คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 11
ขอให้ความเห็นไว้ประมาณนี้นะครับ เป็นความเห็นส่วนตัวจากการได้รับรู้มาจากครูอาจารย์ต่างๆ บ้าง
จากการใช้วิจารณญาณของตัวเองบ้าง ผมไม่มีความรู้ทางตำราอะไรเท่าไหร่นักครับ
- หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนี้ ถูกระบุว่าเป็นเรื่องอจินไตย
ไม่ว่าจะเรื่องวิบากกรรม (กรรมวิสัย) และอื่นๆ
คือ มันมีความซับซ้อนลึกซึ้งมากเกินกว่าสติปัญญาของปุถุชนจะไปเข้าใจได้กระจ่างครับ
- ส่วนเรื่องสภาวธรรมต่างๆ รวมทั้งนิพพาน ก็เป็นเรื่องที่ปุถุชน รู้จากตำรา รู้จากผู้อื่นทั้งนั้นครับ
สิ่งที่เรารู้มา มันอาจจะห่างไกลจากสภาวะจริงๆ มากๆๆๆๆๆ และยากที่จะอธิบาย หรือเข้าใจได้กระจ่างเช่นกัน
เพราะเราล้วนแต่คิดวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส อีกทั้ง มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินสติปัญญาที่เราจะเข้าใจ
และไม่ง่ายที่จะจินตนาการไปถึง
- เวลาผมได้ยินเรื่องราวต่างๆ ทางพุทธ ไม่ว่าจะพุทธประวัติ หรือชาดก หรืออื่นๆ
ผมมักจะไม่ปักใจเชื่อ 100% (มันเป็นนิสัยส่วนตัว)
แต่ผมมักจะหาประโยชน์จากเรื่องพวกนั้นว่า มันให้แง่คิด มันสอนอะไรเรา
ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกันในการที่จะมองเห็นประโยชน์ เห็นโทษในสิ่งต่างๆ
ขอยกตัวอย่างเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายอย่าง องคุลีมาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรือไม่จริง
หรือมีการแต่งเติมหรือไม่ .... ฯลฯ
แต่ละคนที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ก็มีความเห็นแตกยอดออกไปต่างกัน
บางคนก็หยิบเรื่องนี้ไปใช้แบบเกิดประโยชน์ บางคนก็เอาไปใช้แล้วเกิดโทษ เช่น
บางคนเอาไปย้อมใจตัวเองให้ประมาท ทำผิดมากมายไปก่อนไม่เป็นไร
แล้วค่อยทำดีชดใช้ในภายหลังก็ได้ เหมือนที่องคุลีมาลทำ
บางคนได้เรียนรู้ว่า ถึงองคุลีมาลจะสั่งสมบารมีมามากพอจนจะได้บรรลุธรรมในชาติสุดท้าย
แต่ถึงจะมีบารมีมากขนาดนั้น กรรมเก่าก็ส่งผลให้ยังมีความเชื่อผิดๆ โดนหลอก ให้ทำผิดมหันต์ได้
จึงเตือนใจให้เราอย่าประมาทในการฝึกฝนตนเพื่อพ้นไปจากวัฏสงสาร
ไม่ประมาทในการสร้างอกุศลกรรม
บางคนได้เรียนรู้ว่า ปุถุชนแม้จะทำผิดพลาดมหันต์แค่ไหน
ก็สามารถกลับตัวกลับใจได้ เราจึงไม่ควรดูถูก เหยียบย่ำคนที่ทำผิด
ควรให้โอกาส ให้สติปัญญาให้คนทำผิดได้กลับตัวกลับใจ
บางคนได้เรียนรู้ว่า ทุกคนถ้ายังไม่บรรลุธรรม เราก็ยังทำผิดพลาดได้เสมอ
เพราะฉะนั้น เราควรเปิดใจกว้าง ให้อภัยผู้อื่น เข้าใจว่า ทุกคนก็ผิดพลาดกันได้
..... หรือ อื่นๆ บลา บลา
---------------------------------
สรุปในมุมมองผมนะครับ มันไม่แปลกถ้าเราจะสงสัย แล้วมุ่งแสวงหาคำตอบในเรื่องที่เราสนใจ
และบ่อยครั้ง เราก็จะไม่ได้คำตอบสุดท้าย ที่กระจ่างใจเรา 100% ครับ
แต่เรากลับพบว่า ถึงแม้ไม่ได้คำตอบที่ต้องการดั่งใจ 100%
เรากลับได้พบประโยชน์ในระหว่างทางที่เราแสวงหาคำตอบนั้น
เราได้พบมุมมอง แง่คิด หรือ ได้พบว่า
มันมีสิ่งสำคัญอีกหลายอย่างที่เป็น "แก่น" ที่เราให้ความสำคัญมากกว่า
แล้วความสงสัยปลีกย่อยต่างๆ นั้น มันมีความสำคัญน้อยๆ ลงไป
เราก็จะเอาเวลาที่เหลืออยู่จำกัดในชีวิต ไปมุ่งมั่นกับเรื่องที่เป็น "แก่นธรรม" มากกว่าครับ
ผมเองโตมาในสังคมยุคปัจจุบัน ผมก็ขี้สงสัย และบางเรื่องก็ไม่ได้มุ่งแสวงหาคำตอบอะไรจริงจัง
แต่บางเรื่อง เราก็ต้องพิจารณาเอาเองว่า ถ้ามันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ เราก็จะให้เวลากับสิ่งนั้นมาก
อะไรที่เป็นความสงสัยย่อยๆ บางทีก็ไม่ได้ตามหาคำตอบให้ทุกเรื่อง
แต่ผมก็ยังสนับสนุนการมุ่งแสวงหาข้อมูล ความรู้ ความจริง ในสิ่งที่เราสงสัยครับ
เพราะมันจะพาเราไปพบประโยชน์อะไรบางอย่าง ถึงแม้บางทีมันไม่มีคำตอบที่กระจ่างใจ 100%
แต่มันมีประโยชน์ในหลายด้านครับ^^
จากการใช้วิจารณญาณของตัวเองบ้าง ผมไม่มีความรู้ทางตำราอะไรเท่าไหร่นักครับ
- หลายเรื่องที่เกี่ยวข้องกันนี้ ถูกระบุว่าเป็นเรื่องอจินไตย
ไม่ว่าจะเรื่องวิบากกรรม (กรรมวิสัย) และอื่นๆ
คือ มันมีความซับซ้อนลึกซึ้งมากเกินกว่าสติปัญญาของปุถุชนจะไปเข้าใจได้กระจ่างครับ
- ส่วนเรื่องสภาวธรรมต่างๆ รวมทั้งนิพพาน ก็เป็นเรื่องที่ปุถุชน รู้จากตำรา รู้จากผู้อื่นทั้งนั้นครับ
สิ่งที่เรารู้มา มันอาจจะห่างไกลจากสภาวะจริงๆ มากๆๆๆๆๆ และยากที่จะอธิบาย หรือเข้าใจได้กระจ่างเช่นกัน
เพราะเราล้วนแต่คิดวิเคราะห์ถึงสิ่งที่เราไม่เคยได้สัมผัส อีกทั้ง มันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนเกินสติปัญญาที่เราจะเข้าใจ
และไม่ง่ายที่จะจินตนาการไปถึง
- เวลาผมได้ยินเรื่องราวต่างๆ ทางพุทธ ไม่ว่าจะพุทธประวัติ หรือชาดก หรืออื่นๆ
ผมมักจะไม่ปักใจเชื่อ 100% (มันเป็นนิสัยส่วนตัว)
แต่ผมมักจะหาประโยชน์จากเรื่องพวกนั้นว่า มันให้แง่คิด มันสอนอะไรเรา
ซึ่งแต่ละคนก็อาจจะไม่เหมือนกันในการที่จะมองเห็นประโยชน์ เห็นโทษในสิ่งต่างๆ
ขอยกตัวอย่างเรื่องที่รู้จักกันแพร่หลายอย่าง องคุลีมาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง หรือไม่จริง
หรือมีการแต่งเติมหรือไม่ .... ฯลฯ
แต่ละคนที่ได้รับรู้เรื่องนี้แล้ว ก็มีความเห็นแตกยอดออกไปต่างกัน
บางคนก็หยิบเรื่องนี้ไปใช้แบบเกิดประโยชน์ บางคนก็เอาไปใช้แล้วเกิดโทษ เช่น
บางคนเอาไปย้อมใจตัวเองให้ประมาท ทำผิดมากมายไปก่อนไม่เป็นไร
แล้วค่อยทำดีชดใช้ในภายหลังก็ได้ เหมือนที่องคุลีมาลทำ
บางคนได้เรียนรู้ว่า ถึงองคุลีมาลจะสั่งสมบารมีมามากพอจนจะได้บรรลุธรรมในชาติสุดท้าย
แต่ถึงจะมีบารมีมากขนาดนั้น กรรมเก่าก็ส่งผลให้ยังมีความเชื่อผิดๆ โดนหลอก ให้ทำผิดมหันต์ได้
จึงเตือนใจให้เราอย่าประมาทในการฝึกฝนตนเพื่อพ้นไปจากวัฏสงสาร
ไม่ประมาทในการสร้างอกุศลกรรม
บางคนได้เรียนรู้ว่า ปุถุชนแม้จะทำผิดพลาดมหันต์แค่ไหน
ก็สามารถกลับตัวกลับใจได้ เราจึงไม่ควรดูถูก เหยียบย่ำคนที่ทำผิด
ควรให้โอกาส ให้สติปัญญาให้คนทำผิดได้กลับตัวกลับใจ
บางคนได้เรียนรู้ว่า ทุกคนถ้ายังไม่บรรลุธรรม เราก็ยังทำผิดพลาดได้เสมอ
เพราะฉะนั้น เราควรเปิดใจกว้าง ให้อภัยผู้อื่น เข้าใจว่า ทุกคนก็ผิดพลาดกันได้
..... หรือ อื่นๆ บลา บลา
---------------------------------
สรุปในมุมมองผมนะครับ มันไม่แปลกถ้าเราจะสงสัย แล้วมุ่งแสวงหาคำตอบในเรื่องที่เราสนใจ
และบ่อยครั้ง เราก็จะไม่ได้คำตอบสุดท้าย ที่กระจ่างใจเรา 100% ครับ
แต่เรากลับพบว่า ถึงแม้ไม่ได้คำตอบที่ต้องการดั่งใจ 100%
เรากลับได้พบประโยชน์ในระหว่างทางที่เราแสวงหาคำตอบนั้น
เราได้พบมุมมอง แง่คิด หรือ ได้พบว่า
มันมีสิ่งสำคัญอีกหลายอย่างที่เป็น "แก่น" ที่เราให้ความสำคัญมากกว่า
แล้วความสงสัยปลีกย่อยต่างๆ นั้น มันมีความสำคัญน้อยๆ ลงไป
เราก็จะเอาเวลาที่เหลืออยู่จำกัดในชีวิต ไปมุ่งมั่นกับเรื่องที่เป็น "แก่นธรรม" มากกว่าครับ
ผมเองโตมาในสังคมยุคปัจจุบัน ผมก็ขี้สงสัย และบางเรื่องก็ไม่ได้มุ่งแสวงหาคำตอบอะไรจริงจัง
แต่บางเรื่อง เราก็ต้องพิจารณาเอาเองว่า ถ้ามันสำคัญกับชีวิตเราจริงๆ เราก็จะให้เวลากับสิ่งนั้นมาก
อะไรที่เป็นความสงสัยย่อยๆ บางทีก็ไม่ได้ตามหาคำตอบให้ทุกเรื่อง
แต่ผมก็ยังสนับสนุนการมุ่งแสวงหาข้อมูล ความรู้ ความจริง ในสิ่งที่เราสงสัยครับ
เพราะมันจะพาเราไปพบประโยชน์อะไรบางอย่าง ถึงแม้บางทีมันไม่มีคำตอบที่กระจ่างใจ 100%
แต่มันมีประโยชน์ในหลายด้านครับ^^
แสดงความคิดเห็น
เรื่องแปลกๆเกี่ยวกับวิบากกรรมในพุทธศาสนา
เรื่องของพระโมคคัลลานะ
ครั้งนึงท่านถูกโจรไล่ตามเพื่อฆ่าทิ้งตามคำว่ายวานของคนกลุ่มนึง แต่ทุกครั้งท่านก็มักจะรู้ทันด้วยเจโตปริยญาณ (รู้ใจว่าเขาจะมาฆ่า) ท่านก็หนีได้ตลอด
พอมันเกิดเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้ง ท่านก็ระลึกชาติไปดูว่ามันเกิดแต่เหตุอะไร ก็พบว่าชาตินึงท่านเคยหลงภรรยามากจนเผลอฆ่าพ่อแม่ตัวเองที่ตาบอดทิ้งในป่า มาชาตินี้โจรพวกนี้ก็มาเพื่อฆ่าตน มันจึงเป็นกรรมที่ท่านต้องรับ
ที่น่าสงสัยคือตรงนี้ " หากโจรเหล่านั้นมาฆ่าท่านจนตาย โจรเหล่านั้นก็ต้องรับกรรมต่อ ซ้ำยังเป็นกรรมต่อพระอรหันต์ซึ่งหนักมาก ต่อไปภายภาคหน้าก็ต้องมีคนมาฆ่าพวกโจรนี้อีกในรูปแบบเดียวกัน มันก็เป็นกรรมต่อกรรม " ดังนั้น ทำไม ? " ท่านถึงไม่หนีหรือทำอะไรสักอย่างที่ต้องเลี่ยงไม่ให้เกิดกรรมนี้ต่อคนรุ่นต่อๆไป ทำไมท่านต้องรับกรรมทั้งๆที่มีฤทธิ์มากขนาดนั้น
ในเมื่อเข้านิพพานแล้วไม่ต้องมาเกิดแล้ว ทำไมท่านถึงต้องทิ้งกรรมไว้แล้วเข้านิพพาน
อย่างนี้แสดงว่า มีบางอย่างที่เราไม่รู้เกี่ยวกับในนิพพานอีกใช่ไหม มีสิ่งที่มีแต่พระอรหันต์เท่านั้นที่รู้ แต่ไม่ได้มีการบันทึกไว้ใช่หรือไม่ ใครรู้ช่วยตอบทีครับ
*** ขอคำตอบแบบเชิงอธิบายภาษาพูดไม่เอาเชิงกอปปี้จาก google แล้ววางลงในคอมเม้นต์นะ