A คือ ผู้ให้เช่า
B คือ ผู้เช่าในสัญญาเช่า เป็นคนเซ้งร้านต่อให้ C ปัจจุบันติดต่อไม่ได้แล้ว
C คือ มาเสียบแทน B โดยที่ A ไม่รู้ โดน B หลอกให้เซ้งร้าน (นาย A ไม่รู้ว่า นาย C ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน)
เรื่องค่อนข้างซับซ้อนครับ สรุปคร่าวๆ ประมาณนี้ครับ
A ให้ B เช่าอาคารเพื่อเปิดร้านอาหาร ในสัญญาเช่าข้อนึงระบุไว้ว่าห้ามเซ้ง ห้ามเช่าช่วง ฯลฯ
ก็เป็นร้านอาหารทั่วไป ขายกลางคืน มีขายเหล้า แต่ดูไม่เถื่อนครับ
ตามแผนของนาย A คือ หลังจากนาย B หมดสัญญาเช่าแล้ว นาย A จะทำสำนักงานออฟฟิศ
ก่อนหมดสัญญาเช่า นาย B โทรบอกนาย A ว่าเขาให้นาย C มาจ่ายเงินค่าเช่าแทน เพราะตอนนี้นาย B ถือหุ้นเล็ก นาย C ถือหุ้นใหญ่
จากนั้นก็มีการปรับปรุงอาคาร ซึ่งดูแล้วลงทุนค่อนข้างสูง
ระหว่างปรับปรุงอาคาร ถ้านาย A อยากพูดคุย หรือติดปัญหาอะไรให้บอกนาย C
จากนั้นนาย C เป็นคนโอนค่าเช่าผ่านบัญชีธนาคารให้นาย A ทุกเดือนแทนนาย B (นาย A ไม่เคยเจอกับนาย C)
จากนั้นก็หมดสัญญาเช่า แต่นาย A ก็ให้เช่าต่อครับ (นาย A ไม่ได้รีบทำสำนักงานออฟฟิศ)
หลังจากหมดสัญญาเช่า นาย C ก็จ่ายค่าเช่าให้นาย A มาตลอด << แบบนี้คือการเช่าแบบในทางพฤตินัยใช่ไหมครับ
นาย A มาเห็นอีกทีคือ ร้านเปลี่ยนไป เริ่มเป็นธุรกิจสีเทา คือ มีคาราโอเกะด้านใน มีพนักงานสาวแต่งโป๊เดินในร้าน มีพนักงานสาวเดินออกมากับลูกค้าของร้าน แล้วขับรถไปข้างนอกผ่านไปซัก 1 ชม. ก็ขับรถกลับเข้ามา เดาได้ว่าอาจจะมีการค้าบริการฯ
นาย A ไม่โอเคครับ เลยโทรไปคุยกับนาย C
จากการพูดคุย สรุปได้ว่า นาย C จ่ายเงินค่าเซ้งร้านให้นาย B ส่วนนาย C ไม่รู้รายละเอียดในสัญญาเช่าเลยว่าห้ามเซ้งร้าน
นาย A บอกนาย C ว่า จริงๆ แล้ว ตามแผนคือ หลังจากหมดสัญญาเช่าแล้ว นาย A จะเอาอาคารนี้คืนเพื่อทำสำนักงานออฟฟิศ
นาย C บอกนาย A ว่า เขาโชคร้ายโดนนาย B หลอก เขาหมดไปหลายแสน
นาย A ติดต่อนาย B ไม่ได้แล้วเพราะเขาเปลี่ยนเบอร์มือถือ
นาย C พูดขอร้องนาย A ว่า เขากู้เงินมาลงทุนทำร้านไปหลายแสน จ่ายค่าเซ้งให้นาย B ไปหลายแสน ขอโอกาสเขาคืนทุนก่อนจะได้ไหม ขอเวลา 1-2 ปี
นาย A เห็นใจ เลยให้โอกาสตามที่นาย C ขอ แต่นาย A ก็ไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับนาย C เพราะโควิดระบาดพอดี (ช่วงนี้มีข่าวเจ้าของร้านอาหารกลางคืนติดโควิด)
และสถานการณ์โควิดระบาด ทำให้ร้านโดนมาตรการสั่งปิดร้าน ปิดยาวมาปีกว่า ร้านแทบไม่ได้เปิดเลย
นาย A มองแล้วนาย C เช่าต่อก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย เสียค่าเช่าโดยที่ร้านไม่ได้เปิด และไม่มีวี่แววจะได้เปิดร้านอีกนาน
และ นาย A ก็อยากใช้อาคารมาทำสำนักงานของตัวเอง (นาย A ไม่ได้รีบทำสำนักงาน เพราะนาย A ใช้ที่บ้านเป็นสำนักงานชั่วคราวแบบไม่ทางการ)
นาย A เจรจากับนาย C แต่นาย C เขาพูดทำนองว่าเขาจะไม่ย้ายออกเพราะเขาลงทุนไปเยอะแล้ว ขอโอกาสเขาหน่อย พูดวนไปวนมา
ดูแล้วเริ่มมีปัญหาครับ
กรณีนี้
- นาย C เช่านาย A โดยพฤตินัยใช่ไหมครับ
- ถ้าฟ้องให้นาย C ออก ต้องฟ้องขับไล่หรือบุกรุกครับ ถ้าเป็นบุกรุก คือ แค่บอกตำรวจใช่ไหมครับ
- เป็นคดีแพ่งหรืออาญาครับ
- นาย A ต้องฟ้องใคร ครับ นาย C หรือ นาย B
- นาย A ควรทำอย่างไรดีครับ มีวิธีเจรจาให้มันง่ายกว่าการฟ้องไหมครับ
- ถ้าต้องฟ้องนาย C จะรู้ได้อย่างไรว่านาย C เป็นใคร (นาย A แค่เคยคุยกับนาย C ทางมือถือ ไม่เคยเจอกัน)
ขอบคุณครับ
ให้เขาย้ายออกแต่เขาไม่ย้ายออกเจรจาอย่างไรดีครับ กรณีนี้ ฟ้องขับไล่ หรือ บุกรุก / แพ่ง หรือ อาญา / ฟ้องใคร ครับ
B คือ ผู้เช่าในสัญญาเช่า เป็นคนเซ้งร้านต่อให้ C ปัจจุบันติดต่อไม่ได้แล้ว
C คือ มาเสียบแทน B โดยที่ A ไม่รู้ โดน B หลอกให้เซ้งร้าน (นาย A ไม่รู้ว่า นาย C ว่าเป็นใคร ชื่ออะไร บ้านอยู่ไหน)
เรื่องค่อนข้างซับซ้อนครับ สรุปคร่าวๆ ประมาณนี้ครับ
A ให้ B เช่าอาคารเพื่อเปิดร้านอาหาร ในสัญญาเช่าข้อนึงระบุไว้ว่าห้ามเซ้ง ห้ามเช่าช่วง ฯลฯ
ก็เป็นร้านอาหารทั่วไป ขายกลางคืน มีขายเหล้า แต่ดูไม่เถื่อนครับ
ตามแผนของนาย A คือ หลังจากนาย B หมดสัญญาเช่าแล้ว นาย A จะทำสำนักงานออฟฟิศ
ก่อนหมดสัญญาเช่า นาย B โทรบอกนาย A ว่าเขาให้นาย C มาจ่ายเงินค่าเช่าแทน เพราะตอนนี้นาย B ถือหุ้นเล็ก นาย C ถือหุ้นใหญ่
จากนั้นก็มีการปรับปรุงอาคาร ซึ่งดูแล้วลงทุนค่อนข้างสูง
ระหว่างปรับปรุงอาคาร ถ้านาย A อยากพูดคุย หรือติดปัญหาอะไรให้บอกนาย C
จากนั้นนาย C เป็นคนโอนค่าเช่าผ่านบัญชีธนาคารให้นาย A ทุกเดือนแทนนาย B (นาย A ไม่เคยเจอกับนาย C)
จากนั้นก็หมดสัญญาเช่า แต่นาย A ก็ให้เช่าต่อครับ (นาย A ไม่ได้รีบทำสำนักงานออฟฟิศ)
หลังจากหมดสัญญาเช่า นาย C ก็จ่ายค่าเช่าให้นาย A มาตลอด << แบบนี้คือการเช่าแบบในทางพฤตินัยใช่ไหมครับ
นาย A มาเห็นอีกทีคือ ร้านเปลี่ยนไป เริ่มเป็นธุรกิจสีเทา คือ มีคาราโอเกะด้านใน มีพนักงานสาวแต่งโป๊เดินในร้าน มีพนักงานสาวเดินออกมากับลูกค้าของร้าน แล้วขับรถไปข้างนอกผ่านไปซัก 1 ชม. ก็ขับรถกลับเข้ามา เดาได้ว่าอาจจะมีการค้าบริการฯ
นาย A ไม่โอเคครับ เลยโทรไปคุยกับนาย C
จากการพูดคุย สรุปได้ว่า นาย C จ่ายเงินค่าเซ้งร้านให้นาย B ส่วนนาย C ไม่รู้รายละเอียดในสัญญาเช่าเลยว่าห้ามเซ้งร้าน
นาย A บอกนาย C ว่า จริงๆ แล้ว ตามแผนคือ หลังจากหมดสัญญาเช่าแล้ว นาย A จะเอาอาคารนี้คืนเพื่อทำสำนักงานออฟฟิศ
นาย C บอกนาย A ว่า เขาโชคร้ายโดนนาย B หลอก เขาหมดไปหลายแสน
นาย A ติดต่อนาย B ไม่ได้แล้วเพราะเขาเปลี่ยนเบอร์มือถือ
นาย C พูดขอร้องนาย A ว่า เขากู้เงินมาลงทุนทำร้านไปหลายแสน จ่ายค่าเซ้งให้นาย B ไปหลายแสน ขอโอกาสเขาคืนทุนก่อนจะได้ไหม ขอเวลา 1-2 ปี
นาย A เห็นใจ เลยให้โอกาสตามที่นาย C ขอ แต่นาย A ก็ไม่ได้ทำสัญญาเช่ากับนาย C เพราะโควิดระบาดพอดี (ช่วงนี้มีข่าวเจ้าของร้านอาหารกลางคืนติดโควิด)
และสถานการณ์โควิดระบาด ทำให้ร้านโดนมาตรการสั่งปิดร้าน ปิดยาวมาปีกว่า ร้านแทบไม่ได้เปิดเลย
นาย A มองแล้วนาย C เช่าต่อก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เลย เสียค่าเช่าโดยที่ร้านไม่ได้เปิด และไม่มีวี่แววจะได้เปิดร้านอีกนาน
และ นาย A ก็อยากใช้อาคารมาทำสำนักงานของตัวเอง (นาย A ไม่ได้รีบทำสำนักงาน เพราะนาย A ใช้ที่บ้านเป็นสำนักงานชั่วคราวแบบไม่ทางการ)
นาย A เจรจากับนาย C แต่นาย C เขาพูดทำนองว่าเขาจะไม่ย้ายออกเพราะเขาลงทุนไปเยอะแล้ว ขอโอกาสเขาหน่อย พูดวนไปวนมา
ดูแล้วเริ่มมีปัญหาครับ
กรณีนี้
- นาย C เช่านาย A โดยพฤตินัยใช่ไหมครับ
- ถ้าฟ้องให้นาย C ออก ต้องฟ้องขับไล่หรือบุกรุกครับ ถ้าเป็นบุกรุก คือ แค่บอกตำรวจใช่ไหมครับ
- เป็นคดีแพ่งหรืออาญาครับ
- นาย A ต้องฟ้องใคร ครับ นาย C หรือ นาย B
- นาย A ควรทำอย่างไรดีครับ มีวิธีเจรจาให้มันง่ายกว่าการฟ้องไหมครับ
- ถ้าต้องฟ้องนาย C จะรู้ได้อย่างไรว่านาย C เป็นใคร (นาย A แค่เคยคุยกับนาย C ทางมือถือ ไม่เคยเจอกัน)
ขอบคุณครับ