(พื้นที่คุ้มครอง Cape Floral Region (South Africa) © Western Cape Nature Conservation Board)
Cape Floral Region ทางตะวันตกเฉียงใต้ของแอฟริกาใต้ เป็นกลุ่มพื้นที่คุ้มครองที่มีพันธุ์พืชสูงที่สุด และเป็นหนึ่งในศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพบนบกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจำนวนพันธุ์พืชที่มากกว่าป่าฝนอเมซอนถึงสามเท่า โดยได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกแห่งที่ 6 ของ UNESCO ในปี 2004 และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวหนึ่งอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนใคร นั่นคือต้องเผาเป็นระยะเพื่อความอยู่รอด
ทั้งนี้ อาณาจักรพฤกษศาสตร์ในโลกมี 6 อาณาจักร ได้แก่ Tundra, Amazon, The Equator, Australia, Patagonia และ New Zealand โดยอาณาจักรที่ 6 คือ Cape Floral Kingdom ที่เป็นอาณาจักรที่เล็กที่สุดในบรรดาอาณาจักรพฤกษศาสตร์ทั้งหมดและมีเพียง 0.03 ของมวลโลก แต่มันเป็นอาณาจักรพืชที่มีความหลากหลายมากที่สุดด้วยจำนวนที่น่าประทับใจกว่า 9000 สายพันธุ์
ตามรายงานของ BBC.com ระบุว่า Cape Floral Kingdom ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของพื้นที่คุ้มครองแปดแห่งที่อยู่นอกเมือง Cape Town ซึ่งมีระบบนิเวศที่ติดไฟได้โดยจะต้องถูกเผาไหม้ทุกๆ 10 - 20 ปี เพื่อให้เมล็ดพืชงอกและทำลายสายพันธุ์ที่รุกรานในสถานที่ และแม้ว่า Cape Floral Kingdom ที่อุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพแห่งนี้กำลังถูกคุกคามด้วยการสูญพันธุ์ในระดับหนึ่งอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์จากพืชเฉพาะถิ่นอย่างน้อย 1,500 ชนิด แต่พื้นที่คุ้มครองเหล่านี้ก็ยังคงอนุรักษ์ระบบนิเวศที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ
Fynbos Biome
ซึ่งคิดเป็นเกือบ 90% ของสายพันธุ์พืชในนิเวศน์วิทยานี้ (7,000 จากทั้งหมด 8,000 ชนิด)
ทำให้ Fynbos เป็นสภาพแวดล้อมความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด ในระดับสายพันธุ์ของโลก
ตัวอย่างที่โดดเด่นของกระบวนการทางนิเวศวิทยา ชีวภาพ และวิวัฒนาการที่สำคัญอย่างต่อเนื่องของพืชทั้งหมดในบริเวณนี้คือ fynbos แปลว่า พุ่มไม้เล็ก ที่ครอบคลุม 80 เปอร์เซ็นต์ของภูมิภาคโดยครอบคลุมมากกว่า 35,000 ตารางไมล์ ที่ปรับตัวเองให้เข้ากับสภาพอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน และไฟเป็นระยะ ๆ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของ Cape Floral Region หรือที่เรียกว่า Fynbos Floral Kingdom
Fynbos นั้นมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่โดดเด่นคือ Fynbos biome หนึ่งในสกุล Protea ที่ดอกมีลักษณะคล้ายดอก Thistle ซึ่งมีการปรับตัวให้เข้ากับไฟและการรบกวนทางธรรมชาติอื่นๆ ดังนั้น สายพันธุ์นี้ถือเป็นระบบนิเวศน์ที่สำคัย และหากไม่มีพวกมันก็จะไม่มีมด หนู หรือนก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการงอกใหม่ของ Fynbos ที่แบกเมล็ดพืชไปทั่วพื้นที่และลงสู่ดินจนเติบโตขึ้น โดยเฉพาะไฟที่มันได้พัฒนาให้เป็นตัวกระตุ้นการงอกใหม่ที่น่าทึ่ง ทั้งนี้ หน่อใหม่ของสกุล Protea จะเริ่มงอกภายในเวลาเพียงห้าวัน
นอกจาก Fynbos biome แล้ว สายพันธุ์ที่พัฒนาไฟเป็นตัวกระตุ้นการงอกใหม่อีกหนึ่งสายพันธุ์คือ Leucodendrons ที่ยังคงต้นได้นานถึง10 ปี ต่อเมื่อไฟไหม้ทำลายพืชเท่านั้นที่จะทำให้กรวยจะเปิดออกและปล่อยเมล็ดเพื่อให้พร้อมสำหรับการงอกใหม่
แอ่งน้ำในพืชพันธุ์ Fynbos มีให้เห็นในอุทยานแห่งชาติ Table Mountain บนคาบสมุทร Cape ของแอฟริกาใต้
(Cr.ภาพ aaprophoto / Getty)
ในหลายปีที่ผ่านมา ไฟป่าถูกจุดขึ้นเป็นระยะๆ ในฤดูร้อนที่แห้งแล้ง โดยมีรายงานว่าจากการจุดไฟส่วนใหญ่ เถ้าที่เกิดจากไฟยังช่วยเพิ่มแร่ธาตุให้กับดินและช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตใหม่ของ Fynbos biome อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้ต้องใช้ปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างทั้ง ความร้อน ความชื้น ควัน และความดันบรรยากาศเป็นตัวกระตุ้นหลัก ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะกระตุ้นการงอก
ในทั้งหมดนี้ ตัวกระตุ้นที่สำคัญที่สุดสำหรับการงอกคือควัน โดยหากเมล็ด Fynbos ที่ถูกหว่านไว้ไม่ได้สัมผัสกับควัน อัตราการงอกสามารถคาดหวังได้แค่10% - 15% แต่เมื่อสัมผัสกับควัน อัตราการงอกจะเพิ่มขึ้นถึง 95% ซึ่งในทางนิเวศวิทยา หากอาณาจักรดอกไม้ต้องการควันเพื่อการงอกที่ประสบความสำเร็จ การติดไฟได้ก็มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสายพันธุ์ของอาณาจักรนั้นในอนาคต
นอกจากไฟจะกระตุ้นการงอกของเมล็ด Fynbos แล้ว ด้านนิเวศวิทยายังรวมถึงการจัดการโรคด้วย โดยในพื้นที่ของ Protea และ Leucodendron spp.
มีการแพร่กระจายของเชื้อราและการติดเชื้อแบคทีเรียในเฟิร์นปะการัง ซึ่งปกคลุมพื้นที่ลาดทางตอนใต้เป็นส่วนใหญ่ โดยไฟจะเผาไหม้พืชติดเชื้อเหล่านี้ไปด้วย กล่าวโดยสรุปคือ Fynbos ได้วิวัฒนาการให้โดนเผาเพื่อเติมพลังให้เกิดใหม่
พืช Fynbos เติบโตบนดินที่มีทรายที่มีธาตุอาหารต่ำ พืชเหล่านี้ได้รับการดัดแปลงเป็นพิเศษเพื่อให้อยู่รอดภายใต้สภาวะเหล่านี้ และเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากดินที่เบาบาง ทำให้พืชหลายชนิดที่เกิดขึ้นในจุดที่มีความหลากหลายทางชีวภาพนี้ไม่อร่อย แต่สัตว์หลายชนิดก็ยังอยู่รอดที่นี่ โดยกินน้ำหวานจากดอกไม้ และเมล็ดพืชหลากหลายชนิด
ทั้งนี้ใน Fynbos biome มีสัตว์นักล่าขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ตัว มันจึงหมายความว่ามีการควบคุมจากล่างขึ้นบน ซึ่งหากพืชตายหมด เช่น หลังจากไฟไหม้ สัตว์จำนวนมากจะต้องทนทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากการหยุดชั่วคราวของพืชอาหาร
ปัจจุบัน ความท้าทายด้านการจัดการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ต้องเผชิญของที่นี่คือ ชนิดพันธุ์ต่างถิ่นที่รุกรานและไฟที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยบางพื้นที่เกิดบ่อยเกินไปและในบางพื้นที่ไม่ได้ถูกเผาเป็นเวลาเกือบ 3 ทศวรรษ ซึ่ง Fynbos ต้องการไฟอย่างมากในการฆ่าเชื้อและเติมพลังให้กับพื้นที่ขนาดใหญ่ตามแนวเทือกเขา Outeniqua
ส่วนภัยคุกคามระยะยาวรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแรงกดดันด้านการพัฒนาที่เกิดจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทร Cape และตามแนวชายฝั่งบางแห่ง ซึ่งภัยคุกคามเหล่านี้เป็นที่เข้าใจดีและได้รับการแก้ไขแล้ว ในการวางแผนและการจัดการพื้นที่คุ้มครอง
และเขตกันชน โดยสปีชีส์ที่รุกรานกำลังถูกจัดการด้วยโปรแกรมควบคุมด้วยตนเอง ซึ่งจะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับส่วนอื่นๆ ของโลกด้วย
Cr.
https://weather.com/science/nature/news/2019-03-06-south-africa-cape-floral-kingdom-plants-burn-to-survive / By Pam Wright
Cr.
https://whc.unesco.org/en/list/1007/
Cr.
https://safoodwebs.weebly.com/fynbos.html
Cr.
https://www.weareafricatravel.com/conservation/conservation-wildfire/
Cr.
http://pza.sanbi.org/vegetation/fynbos-biome
Cr.
https://gardenroutetrail.wordpress.com/2018/11/04/flaming-fynbos-in-the-garden-route/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
อาณาจักรดอกไม้ที่เกิดขึ้นจากเถ้าถ่านของแอฟริกาใต้
ทั้งนี้ อาณาจักรพฤกษศาสตร์ในโลกมี 6 อาณาจักร ได้แก่ Tundra, Amazon, The Equator, Australia, Patagonia และ New Zealand โดยอาณาจักรที่ 6 คือ Cape Floral Kingdom ที่เป็นอาณาจักรที่เล็กที่สุดในบรรดาอาณาจักรพฤกษศาสตร์ทั้งหมดและมีเพียง 0.03 ของมวลโลก แต่มันเป็นอาณาจักรพืชที่มีความหลากหลายมากที่สุดด้วยจำนวนที่น่าประทับใจกว่า 9000 สายพันธุ์
ตามรายงานของ BBC.com ระบุว่า Cape Floral Kingdom ซึ่งเป็นกลุ่มหนึ่งของพื้นที่คุ้มครองแปดแห่งที่อยู่นอกเมือง Cape Town ซึ่งมีระบบนิเวศที่ติดไฟได้โดยจะต้องถูกเผาไหม้ทุกๆ 10 - 20 ปี เพื่อให้เมล็ดพืชงอกและทำลายสายพันธุ์ที่รุกรานในสถานที่ และแม้ว่า Cape Floral Kingdom ที่อุดมสมบูรณ์ทางชีวภาพแห่งนี้กำลังถูกคุกคามด้วยการสูญพันธุ์ในระดับหนึ่งอย่างน้อย 70 เปอร์เซ็นต์จากพืชเฉพาะถิ่นอย่างน้อย 1,500 ชนิด แต่พื้นที่คุ้มครองเหล่านี้ก็ยังคงอนุรักษ์ระบบนิเวศที่น่าสนใจทางวิทยาศาสตร์เป็นพิเศษ
Fynbos นั้นมีหลายสายพันธุ์ แต่ที่โดดเด่นคือ Fynbos biome หนึ่งในสกุล Protea ที่ดอกมีลักษณะคล้ายดอก Thistle ซึ่งมีการปรับตัวให้เข้ากับไฟและการรบกวนทางธรรมชาติอื่นๆ ดังนั้น สายพันธุ์นี้ถือเป็นระบบนิเวศน์ที่สำคัย และหากไม่มีพวกมันก็จะไม่มีมด หนู หรือนก ซึ่งมีส่วนสำคัญในการงอกใหม่ของ Fynbos ที่แบกเมล็ดพืชไปทั่วพื้นที่และลงสู่ดินจนเติบโตขึ้น โดยเฉพาะไฟที่มันได้พัฒนาให้เป็นตัวกระตุ้นการงอกใหม่ที่น่าทึ่ง ทั้งนี้ หน่อใหม่ของสกุล Protea จะเริ่มงอกภายในเวลาเพียงห้าวัน
นอกจาก Fynbos biome แล้ว สายพันธุ์ที่พัฒนาไฟเป็นตัวกระตุ้นการงอกใหม่อีกหนึ่งสายพันธุ์คือ Leucodendrons ที่ยังคงต้นได้นานถึง10 ปี ต่อเมื่อไฟไหม้ทำลายพืชเท่านั้นที่จะทำให้กรวยจะเปิดออกและปล่อยเมล็ดเพื่อให้พร้อมสำหรับการงอกใหม่
(Cr.ภาพ aaprophoto / Getty)
ในทั้งหมดนี้ ตัวกระตุ้นที่สำคัญที่สุดสำหรับการงอกคือควัน โดยหากเมล็ด Fynbos ที่ถูกหว่านไว้ไม่ได้สัมผัสกับควัน อัตราการงอกสามารถคาดหวังได้แค่10% - 15% แต่เมื่อสัมผัสกับควัน อัตราการงอกจะเพิ่มขึ้นถึง 95% ซึ่งในทางนิเวศวิทยา หากอาณาจักรดอกไม้ต้องการควันเพื่อการงอกที่ประสบความสำเร็จ การติดไฟได้ก็มีความสำคัญต่อการอยู่รอดของสายพันธุ์ของอาณาจักรนั้นในอนาคต
นอกจากไฟจะกระตุ้นการงอกของเมล็ด Fynbos แล้ว ด้านนิเวศวิทยายังรวมถึงการจัดการโรคด้วย โดยในพื้นที่ของ Protea และ Leucodendron spp.
มีการแพร่กระจายของเชื้อราและการติดเชื้อแบคทีเรียในเฟิร์นปะการัง ซึ่งปกคลุมพื้นที่ลาดทางตอนใต้เป็นส่วนใหญ่ โดยไฟจะเผาไหม้พืชติดเชื้อเหล่านี้ไปด้วย กล่าวโดยสรุปคือ Fynbos ได้วิวัฒนาการให้โดนเผาเพื่อเติมพลังให้เกิดใหม่
ส่วนภัยคุกคามระยะยาวรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และแรงกดดันด้านการพัฒนาที่เกิดจากจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคาบสมุทร Cape และตามแนวชายฝั่งบางแห่ง ซึ่งภัยคุกคามเหล่านี้เป็นที่เข้าใจดีและได้รับการแก้ไขแล้ว ในการวางแผนและการจัดการพื้นที่คุ้มครอง
และเขตกันชน โดยสปีชีส์ที่รุกรานกำลังถูกจัดการด้วยโปรแกรมควบคุมด้วยตนเอง ซึ่งจะถูกใช้เป็นข้อมูลอ้างอิงสำหรับส่วนอื่นๆ ของโลกด้วย
Cr.https://whc.unesco.org/en/list/1007/
Cr.https://safoodwebs.weebly.com/fynbos.html
Cr.https://www.weareafricatravel.com/conservation/conservation-wildfire/
Cr.http://pza.sanbi.org/vegetation/fynbos-biome
Cr.https://gardenroutetrail.wordpress.com/2018/11/04/flaming-fynbos-in-the-garden-route/
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)