ทำไมเขียนคำว่า ห ม อ ย ง ติดกันแล้วโดนPANTIPเซ็นเซอร์ไม่รู้ เลยต้องมาแก้เป็นหมอญงแทน
"
ง" เผย "โควิด-19" สายพันธุ์อินเดีย แพร่กระจายได้ง่าย ป้องกันยากถ้าขาดวินัย ขณะที่วัคซีน "แอสตราเซเนกา" มีประสิทธิผลในการป้องกันได้
วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง "โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย" โดยระบุว่า เป็นข่าวใหญ่ที่พบสายพันธุ์อินเดียระบาดในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์ก็พบสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จากผู้เดินทางมาจากอินเดีย 8 คน ในสถานกักกัน ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบาดในประเทศไทย
เมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดีย ในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต โดยสายพันธุ์ที่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย ประกอบไปด้วยสายพันธุ์อินเดียและเบงกอล สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง และให้ความสำคัญ Variant of Concern (VOC) อีกสายพันธุ์หนึ่ง รวมทั้งสายพันธุ์อังกฤษ เพราะมีการแพร่กระจายได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว
สำหรับสายพันธุ์อินเดีย B.1.167 มี 3 กลุ่มย่อย คือ B.1.167.1, B.1.167.2, B.1.167.3 แต่สายพันธุ์ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์ B.1.167.2 โดยสายพันธุ์นี้ได้ระบาดไปถึงประเทศอังกฤษ ทำให้ทางอังกฤษต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะแพร่กระจายได้ง่าย
จากข้อมูลในประเทศอังกฤษ มีการรายงานในข่าวพบว่าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แต่ไม่น่าจะหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน (UK increasingly confident COVID-19 vaccines work against Indian variant) โดยเฉพาะที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ใช้วัคซีน AstraZeneca ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก ถ้าเราดูในหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายจะมีการกลายพันธุ์ในส่วนของ Spike protein ดังนี้ D614G หรือที่เราเรียกว่าสายพันธุ์ G คือตำแหน่งที่ 614 มีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนจาก Aspartate ไปเป็น Glycine ทำให้สายพันธุ์นี้ครองโลกอยู่ขณะนี้
จะเห็นว่าสายพันธุ์อินเดีย ต่างจากสายพันธุ์อื่นคือเป็น 681R ในตำแหน่งนี้เป็น Arginine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้เอนไซม์ Furin ตัดได้ง่ายขึ้นและง่ายที่จะเข้าสู่เซลล์หรือการติดเชื้อนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงที่จะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ 484 วัคซีนส่วนใหญ่ที่ทำมาจะเป็นสายพันธุ์ ในตำแหน่งนี้คือกรดอะมิโน Glutamic (E) แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็น K หรือ Lysine อย่างเช่นในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จะทำให้หลบหลีกระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง เมื่อดูสายพันธุ์อินเดีย (B.1.167.2) ในตำแหน่งนี้ยังเป็น E ดังนั้นด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่ใช้อยู่น่าจะมีประสิทธิผลในการป้องกันได้ เช่นเดียวกันกับที่มีการพูดในอังกฤษผ่านสำนักข่าวออกมา
ขณะที่การแพร่กระจายได้ง่ายนี้เอง ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญและคำนึงถึงสายพันธุ์อินเดีย มีการพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศของตัวเอง แต่ต้องยอมรับว่าการป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็น สามารถทำได้ยาก ถ้าขาดระเบียบวินัย
สรุปสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้ น่าจะป้องกันได้ อยากให้เด็กรุ่นใหม่สนใจวิทยาศาสตร์กันให้มาก การตอบปัญหาต่างๆ จะใช้หลักวิทยาศาสตร์ และความจริงที่พิสูจน์ได้.
https://www.thairath.co.th/news/local/2098325?cx_testId=7&cx_testVariant=cx_1&cx_artPos=0&cx_rec_section=undefined&cx_rec_topic=undefined&utm_source=REC_WIDGET#cxrecs_s
........หมอญง เผยโควิดสายพันธุ์อินเดีย แพร่กระจายง่าย แต่วัคซีนช่วยป้องกันได้......
"ง" เผย "โควิด-19" สายพันธุ์อินเดีย แพร่กระจายได้ง่าย ป้องกันยากถ้าขาดวินัย ขณะที่วัคซีน "แอสตราเซเนกา" มีประสิทธิผลในการป้องกันได้
วันที่ 22 พฤษภาคม 2564 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คลินิกภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความเรื่อง "โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย" โดยระบุว่า เป็นข่าวใหญ่ที่พบสายพันธุ์อินเดียระบาดในประเทศไทย ก่อนหน้านี้ที่ศูนย์ก็พบสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จากผู้เดินทางมาจากอินเดีย 8 คน ในสถานกักกัน ซึ่งจะไม่มีผลต่อการระบาดในประเทศไทย
เมื่อมีการพบสายพันธุ์อินเดีย ในประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องควบคุมให้ได้โดยเร็ว ก่อนที่จะสร้างปัญหาใหญ่โต โดยสายพันธุ์ที่ระบาดอย่างรุนแรงในอินเดีย ประกอบไปด้วยสายพันธุ์อินเดียและเบงกอล สายพันธุ์อินเดีย เป็นสายพันธุ์ที่ต้องเฝ้าระวัง และให้ความสำคัญ Variant of Concern (VOC) อีกสายพันธุ์หนึ่ง รวมทั้งสายพันธุ์อังกฤษ เพราะมีการแพร่กระจายได้ง่ายมาก อย่างรวดเร็ว
สำหรับสายพันธุ์อินเดีย B.1.167 มี 3 กลุ่มย่อย คือ B.1.167.1, B.1.167.2, B.1.167.3 แต่สายพันธุ์ที่ระบาดมากในอินเดียและกระจายไปในประเทศต่างๆ เป็นจำนวนมากคือสายพันธุ์ B.1.167.2 โดยสายพันธุ์นี้ได้ระบาดไปถึงประเทศอังกฤษ ทำให้ทางอังกฤษต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ พบว่ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เพราะแพร่กระจายได้ง่าย
จากข้อมูลในประเทศอังกฤษ มีการรายงานในข่าวพบว่าสายพันธุ์นี้แพร่กระจายได้ง่าย แต่ไม่น่าจะหลบหลีกภูมิต้านทานที่เกิดจากวัคซีน (UK increasingly confident COVID-19 vaccines work against Indian variant) โดยเฉพาะที่ใช้ในประเทศอังกฤษ ใช้วัคซีน AstraZeneca ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีการศึกษาในแนวลึก ถ้าเราดูในหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ สายพันธุ์ที่แพร่กระจายได้ง่ายจะมีการกลายพันธุ์ในส่วนของ Spike protein ดังนี้ D614G หรือที่เราเรียกว่าสายพันธุ์ G คือตำแหน่งที่ 614 มีการเปลี่ยนแปลงของกรดอะมิโนจาก Aspartate ไปเป็น Glycine ทำให้สายพันธุ์นี้ครองโลกอยู่ขณะนี้
จะเห็นว่าสายพันธุ์อินเดีย ต่างจากสายพันธุ์อื่นคือเป็น 681R ในตำแหน่งนี้เป็น Arginine ซึ่งมีคุณสมบัติเป็นด่าง ทำให้เอนไซม์ Furin ตัดได้ง่ายขึ้นและง่ายที่จะเข้าสู่เซลล์หรือการติดเชื้อนั้นเอง การเปลี่ยนแปลงที่จะหลบหลีกระบบภูมิต้านทานส่วนใหญ่ จะให้ความสำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ 484 วัคซีนส่วนใหญ่ที่ทำมาจะเป็นสายพันธุ์ ในตำแหน่งนี้คือกรดอะมิโน Glutamic (E) แต่ถ้าเปลี่ยนไปเป็น K หรือ Lysine อย่างเช่นในสายพันธุ์แอฟริกาใต้ จะทำให้หลบหลีกระบบภูมิต้านทานที่จะทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง เมื่อดูสายพันธุ์อินเดีย (B.1.167.2) ในตำแหน่งนี้ยังเป็น E ดังนั้นด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่ใช้อยู่น่าจะมีประสิทธิผลในการป้องกันได้ เช่นเดียวกันกับที่มีการพูดในอังกฤษผ่านสำนักข่าวออกมา
ขณะที่การแพร่กระจายได้ง่ายนี้เอง ทำให้ทั่วโลกให้ความสำคัญและคำนึงถึงสายพันธุ์อินเดีย มีการพยายามป้องกันอย่างเต็มที่ไม่ให้เกิดการระบาดในประเทศของตัวเอง แต่ต้องยอมรับว่าการป้องกันสิ่งที่มองไม่เห็น สามารถทำได้ยาก ถ้าขาดระเบียบวินัย
สรุปสายพันธุ์อินเดีย B.1.167.2 จะแพร่กระจายได้ง่าย จะง่ายเท่าสายพันธุ์อังกฤษหรือมากกว่าสายพันธุ์อังกฤษ ยังไม่มีการศึกษาที่ชัดเจน แต่สายพันธุ์นี้ตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ วัคซีนที่เราใช้อยู่นี้ น่าจะป้องกันได้ อยากให้เด็กรุ่นใหม่สนใจวิทยาศาสตร์กันให้มาก การตอบปัญหาต่างๆ จะใช้หลักวิทยาศาสตร์ และความจริงที่พิสูจน์ได้.
https://www.thairath.co.th/news/local/2098325?cx_testId=7&cx_testVariant=cx_1&cx_artPos=0&cx_rec_section=undefined&cx_rec_topic=undefined&utm_source=REC_WIDGET#cxrecs_s