจะส่องดูเรา อีกทางก็เห็นผู้หญิงใส่ชุดชาวบ้านธรรมดาๆหัวกับตัวโผล่มาจากฝาห้องของหลวงตากำลังร้องให้ ฮือๆๆๆๆแล้วมองมาที่เรา  อยู่ๆก็มีเสียงแหลมๆ วี๊ดๆๆๆๆลอยมา  ด้านล่างกุฏิก็มีกลุ่มคนใส่ชุดขาวกำลังเดินวนรอบกุฏิ คล้ายๆเดินจงกลม 
โอ้แม่เจ้านี่มันคืออะไร สิ่งที่เห็นในสมาธิตอนนี้มันคืออะไร จากที่กำลังเพลิดเพลินกลับกลายเป็นเริ่มกลัว พยายามจะลืมตาตื่นจากสมาธิก็ทำไม่ได้เหมือนโดนกดเอาไว้ ภาพเด็กมาชะเง้อมองที่ระเบียง ผู้หญิงร้องให้ที่โผล่มาแค่ครึ่งตัวก็ยังอยู่ๆ เสียง วี๊ดๆๆๆๆๆๆก็ถี่ขึ้นๆ กลุ่มคนใส่ชุดขาวก็เดินวนกุฏิอยู่เหมือนเดิม เราก็พยายามที่จะหลุดออกมาให้ได้ แต่ก็ไม่ได้ พยายามต่อไปอีกซักพักก็ลืมตาหลุดออกมาได้ เพราะได้ยินเสียงหลวงตาแว่วมาว่า ตื่นได้แล้ว ไปล้างหน้าล้างตาเตรียมตัวไปบิณฑบาตร เราก็สะดุ้งลืมตาขึ้น คือเรายังอยู่ในท่านั่งสมาธิอยู่เลย แล้วเราก็หยิบมือถือมาดูเวลา เฮ้ย!!!! ตี4กว่าๆแล้ว จำได้ว่าตอนเริ่มนั่งมันแค่2ทุ่มกว่าๆเอง อิหยังวะ แล้วที่เห็นในตอนที่นั่งคืออะไร คำถามมาเต็มหัวเลย
 หลังจากหลวงตาฉันข้าวเสร็จ เราก็รับบาตรไปล้าง แล้วนำกลับมาถวายท่าน ก่อนจะกล่าวลาท่าน คือคืนนี้เราต้องเดินทางกลับกรุงเทพแล้ว เราก็เล่าเรื่องที่นั่งสมาธิเมื่อคืนให้ท่านฟังว่าสนุกมากไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แบบนี้เขาเรียกว่าอะไรครับ ท่านก็ชมเราว่าเก่งนะนั่งแป็บเดียวก็ได้ขนาดนี้ละ บางคนเขาฝึกกันเป็นชาติก็ไม่ได้ มาบวชไหม เอาอีกละชวนบวชอีกละ555+
ท่านก็พูดต่อว่า แต่อย่าไปยินดีกับมันล่ะ มันเป็นแค่กลลวงให้เราหลง แล้วท่านก็พูดมันเป็นภาษาข้อนข้างจะลึกลับนิดนึง เอาเป็นว่าสรุปคือ เมื่อจิตเราสงบ หรือหลุดลึกลงไประดับหนึ่ง เราจะมองเห็นหรือสามารถสื่อกับอีกโลกหนึ่งได้ หรือที่บางคนเรียกเมืองลับแล โลกคู่ขนาน หรือโลกวิญญาณ แล้วแต่จะเรียก แต่เรื่องแบบนี้จะเอาไปพูดอวด พูดมั่วๆไม่ได้ มันต้องสัมผัสเอง ส่วนจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่ก็เอาสิ่งที่สัมผัสได้ไปพิจารณาเอาเอง 
แต่ที่หลวงตาเห็น เขามาทุกวัน ไม่ว่าจะเด็กที่อยู่ตรงระเบียง ผู้หญิงที่ชอบมาร้องไห้ เสียงเปรตมาขอส่วนบุญ คือเสียง วี๊ดๆๆๆนั่นแหละ หรือคนนุ่งขาวห่มขาว หรือมากกว่านั้น เขามากันทุกวัน เจอตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่แล้ว วันแรกมานั่งกราบกันเต็มลาน เขาดีใจที่หลวงตามาอยู่ที่นี่ หลวงตาก็แผร่เมตตาให้พวกเขาประจำ เขาอยู่กันเป็นหมู่บ้าน 
เราได้ฟังก็ถึงกับอึ่ง... แต่เอ่อหลวงตาครับ เมื่อคืนผมเห็นในสมาธิแบบหลวงตาพูดเลยครับ คือเรายังไม่ได้เล่าให้หลวงตาฟังเลยนะว่าเราเห็นอะไรในนิมิตรบ้าง และตอนที่หลวงตาปลุกเรา คือเราได้ยินเสียงก้องในสมาธิด้วย ไม่ใช่ว่าท่านมายืนปลุกเรา
 กลับถึงบ้านด้วยความตื่นเต้นกับประสบการณ์แปลกใหม่ เราก็เอาเรื่องนี้ไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง ส่วนพ่อก็เล่าให้ฟังว่า รู้ไหมไม้ที่ใช้สร้างกุฏิน่ะ ชาวบ้านเขาช่วยกันขนมาจากวัดในหมู่บ้าน เป็นไม้เก่าจากศาลาพักศพหลังเก่าที่รื้อเก็บไว้ ส่วนฝาผนังห้องบนกุฏิไม้แป้นมันไม่พอก็เลยไปเอาฝาโลงศพมาปิดเพิ่ม ตอนแรกก็แอบคิดหนักอยู่ว่าหลวงตาจะอยู่ได้ไหม เพราะมีพระหลายรูปมาปักกรตที่ป่าช้านี้ อยู่ได้แค่คืนเดียวก็หนีหายละ 
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันเกินคำบรรยาย ถ้าเอาไปเล่าให้ใครฟังเขาก็คงจะหาว่าเราบ้า เหมือนกับที่หลวงตาบอกเรานั่นแหละ ว่าของแบบนี้มันต้องสัมผัสเอง หลวงตาท่านอยู่ที่ป่าช้าได้ประมาณ1ปี ลูกชายท่านก็ซื้อที่ดินให้สร้างวัด แต่เป็นวัดเล็กๆมีแค่กุฏิหลังเดียว เป็นทั้งศาลา หอฉัน ทั้งที่นอน มีคนมาขอสร้างนู่นนี่นั่น แต่ท่านไม่เอา มาขอสร้างวัตถุมงคลท่านก็ไม่อนุญาต
หลวงตามรณะภาพไปนานแล้ว วันที่ท่านมรณะภาพ คนแก่ หมู่บ้านเดียวกันและหมู่บ้านไกล้เคียง ต่างพากันมาร่วมงานแล้วก็เล่าให้ญาติๆฟังว่า ฝันว่า ที่วัดหลวงตามีงานมหรสพ ประดับไฟแสงสีเต็มไปหมด แสงส่องทะลุขึ้นฟ้า มองเห็นแต่ไกล ตื่นเช้ามาก็สงสัยในสิ่งที่ฝัน เลยปั่นจักรยานมาดูถึงรู้ว่าหลวงตาท่านจากไปแล้ว 
เรื่องเล่าของเราก็มีประมาณนี้ ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณา เพราะเรื่องแบบนี้มันต้องสัมผัสเอง....จบ
https://youtu.be/KNKoRu93254?si=dgh7WfmavM_ygZn6
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่