อยากขออนุญาตชวนคุย ความรู้สึกหลังจากดูเรื่องนี้ ว่ารู้สึกอย่างไรกันบ้างกับประเด็นต่างๆในเรื่อง
ในฐานะ แฟนคลับของพัคโบกอมและกงยู
ขอบอกว่าอิ่มเอมกับภาพของนักแสดงทั้งสองคนที่มีให้ชมอย่างจุใจ
ทั้งหลงรักและสงสารเจ้าหนูน้อยซอบกมากๆ
เคยเห็นคอมเม้นในยูทูปว่า โบกอมมีสายตาเป็นเอกลักษณ์แบบ Puppy's eyes
แววตาใสซื่อไร้เดียงสา ตอนเดินตลาด นั่งลงดูปลา ชวนให้คิดถึง
สายตาเศร้าสร้อยฟีลแบบหมาน้อยน่าสงสารจากซีรีย์ I remember you /Hello
Monster
ผสมกับความใสซื่อ ไร้เดียงสา ของชเวแท็ค Reply 1988 (โดยเฉพาะตอนที่ให้ดงรยู สอนการใช้เครื่องเล่นซาวอะเบาท์)
ครั้นหนูน้อยซอบกเข้าสู่โหมดเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น ก็ชวนนึกถึงบททนายโรคจิต จาก Hello Monster อีกเช่นกัน
แต่ทั้งเรื่องนี้เพิ่มระดับความน่ารักน่าเอ็นดู และความอาฆาตน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายริกเตอร์
โบกอมเป็นนักแสดงที่มีความหลากหลายบนใบหน้าและแววตาอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
ส่วนอปป้ากงยู ก็มาอย่างเท่เหมือนเช่นเคย เราชอบสีหน้าและแววตกงยูในเรื่องนี้มากๆ
เพราะจากตัวละครทั้งหมดนั้น ดูเหมือนเหลือแค่ กีฮอนคนเดียวที่ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
สีหน้ากีฮอน ตอนได้ยินเรื่องซอบกครั้งแรก รีแอคชั่นประมาณว่า 'มาเล่นตลกอะไรกันเนี่ย?!'
เพราะการรับอารมณ์ของกงยูนี่แหละ สีหน้าแววตาเขา มันเสริมให้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
ฟังแล้วชวนน่าขนลุกว่า นี่เรื่องจริงเหรอ
หรือตอนที่กีฮอนทำหน้าอึ้งๆ หลังจากโดนซอบกพูดตอกหน้าว่า "นี่ก็ไม่ใช่เงินคุณเหมือนกัน!"
แล้วยังสีหน้ากีฮอนตอนรู้ว่าซอบกต้องโดนทำร้ายร่างกายไม่ใช่แค่เดือนเดียวแต่ตลอดไป คือแทนใจคนดูที่สุดแล้ว
เป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่ มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีสติยับยั้งชั่งใจ ละอายต่อบาปต่อความเห็นแก่ตัว
มีความกลัว ความหวั่นไหว ในแววตาเหมือนปุถุชนทั่วๆไป
จะว่าไป การที่ดวงตาของกงยูโตกลมชัดเจนแถมยัง ไม่สมมาตร-สองข้างไม่เท่ากัน
กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบในการถ่ายทอดอารมณ์และเป็นเอกลักษณ์ของกงยูดีเนอะ
ในขณะที่สายตาทุกคนในห้องทดลอง/หัวหน้าอัน/นายใหญ่แทบทุกคนคือ ดูไม่เป็นมนุษย์ไปแล้ว
เหมือนคนบ้าไร้สติ แบบที่กีฮอนว่าไว้จริงๆ ส่วนโบกอม ในบท ซอบก ก็มีสายตาที่ทำให้เราเชื่อได้จริงๆ
ว่าเขามีความกึ่งมนุษย์ กึ่งโคลน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร เหมือนหมาน้อย ขี้สงสัย ขี้กลัว แต่ถ้า
โดรกดดันจนโกรธ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สู้ยิบตาเหมือนสุนัขจนตรอกทีเดียว
ระหว่างดูก็อดคิดไม่ได้ว่า มนุษย์นี่ช่างอำมหิตจริงๆ ขอเถอะ...อย่าริอ่านคิดจะโคลนมนุษย์ขึ้นมาจริงๆเล้ย
เพราะถ้าโคลนจนเกิดขั้นกว่าของความเป็นมนุษย์ ใครจะรับมือความโหดร้ายที่ทวีคูณไหว
แค่นี้ก็ทำลายล้างทั้งธรรมชาติสัตว์ป่าและชั้นบรรยากาศไปนักต่อนักแล้ว
ขณะดูก็สงสารเจ้าสัตว์ทดลองต่างๆที่ถูกโคลนขึ้นมาเพื่อมีชีวิตอยู่แต่ในห้องทดลองด้วย เช่นเจ้าดอลลี่
แกะโคลนตัวแรกของโลก สงสารชีวิตเจ้าแกะน้อยที่มีชีวิตวนอยู่แต่ในห้องทดลอง
และการถูกทำร้ายร่างกายเพื่อทำการทดลอง.... มนุษย์นี่ช่างใจร้ายจริงๆ!!
ดูจบก็เกิดโหมด เอ๊ะ ขึ้นในหัวมากมายอ่ะ จนอยากหาเพื่อนคุย
คนเขียนบท จุดประเด็นเรื่องความตายและความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้น่าสนใจ
ชวนให้สงสัยไปไกลกว่านั้น
หนังชวนเราคิดต่อ แม้จะไม่เอ่ยออกมาในบทสนทนา แต่ก็เหมือนเป็นโจทย์ที่เว้นช่องว่างไว้ให้คนดูมาทำการบ้านต่อ
เติมคำในช่องว่างเองหลังจากดูหนังจบ
สิ่งที่เราสงสัยว่าทำไมไม่มีเลยยยยยยยในบทสนทนาโต้ตอบของทั้งคู่ ก็คือ...
เรื่องของความรัก-ความผูกพัน , ความกลัวการต้องเจ็บปวดทรมานก่อนที่ความตายจะมาถึง
และความเศร้าโศกเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจจากความคิดถึงเมื่อต้องสูญเสียใครสักคนในชีวิตไป
ทั้งหมดนี้คือ แพ็คเกจของการมีชีวิตและการจากลา ไม่ใช่หรือ?
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า กีฮอน ไม่ได้มีโอกาสเล่าให้ซอบกฟัง
จะว่าไป ถ้าซอบก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแต่ความดุร้ายและโหดแบบซอมบี้หรือเชื้อไวรัส
เราคงไม่ลุ้นให้เขามีชีวิตอยู่ต่อขนาดนี้ แต่เป็นเพราะกอมมี่เล่นเป็นซอบกได้น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ
ระหว่างดูจึงเกิดคำถามว่า ถ้าแม่ของหนูน้อยซอบกเสียใจจากความสูญเสียที่อุบัติเหตุทางรถยนต์พรากเธอ
กับสามีและลูกน้อยไป จนโคลนลูกขึ้นมา ทำไมถึงปล่อยให้ลูกน้อยต้องโดนทารุณกรรมในห้องทดลองแบบนี้อะ??!!
ช่างเป็นแม่ที่เลือดเย็นมากๆ แถมคงไม่บอกถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องเกิดมา ว่าเกิดจากความทุกข์ทรมานใจเพราะความคิดถึงลูกที่จากไป ซอบกเลยกลายเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยรับรู้ถึงการเป็นที่รัก และการเป็นคนสำคัญของใครสักคนหนึ่งเลย เหมือนเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครเลยสักคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัวให้ต้องแคร์
มันชวนคิดนะว่า การเลี้ยงเด็กสักคน ถ้าเขาไม่เคยรับรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความสำคัญกับใครสักคน หรือ
มีใครสักคนรักและรอเขาอยู่ งั้นการตายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่น่าวิตกหรือต้องเสียดาย...ใช่รึเปล่า ?
ก็ในเมื่อจะอยู่หรือไปย่อมไม่ต่างกันอยู่แล้วนี่!
นั่นแหละซอบกดูเหมือนถูกสอนมาทางอ้อมให้มองความตายแบบนั้น
คนในห้องทดลองต่างก็ปฏิบัติกับสัตว์ทดลองเสมือนคนไร้หัวใจแบบนั้น
ไม่มีใครเห้นอกเห้นใจใน ความตาย/ความทรมานของสัตว์ทดลอง
ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแยแส ไม่มีใครสักคนนึกถึง ความรู้สึกของสัตว์ทดลองเลย
เอาง่ายๆว่า เหมือนเป็นกลุ่มคนไร้สามัญสำนึกความเป็นมนุษย์รวมตัวกันเพื่อทดลอง
บางอย่าง เพื่อผลประโยชน์ใครบางคนเท่านั้น ทดลองกันกลางทะเลที่กฏหมายสิทธิมนุษยชน
ครอบคลุมไปไม่ถึง ซอบกโดนทำร้ายหัวจิตหัวใจและความรู้สึกขนาดนั้น เขาจึงไม่เก็ทว่าทำไม
กีฮอนถึงกลัวตายนักหนา ก็ชีวิตเขามีแค่กินยา นั่งเหม่อมองรอเวลาผ่านไปเท่านั้น นอนก็นอนไม่ได้
ถ้างั้นการได้ใช้ชีวิต มีอะไรดีๆให้ควรค่ากับการมีชีวิตอยู่รึไง
กีฮอนก็ดันไม่ขยายปมนี้ให้ซอบกน้อยฟัง เพราะกีฮอนก็ตัวคนเดียวโดดๆ ไม่มีครอบครัว คนรัก หรือใครสักคนรอเขากลับไปหา
พอซอบกถามว่า ทำไมถึงต้องอยากมีชีวิตอยู่ด้วยล่ะ คำตอบกีฮอนเลย เหมือนกำปั้นทุบดินง่ายๆ ว่า
"ก็แล้วฉันผิดเหรอ เลวมากเหรอ ถึงไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่?!"
พอกีฮอนไม่ได้เอ่ยถึง ความรู้สึกของคนข้างหลังที่ต้องเผชิญความเศร้า ความสูญเสีย ความคิดถึง มันเลยทำให้ความตายถูกมองแค่มิติเดียวรึเปล่า?
หรือจริงๆแล้วหนังต้องการขมวดปมเหลือไว้แคบๆ ให้เราไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ จึงตัดองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ครอบครัวกีฮอนออกไปหมด
จนเหลือแค่ฮยอนซู ผู้หญิงคนเดียวที่กีฮอนได้ร่วมงานด้วยและโดนฆาตกรรมไปต่อหน้าต่อตา
ดูละแบบอึดอัดในใจ แทนกีฮอน ที่อธิบายหลายๆเรื่องให้ซอบกฟังไม่ได้ ไหนจะเรื่องอิสรภาพ การได้ใช้ชีวิตอีกล่ะ
ถ้าพูดไป ซอบกคงไม่ยอมกลับไปห้องทดลองแน่ๆ คือบทของกงยู เป็นตัวละครที่อยู่ท่ามกลาง Dilemma จริงๆ
ต้องเลือกระหว่างความเห็นแก่ตัว และมโนธรรมในใจ
ตอนที่นักทดลองถามกีฮอนว่า
"นายผูกพันกับมันแล้วเหรอ ?" (ถึงได้เกิดมีมโนธรรมขึ้นมาในใจ ไม่อยากให้ซอบกต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการทดลอง)
เป็นคำถามที่ฟังแล้วน่าสะพรึงมากๆเลย ว่าคนที่เอ่ยประโยคนี้ต่อหน้าเราได้ มันใช่คนป่ะวะ??!!
(พี่กงยูก็หันมาส่งแววตาตอบกลับได้แบบแทนใจคนดูมากมาย)
ฉากนี้เราดูละเกิดคำถามว่า งั้นตอนนี้ในแวดวงการทดลองด้านต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ต้องเลือดเย็นขนาดไหน
จะต้องหักอกหักใจไม่รู้สึกรู้สา เจ็บปวดไปกับสัตว์ทดลองที่ตัวเองต้องผูกพันด้วยเป็นเดือนๆกันเลยเหรอ????
~~~~ ฮือออออ หนังจบแล้ว ไม่มีใครเจ็บปวดแล้ว แต่ทำไม เรายังรู้สึกเจ็บปวด หน่วงและเศร้าในใจ.... ~~~~~~
----------------------ข้างล่างนี้ มีสปอยล์ ------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้แต่จะว่าไปเหมือนบทจงใจเขียนมาให้จบลงแบบนั้น ไม่มีภาคต่ออ่าเนอะ
เหมือนดูรากนครา ที่ยังไงนางเอกต้องตาย เราจะช่วยคิดหาทางลุ้นสักเพียงไร
ให้กีฮอนเก็บซอบกไว้เลี้ยงดูอุ้มชูมันก็ดูอับจนหนทางไปหมด
เพราะด้วยตัวซอบกเองถูกสร้างมาให้แบ่งตัวไปเรื่อยๆ ต้องกินยายับยั้ง
แต่คนดูแลในห้องทดลองก็ไม่มีเหลือแล้ว.....
ชวนคุยหลังดู ซอบก #SEOBOK มนุษย์อมตะ (**Spoiler Alert!!!!)
ในฐานะ แฟนคลับของพัคโบกอมและกงยู
ขอบอกว่าอิ่มเอมกับภาพของนักแสดงทั้งสองคนที่มีให้ชมอย่างจุใจ
ทั้งหลงรักและสงสารเจ้าหนูน้อยซอบกมากๆ
เคยเห็นคอมเม้นในยูทูปว่า โบกอมมีสายตาเป็นเอกลักษณ์แบบ Puppy's eyes
แววตาใสซื่อไร้เดียงสา ตอนเดินตลาด นั่งลงดูปลา ชวนให้คิดถึง
สายตาเศร้าสร้อยฟีลแบบหมาน้อยน่าสงสารจากซีรีย์ I remember you /Hello
Monster
ผสมกับความใสซื่อ ไร้เดียงสา ของชเวแท็ค Reply 1988 (โดยเฉพาะตอนที่ให้ดงรยู สอนการใช้เครื่องเล่นซาวอะเบาท์)
ครั้นหนูน้อยซอบกเข้าสู่โหมดเกรี้ยวกราดอาฆาตแค้น ก็ชวนนึกถึงบททนายโรคจิต จาก Hello Monster อีกเช่นกัน
แต่ทั้งเรื่องนี้เพิ่มระดับความน่ารักน่าเอ็นดู และความอาฆาตน่าเกรงขามขึ้นอีกหลายริกเตอร์
โบกอมเป็นนักแสดงที่มีความหลากหลายบนใบหน้าและแววตาอย่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
ส่วนอปป้ากงยู ก็มาอย่างเท่เหมือนเช่นเคย เราชอบสีหน้าและแววตกงยูในเรื่องนี้มากๆ
เพราะจากตัวละครทั้งหมดนั้น ดูเหมือนเหลือแค่ กีฮอนคนเดียวที่ยังมีความเป็นมนุษย์อยู่
สีหน้ากีฮอน ตอนได้ยินเรื่องซอบกครั้งแรก รีแอคชั่นประมาณว่า 'มาเล่นตลกอะไรกันเนี่ย?!'
เพราะการรับอารมณ์ของกงยูนี่แหละ สีหน้าแววตาเขา มันเสริมให้เรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนั้น
ฟังแล้วชวนน่าขนลุกว่า นี่เรื่องจริงเหรอ
หรือตอนที่กีฮอนทำหน้าอึ้งๆ หลังจากโดนซอบกพูดตอกหน้าว่า "นี่ก็ไม่ใช่เงินคุณเหมือนกัน!"
แล้วยังสีหน้ากีฮอนตอนรู้ว่าซอบกต้องโดนทำร้ายร่างกายไม่ใช่แค่เดือนเดียวแต่ตลอดไป คือแทนใจคนดูที่สุดแล้ว
เป็นตัวละครเดียวในเรื่องที่ มีความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีสติยับยั้งชั่งใจ ละอายต่อบาปต่อความเห็นแก่ตัว
มีความกลัว ความหวั่นไหว ในแววตาเหมือนปุถุชนทั่วๆไป
จะว่าไป การที่ดวงตาของกงยูโตกลมชัดเจนแถมยัง ไม่สมมาตร-สองข้างไม่เท่ากัน
กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบในการถ่ายทอดอารมณ์และเป็นเอกลักษณ์ของกงยูดีเนอะ
ในขณะที่สายตาทุกคนในห้องทดลอง/หัวหน้าอัน/นายใหญ่แทบทุกคนคือ ดูไม่เป็นมนุษย์ไปแล้ว
เหมือนคนบ้าไร้สติ แบบที่กีฮอนว่าไว้จริงๆ ส่วนโบกอม ในบท ซอบก ก็มีสายตาที่ทำให้เราเชื่อได้จริงๆ
ว่าเขามีความกึ่งมนุษย์ กึ่งโคลน ที่ไม่รู้ว่าตัวเองเกิดมาเพื่ออะไร เหมือนหมาน้อย ขี้สงสัย ขี้กลัว แต่ถ้า
โดรกดดันจนโกรธ ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็สู้ยิบตาเหมือนสุนัขจนตรอกทีเดียว
ระหว่างดูก็อดคิดไม่ได้ว่า มนุษย์นี่ช่างอำมหิตจริงๆ ขอเถอะ...อย่าริอ่านคิดจะโคลนมนุษย์ขึ้นมาจริงๆเล้ย
เพราะถ้าโคลนจนเกิดขั้นกว่าของความเป็นมนุษย์ ใครจะรับมือความโหดร้ายที่ทวีคูณไหว
แค่นี้ก็ทำลายล้างทั้งธรรมชาติสัตว์ป่าและชั้นบรรยากาศไปนักต่อนักแล้ว
ขณะดูก็สงสารเจ้าสัตว์ทดลองต่างๆที่ถูกโคลนขึ้นมาเพื่อมีชีวิตอยู่แต่ในห้องทดลองด้วย เช่นเจ้าดอลลี่
แกะโคลนตัวแรกของโลก สงสารชีวิตเจ้าแกะน้อยที่มีชีวิตวนอยู่แต่ในห้องทดลอง
และการถูกทำร้ายร่างกายเพื่อทำการทดลอง.... มนุษย์นี่ช่างใจร้ายจริงๆ!!
ดูจบก็เกิดโหมด เอ๊ะ ขึ้นในหัวมากมายอ่ะ จนอยากหาเพื่อนคุย
คนเขียนบท จุดประเด็นเรื่องความตายและความหมายของการมีชีวิตอยู่ได้น่าสนใจ
ชวนให้สงสัยไปไกลกว่านั้น
หนังชวนเราคิดต่อ แม้จะไม่เอ่ยออกมาในบทสนทนา แต่ก็เหมือนเป็นโจทย์ที่เว้นช่องว่างไว้ให้คนดูมาทำการบ้านต่อ
เติมคำในช่องว่างเองหลังจากดูหนังจบ
สิ่งที่เราสงสัยว่าทำไมไม่มีเลยยยยยยยในบทสนทนาโต้ตอบของทั้งคู่ ก็คือ...
เรื่องของความรัก-ความผูกพัน , ความกลัวการต้องเจ็บปวดทรมานก่อนที่ความตายจะมาถึง
และความเศร้าโศกเจ็บปวดทุกข์ทรมานใจจากความคิดถึงเมื่อต้องสูญเสียใครสักคนในชีวิตไป
ทั้งหมดนี้คือ แพ็คเกจของการมีชีวิตและการจากลา ไม่ใช่หรือ?
ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายว่า กีฮอน ไม่ได้มีโอกาสเล่าให้ซอบกฟัง
จะว่าไป ถ้าซอบก เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีแต่ความดุร้ายและโหดแบบซอมบี้หรือเชื้อไวรัส
เราคงไม่ลุ้นให้เขามีชีวิตอยู่ต่อขนาดนี้ แต่เป็นเพราะกอมมี่เล่นเป็นซอบกได้น่ารักน่าเอ็นดูมากๆ
ระหว่างดูจึงเกิดคำถามว่า ถ้าแม่ของหนูน้อยซอบกเสียใจจากความสูญเสียที่อุบัติเหตุทางรถยนต์พรากเธอ
กับสามีและลูกน้อยไป จนโคลนลูกขึ้นมา ทำไมถึงปล่อยให้ลูกน้อยต้องโดนทารุณกรรมในห้องทดลองแบบนี้อะ??!!
ช่างเป็นแม่ที่เลือดเย็นมากๆ แถมคงไม่บอกถึงสาเหตุที่ทำให้ลูกต้องเกิดมา ว่าเกิดจากความทุกข์ทรมานใจเพราะความคิดถึงลูกที่จากไป ซอบกเลยกลายเป็นเด็กน้อยที่ไม่เคยรับรู้ถึงการเป็นที่รัก และการเป็นคนสำคัญของใครสักคนหนึ่งเลย เหมือนเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีใครเลยสักคนที่คอยเป็นห่วงเป็นใย ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีครอบครัวให้ต้องแคร์
มันชวนคิดนะว่า การเลี้ยงเด็กสักคน ถ้าเขาไม่เคยรับรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความสำคัญกับใครสักคน หรือ
มีใครสักคนรักและรอเขาอยู่ งั้นการตายก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่น่าวิตกหรือต้องเสียดาย...ใช่รึเปล่า ?
ก็ในเมื่อจะอยู่หรือไปย่อมไม่ต่างกันอยู่แล้วนี่!
นั่นแหละซอบกดูเหมือนถูกสอนมาทางอ้อมให้มองความตายแบบนั้น
คนในห้องทดลองต่างก็ปฏิบัติกับสัตว์ทดลองเสมือนคนไร้หัวใจแบบนั้น
ไม่มีใครเห้นอกเห้นใจใน ความตาย/ความทรมานของสัตว์ทดลอง
ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครแยแส ไม่มีใครสักคนนึกถึง ความรู้สึกของสัตว์ทดลองเลย
เอาง่ายๆว่า เหมือนเป็นกลุ่มคนไร้สามัญสำนึกความเป็นมนุษย์รวมตัวกันเพื่อทดลอง
บางอย่าง เพื่อผลประโยชน์ใครบางคนเท่านั้น ทดลองกันกลางทะเลที่กฏหมายสิทธิมนุษยชน
ครอบคลุมไปไม่ถึง ซอบกโดนทำร้ายหัวจิตหัวใจและความรู้สึกขนาดนั้น เขาจึงไม่เก็ทว่าทำไม
กีฮอนถึงกลัวตายนักหนา ก็ชีวิตเขามีแค่กินยา นั่งเหม่อมองรอเวลาผ่านไปเท่านั้น นอนก็นอนไม่ได้
ถ้างั้นการได้ใช้ชีวิต มีอะไรดีๆให้ควรค่ากับการมีชีวิตอยู่รึไง
กีฮอนก็ดันไม่ขยายปมนี้ให้ซอบกน้อยฟัง เพราะกีฮอนก็ตัวคนเดียวโดดๆ ไม่มีครอบครัว คนรัก หรือใครสักคนรอเขากลับไปหา
พอซอบกถามว่า ทำไมถึงต้องอยากมีชีวิตอยู่ด้วยล่ะ คำตอบกีฮอนเลย เหมือนกำปั้นทุบดินง่ายๆ ว่า
"ก็แล้วฉันผิดเหรอ เลวมากเหรอ ถึงไม่มีค่าพอที่จะมีชีวิตอยู่?!"
พอกีฮอนไม่ได้เอ่ยถึง ความรู้สึกของคนข้างหลังที่ต้องเผชิญความเศร้า ความสูญเสีย ความคิดถึง มันเลยทำให้ความตายถูกมองแค่มิติเดียวรึเปล่า?
หรือจริงๆแล้วหนังต้องการขมวดปมเหลือไว้แคบๆ ให้เราไม่ต้องคิดมากขนาดนี้ จึงตัดองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ครอบครัวกีฮอนออกไปหมด
จนเหลือแค่ฮยอนซู ผู้หญิงคนเดียวที่กีฮอนได้ร่วมงานด้วยและโดนฆาตกรรมไปต่อหน้าต่อตา
ดูละแบบอึดอัดในใจ แทนกีฮอน ที่อธิบายหลายๆเรื่องให้ซอบกฟังไม่ได้ ไหนจะเรื่องอิสรภาพ การได้ใช้ชีวิตอีกล่ะ
ถ้าพูดไป ซอบกคงไม่ยอมกลับไปห้องทดลองแน่ๆ คือบทของกงยู เป็นตัวละครที่อยู่ท่ามกลาง Dilemma จริงๆ
ต้องเลือกระหว่างความเห็นแก่ตัว และมโนธรรมในใจ
ตอนที่นักทดลองถามกีฮอนว่า
"นายผูกพันกับมันแล้วเหรอ ?" (ถึงได้เกิดมีมโนธรรมขึ้นมาในใจ ไม่อยากให้ซอบกต้องเผชิญความเจ็บปวดจากการทดลอง)
เป็นคำถามที่ฟังแล้วน่าสะพรึงมากๆเลย ว่าคนที่เอ่ยประโยคนี้ต่อหน้าเราได้ มันใช่คนป่ะวะ??!!
(พี่กงยูก็หันมาส่งแววตาตอบกลับได้แบบแทนใจคนดูมากมาย)
ฉากนี้เราดูละเกิดคำถามว่า งั้นตอนนี้ในแวดวงการทดลองด้านต่างๆที่เกิดขึ้นในโลก นักวิทยาศาสตร์เหล่านั้น ต้องเลือดเย็นขนาดไหน
จะต้องหักอกหักใจไม่รู้สึกรู้สา เจ็บปวดไปกับสัตว์ทดลองที่ตัวเองต้องผูกพันด้วยเป็นเดือนๆกันเลยเหรอ????
~~~~ ฮือออออ หนังจบแล้ว ไม่มีใครเจ็บปวดแล้ว แต่ทำไม เรายังรู้สึกเจ็บปวด หน่วงและเศร้าในใจ.... ~~~~~~
----------------------ข้างล่างนี้ มีสปอยล์ ------------------
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้