ศรีวิชัยมีศูนย์กลางอยู่ที่ อ.สิงหนคร จ.สงขลา ประสิทธิ์ เอื้อตระกูลวิทย์ : เรียบเรียง อาจารย์ประจำภาควิชาโบราณคดี คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ค้นคว้า - ประจิต ประเสริฐประศาสน์ : นักวิชาการอิสระ
เมื่อปีพ.ศ.1214 พระภิกษุชาวจีนชื่ออี้จิง ได้เดินทางไปสืบทอดพระพุทธศาสนาที่ประเทศ
อินเดีย ท่านเดินทางโดยอาศัยเรือจากเมืองท่าที่กวางตุ้งมาพำนักที่เมืองโฟชิก่อนเป็นเวลา 6 เดือน
แล้วจึงได้อาศัยเรือเดินทางต่อไปยังประเทศอินเดีย เป้าหมายคือมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เมืองนาลันทา
ซึ่งเผยแพร่คำสอนตามหลักพุทธศาสนามหายานที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น หลังจากนั้นท่านกลับ
เมืองจีน และได้กลับมาพำนักที่เมืองโฟชิอีกในช่วงระหว่างปีพ.ศ.1230-1238 ระหว่างนี้เองภิกษุ
อี้จิงได้ทำการวัดและบันทึกเงาของนาฬิกาแดดทั้งที่เมืองโฟชิ และเมืองโฮลิง ทั้ง 2 เมืองนี้ เป็นเมือง
ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และมีความมั่งคั่งจากการควบคุมการ
ค้าขายทางทะเล ตามบันทึกของภิกษุอี้จิงนั้นเมืองโฟชิเป็นเมืองหลวงของประเทศทั้ง 10 แห่งในทะเลใต้
เมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ใด?
คำถามนี้ไม่อาจอธิบายในกรอบของประวัติศาสตร์และโบราณคดีเพียงอย่างเดียวได้ ดังนั้น
จึงต้องอาศัยการคำนวณซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอข้อมูลมาแสดงไว้ อันจะเป็นการพิสูจน์ถึงตำแหน่งที่ตั้ง
ที่แท้จริงของเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ตามที่ภิกษุอี้จิงได้เคยมาพำนัก และได้บันทึกค่าของ
นาฬิกาแดดไว้ที่เมืองโฟชิซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศทั้ง 10 แห่งในทะเลใต้นั่นเอง
ความเป็นมา ที่ตั้ง และเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก เสมือนว่าไม่มีความ
จำเป็นใดๆ ต้องรู้ไปมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีกแล้ว โดยเป็นการยอมรับอย่างขัดเขินกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ไทยว่า เมืองที่สำคัญของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ “ไชยา” ส่วนต่างชาติกลับไปยกย่องให้ “ปาเล็มบัง” เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยเสียมากกว่า แล้วเราจะยอมรับกันได้หรือไม่
ดังนั้น เอกสารของหลวงจีนอี้จิงอาจจะคลายปมปริศนาเกี่ยวกับชื่อเมืองและสถานที่ตั้งของเมืองในระยะก่อตัวของอาณาจักรศรีวิชัยได้ และอาจส่งผลให้เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับอาณาจักรศรีวิชัยมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันหรือเรียกว่าการอัพเดทเรื่องราวของศรีวิชัยนั้น ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวของดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยไปจนถึงชวานั้นยังน่าสนใจและควรค่าแก่การสานต่อจากนักประวัติศาสตร์รุ่นเดิม ควรปรับ เพิ่ม หรือโต้แย้งข้อมูลให้ทันสมัยขึ้น ตรวจสอบเอกสารกันอีกรอบ เอามาดูอีกสักครั้งว่าพบ
ประเด็นที่น่าสนใจในเอกสารโบราณประการอื่นอีกหรือไม่ ทั้งนี้ควรอ้างอิงหลักการอันเป็นที่ยอมรับได้ ผู้เขียนเห็นว่าในเอกสารโบราณชาวต่างชาติมักพูดถึงเรื่องราวสำคัญทั่วไปเสียมากกว่า มีเพียงเอกสารของหลวงจีนอี้จิงเท่านั้นที่พูดถึง “เวลา” “ระยะทาง”และ “จำนวนวัน” สัมพันธ์กับสถานที่ที่ท่านพำนัก และสภาพภูมิอากาศในขณะนั้น
เพื่อนำผู้อ่านไปสู่เรื่องที่เกี่ยวกับความสับสนเรื่องชื่อต่างๆ ของอาณาจักรศรีวิชัย ผู้เขียนขอเกริ่นนำ
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยโดยย่อ โดยเฉพาะเรื่องกำเนิดและที่ตั้งของอาณาจักรศรีวิชัย ในช่วงสี่สิบถึงห้าสิบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลจากผู้รู้และนักปราชญ์หลายท่านทำให้เรารู้ว่า ท่านเหล่านี้พยายามระบุตำแหน่ง “เมืองหลวง”ของอาณาจักรศรีวิชัยด้วยหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆเท่าที่มีการค้นพบ อาทิเช่นโบราณสถาน ประติมากรรมทางศาสนาพุทธและฮินดู โดยเรียกกันว่า “ศิลปะแบบศรีวิชัย” อันมีความคล้ายกับงานศิลปะของราชวงศ์ไศเลนทร์ สันนิษฐานว่าเป็นศาสนาพุทธสกุลวัชรยานแบบอินเดียภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ปาละ นอกจากนี้มีหลักฐานจารึกและเอกสารโบราณจำนวนมากที่นักวิชาการทั้งไทยและเทศนำมาอ้างอิง กำเนิดความเป็นมา และความรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีวิชัยตั้งแต่พุทธ
ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา กล่าวตรงกันว่าอาณาจักรศรีวิชัยเจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ด้วยเหตุผลของการเป็นที่ตั้งเมืองท่าค้าขายระหว่างจีน เวียดนาม เขมรฝั่งหนึ่ง กับอินเดีย อาหรับ เปอร์เซียและยุโรป อีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อพูดถึงคำว่า “ศรีวิชัย” นั้น นักวิชาการในปัจจุบันยอมรับว่าเกิดมาจาก ยอร์ช เซเดส์ (พ.ศ. 2461)
ท่านได้ระบุเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ ปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราใต้ และนักวิชาการชาวต่างชาติท่านอื่น ๆ ต่างยอมรับ ถึงแม้ว่า ได้พยายามขุดค้นทางโบราณคดีที่ปาเล็มบัง ก็ไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับ“ศรีวิชัย” อย่างชัดเจน รวมทั้งจารึกเคดุกันบุกิต พ.ศ.1225 ก็ระบุเพียงชื่อสถาที่ 5 แห่ง และมีชื่อพระราชา(เรียกดาปุนตาไฮยำ) ทรงพระนามศรีชัยนาศ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาณาจักรศรีวิชัยมากนัก เครื่องลายครามที่ขุดขึ้นมาได้เป็นลายครามของพุทธศตวรรษที่ 14 – 15 ถ้าปาเล็มบังไม่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งระบุว่า “ไชยา“ เป็นศูนย์กลางของศรีวิชัย ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 อย่างแน่นอนหรืออาจยาวนานกว่านั้นด้วย ‘ศรีวิชัย’ เป็นเพียงชื่อหนึ่งของการเรียกชื่อที่แตกต่างกันในจารึกและเอกสารโบราณ ชื่ออื่นๆมีนครโพธิ สัมโพธิ ศรีโพธิ ชวกะ ซาบาก โฟชิ ชิลิโฟชิ และสันโฟชิ
เมื่อตามรอยหลวงจีนอี้จิงจะพบว่า หลวงจีนอี้จิงแวะพำนักอยู่ที่นครโฟ-ชิ เป็นเวลา 6 เดือน บันทึกใน
เอกสารว่า ‘ สหพันธรัฐศรีวิชัย ‘ หรือเป็นดินแดนประเทศทั้ง 10 แห่งทะเลใต้ขาไป หลวงจีนอี้จิงพักอยู่ที่เมือง “ โฟชิ ” 6 เดือน เพื่อเรียนภาษาสันสกฤต ต่อจากนั้นท่านเดินทางอีก 15 วัน ถึง โมโลยู (มลายู ) พักที่มลายู 2 เดือน เพื่อให้ลมเปลี่ยนทิศแล้วแล่นใบผ่านช่องแคบมะละกา 15 วันถึง เชียชะ หรือ เคียขะ (เคดาห์ ไทรบุรี ) ต่อจากนั้นก็ข้ามสมุทรไปถึงอินเดีย หลวงจีนอี้จิงพักอยู่ที่อินเดีย
หลายปี (พ.ศ.1215 – 1228 รวม 13 ปี) พักที่เมืองนาลันทาหลวงจีนอี้จิงยังได้ระบุอีกว่า ถ้าแล่นใบจากเมืองโฟชิไปทางตะวันออกเป็นเวลา 4 วัน จะถึงเมือง
“โฮลิง” โฮลิงหรือ โพลิง มาจากคำว่า โพธิ + กะลิง เพราะชาวกลิงคะมาจาก กลิงครัฐ (ใกล้แม่น้ำคงคา) มาอยู่ที่โฮลิงกับโฟชิ มาชุมดาร์นักโบราณคดีบันทึกว่าชาวอินเดียเดินทางหรือหนีเข้ามาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เพราะมีพวกกษัตริย์จาลุกย์เข้ามารุกรานนับร้อยปี ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 1100 ( บทความของ น. ณ ปากน้ำ ) เมืองกาลิงคะอยู่ภายใต้ราชวงศ์คงคาและไศโรจน์ภาวะ ปกครองโดยราชวงศ์ไศละ อันนามของกษัตริย์ราชวงศ์คงคาล้วนแต่ต่อท้ายด้วยคำว่ามหาราชทั้งสิ้น จึงน่าจะเป็นไปได้ที่ราชวงศ์เหล่านี้เป็นต้นราชวงศ์ไศเลนทร์ และชาวกลิงคะจึงมีความสัมพันธ์กับไศเลนทร์ (ต้นกำเนิดคำว่าโฮลิง)ขากลับกลับมาที่ “ โฟชิ ” อีกครั้ง และในขณะนั้นประเทศโมโลยูได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโฟชิไปแล้วท่านได้พำนักต่อที่โฟชิอีก 8 ปี ระหว่าง พ.ศ. 1230 – 1238 เพื่อแปลพระสูตรในพระพุทธศาสนาจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนและระบุไว้ว่า ที่เมือง “ โฟ-ชิ ” มีพระสงฆ์ในพุทธศาสนากว่า ๑,๐๐๐ รูป มีพระธรรมวินัยและพิธีกรรมทุกอย่างคล้ายกับที่ปฏิบัติกันที่อินเดีย แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองสำคัญทางพุทธศาสนาในแถบนี้( 1.ตั้งอยู่บนแม่น้ำโพธิ 2. ฮวยหนิงไปหาพระภิกษุญาณภัทรที่เมืองโพลิง – พ่อค้าจีนพูดผิดเป็นโฮลิง )
หลวงจีนอี้จิงระบุว่า เมืองโฮลิง ตันตัน กาจาหรือเกียฉา ( เคดาห์ ) และพันพัน เป็นเมืองประเทศราช
(เมืองขึ้น) ของ “ โฟ-ชิ ” นับได้ว่าเป็นเมืองหลวงของ “อาณาจักรศรีวิชัย” จึงยังคงเป็นปริศนาให้นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีค้นคว้ามาจนถึงทุกวันนี้ว่า เมือง “ โฟชิ ” คือ ไชยา ใช่หรือไม่
เมืองหลวงแห่งอาณาจักรศรีวิชัย คือ สิงหนคร
ผู้ค้นคว้า - ประจิต ประเสริฐประศาสน์ : นักวิชาการอิสระ
อินเดีย ท่านเดินทางโดยอาศัยเรือจากเมืองท่าที่กวางตุ้งมาพำนักที่เมืองโฟชิก่อนเป็นเวลา 6 เดือน
แล้วจึงได้อาศัยเรือเดินทางต่อไปยังประเทศอินเดีย เป้าหมายคือมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่เมืองนาลันทา
ซึ่งเผยแพร่คำสอนตามหลักพุทธศาสนามหายานที่มีชื่อเสียงที่สุดในยุคนั้น หลังจากนั้นท่านกลับ
เมืองจีน และได้กลับมาพำนักที่เมืองโฟชิอีกในช่วงระหว่างปีพ.ศ.1230-1238 ระหว่างนี้เองภิกษุ
อี้จิงได้ทำการวัดและบันทึกเงาของนาฬิกาแดดทั้งที่เมืองโฟชิ และเมืองโฮลิง ทั้ง 2 เมืองนี้ เป็นเมือง
ที่มีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และมีความมั่งคั่งจากการควบคุมการ
ค้าขายทางทะเล ตามบันทึกของภิกษุอี้จิงนั้นเมืองโฟชิเป็นเมืองหลวงของประเทศทั้ง 10 แห่งในทะเลใต้
จึงต้องอาศัยการคำนวณซึ่งผู้เขียนได้นำเสนอข้อมูลมาแสดงไว้ อันจะเป็นการพิสูจน์ถึงตำแหน่งที่ตั้ง
ที่แท้จริงของเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย ตามที่ภิกษุอี้จิงได้เคยมาพำนัก และได้บันทึกค่าของ
นาฬิกาแดดไว้ที่เมืองโฟชิซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศทั้ง 10 แห่งในทะเลใต้นั่นเอง
จำเป็นใดๆ ต้องรู้ไปมากยิ่งขึ้นกว่านี้อีกแล้ว โดยเป็นการยอมรับอย่างขัดเขินกันในหมู่นักประวัติศาสตร์ไทยว่า เมืองที่สำคัญของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ “ไชยา” ส่วนต่างชาติกลับไปยกย่องให้ “ปาเล็มบัง” เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยเสียมากกว่า แล้วเราจะยอมรับกันได้หรือไม่
ดังนั้น เอกสารของหลวงจีนอี้จิงอาจจะคลายปมปริศนาเกี่ยวกับชื่อเมืองและสถานที่ตั้งของเมืองในระยะก่อตัวของอาณาจักรศรีวิชัยได้ และอาจส่งผลให้เรื่องราวที่เกี่ยวเนื่องกับอาณาจักรศรีวิชัยมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการปรับข้อมูลให้เป็นปัจจุบันหรือเรียกว่าการอัพเดทเรื่องราวของศรีวิชัยนั้น ผู้เขียนเห็นว่าเรื่องราวของดินแดนภาคใต้ของประเทศไทยไปจนถึงชวานั้นยังน่าสนใจและควรค่าแก่การสานต่อจากนักประวัติศาสตร์รุ่นเดิม ควรปรับ เพิ่ม หรือโต้แย้งข้อมูลให้ทันสมัยขึ้น ตรวจสอบเอกสารกันอีกรอบ เอามาดูอีกสักครั้งว่าพบ
ประเด็นที่น่าสนใจในเอกสารโบราณประการอื่นอีกหรือไม่ ทั้งนี้ควรอ้างอิงหลักการอันเป็นที่ยอมรับได้ ผู้เขียนเห็นว่าในเอกสารโบราณชาวต่างชาติมักพูดถึงเรื่องราวสำคัญทั่วไปเสียมากกว่า มีเพียงเอกสารของหลวงจีนอี้จิงเท่านั้นที่พูดถึง “เวลา” “ระยะทาง”และ “จำนวนวัน” สัมพันธ์กับสถานที่ที่ท่านพำนัก และสภาพภูมิอากาศในขณะนั้น
เพื่อนำผู้อ่านไปสู่เรื่องที่เกี่ยวกับความสับสนเรื่องชื่อต่างๆ ของอาณาจักรศรีวิชัย ผู้เขียนขอเกริ่นนำ
เรื่องราวทางประวัติศาสตร์และทางโบราณคดีในภาคใต้ของประเทศไทยโดยย่อ โดยเฉพาะเรื่องกำเนิดและที่ตั้งของอาณาจักรศรีวิชัย ในช่วงสี่สิบถึงห้าสิบปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลจากผู้รู้และนักปราชญ์หลายท่านทำให้เรารู้ว่า ท่านเหล่านี้พยายามระบุตำแหน่ง “เมืองหลวง”ของอาณาจักรศรีวิชัยด้วยหลักฐานทางโบราณคดีต่างๆเท่าที่มีการค้นพบ อาทิเช่นโบราณสถาน ประติมากรรมทางศาสนาพุทธและฮินดู โดยเรียกกันว่า “ศิลปะแบบศรีวิชัย” อันมีความคล้ายกับงานศิลปะของราชวงศ์ไศเลนทร์ สันนิษฐานว่าเป็นศาสนาพุทธสกุลวัชรยานแบบอินเดียภาคตะวันออกเฉียงเหนือของราชวงศ์ปาละ นอกจากนี้มีหลักฐานจารึกและเอกสารโบราณจำนวนมากที่นักวิชาการทั้งไทยและเทศนำมาอ้างอิง กำเนิดความเป็นมา และความรุ่งเรืองของอาณาจักรศรีวิชัยตั้งแต่พุทธ
ศตวรรษที่ 12 เป็นต้นมา กล่าวตรงกันว่าอาณาจักรศรีวิชัยเจริญขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 13 – 14 ด้วยเหตุผลของการเป็นที่ตั้งเมืองท่าค้าขายระหว่างจีน เวียดนาม เขมรฝั่งหนึ่ง กับอินเดีย อาหรับ เปอร์เซียและยุโรป อีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อพูดถึงคำว่า “ศรีวิชัย” นั้น นักวิชาการในปัจจุบันยอมรับว่าเกิดมาจาก ยอร์ช เซเดส์ (พ.ศ. 2461)
ท่านได้ระบุเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่ ปาเล็มบัง ในเกาะสุมาตราใต้ และนักวิชาการชาวต่างชาติท่านอื่น ๆ ต่างยอมรับ ถึงแม้ว่า ได้พยายามขุดค้นทางโบราณคดีที่ปาเล็มบัง ก็ไม่พบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับ“ศรีวิชัย” อย่างชัดเจน รวมทั้งจารึกเคดุกันบุกิต พ.ศ.1225 ก็ระบุเพียงชื่อสถาที่ 5 แห่ง และมีชื่อพระราชา(เรียกดาปุนตาไฮยำ) ทรงพระนามศรีชัยนาศ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับอาณาจักรศรีวิชัยมากนัก เครื่องลายครามที่ขุดขึ้นมาได้เป็นลายครามของพุทธศตวรรษที่ 14 – 15 ถ้าปาเล็มบังไม่เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรศรีวิชัย นักวิชาการอีกกลุ่มหนึ่งระบุว่า “ไชยา“ เป็นศูนย์กลางของศรีวิชัย ในราวพุทธศตวรรษที่ 12 – 14 อย่างแน่นอนหรืออาจยาวนานกว่านั้นด้วย ‘ศรีวิชัย’ เป็นเพียงชื่อหนึ่งของการเรียกชื่อที่แตกต่างกันในจารึกและเอกสารโบราณ ชื่ออื่นๆมีนครโพธิ สัมโพธิ ศรีโพธิ ชวกะ ซาบาก โฟชิ ชิลิโฟชิ และสันโฟชิ
เมื่อตามรอยหลวงจีนอี้จิงจะพบว่า หลวงจีนอี้จิงแวะพำนักอยู่ที่นครโฟ-ชิ เป็นเวลา 6 เดือน บันทึกใน
เอกสารว่า ‘ สหพันธรัฐศรีวิชัย ‘ หรือเป็นดินแดนประเทศทั้ง 10 แห่งทะเลใต้ขาไป หลวงจีนอี้จิงพักอยู่ที่เมือง “ โฟชิ ” 6 เดือน เพื่อเรียนภาษาสันสกฤต ต่อจากนั้นท่านเดินทางอีก 15 วัน ถึง โมโลยู (มลายู ) พักที่มลายู 2 เดือน เพื่อให้ลมเปลี่ยนทิศแล้วแล่นใบผ่านช่องแคบมะละกา 15 วันถึง เชียชะ หรือ เคียขะ (เคดาห์ ไทรบุรี ) ต่อจากนั้นก็ข้ามสมุทรไปถึงอินเดีย หลวงจีนอี้จิงพักอยู่ที่อินเดีย
หลายปี (พ.ศ.1215 – 1228 รวม 13 ปี) พักที่เมืองนาลันทาหลวงจีนอี้จิงยังได้ระบุอีกว่า ถ้าแล่นใบจากเมืองโฟชิไปทางตะวันออกเป็นเวลา 4 วัน จะถึงเมือง
“โฮลิง” โฮลิงหรือ โพลิง มาจากคำว่า โพธิ + กะลิง เพราะชาวกลิงคะมาจาก กลิงครัฐ (ใกล้แม่น้ำคงคา) มาอยู่ที่โฮลิงกับโฟชิ มาชุมดาร์นักโบราณคดีบันทึกว่าชาวอินเดียเดินทางหรือหนีเข้ามาที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย เพราะมีพวกกษัตริย์จาลุกย์เข้ามารุกรานนับร้อยปี ตั้งแต่ประมาณ พ.ศ. 1100 ( บทความของ น. ณ ปากน้ำ ) เมืองกาลิงคะอยู่ภายใต้ราชวงศ์คงคาและไศโรจน์ภาวะ ปกครองโดยราชวงศ์ไศละ อันนามของกษัตริย์ราชวงศ์คงคาล้วนแต่ต่อท้ายด้วยคำว่ามหาราชทั้งสิ้น จึงน่าจะเป็นไปได้ที่ราชวงศ์เหล่านี้เป็นต้นราชวงศ์ไศเลนทร์ และชาวกลิงคะจึงมีความสัมพันธ์กับไศเลนทร์ (ต้นกำเนิดคำว่าโฮลิง)ขากลับกลับมาที่ “ โฟชิ ” อีกครั้ง และในขณะนั้นประเทศโมโลยูได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโฟชิไปแล้วท่านได้พำนักต่อที่โฟชิอีก 8 ปี ระหว่าง พ.ศ. 1230 – 1238 เพื่อแปลพระสูตรในพระพุทธศาสนาจากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาจีนและระบุไว้ว่า ที่เมือง “ โฟ-ชิ ” มีพระสงฆ์ในพุทธศาสนากว่า ๑,๐๐๐ รูป มีพระธรรมวินัยและพิธีกรรมทุกอย่างคล้ายกับที่ปฏิบัติกันที่อินเดีย แสดงให้เห็นว่าเป็นเมืองสำคัญทางพุทธศาสนาในแถบนี้( 1.ตั้งอยู่บนแม่น้ำโพธิ 2. ฮวยหนิงไปหาพระภิกษุญาณภัทรที่เมืองโพลิง – พ่อค้าจีนพูดผิดเป็นโฮลิง )
หลวงจีนอี้จิงระบุว่า เมืองโฮลิง ตันตัน กาจาหรือเกียฉา ( เคดาห์ ) และพันพัน เป็นเมืองประเทศราช
(เมืองขึ้น) ของ “ โฟ-ชิ ” นับได้ว่าเป็นเมืองหลวงของ “อาณาจักรศรีวิชัย” จึงยังคงเป็นปริศนาให้นักประวัติศาสตร์ และนักโบราณคดีค้นคว้ามาจนถึงทุกวันนี้ว่า เมือง “ โฟชิ ” คือ ไชยา ใช่หรือไม่