"ขอขอบคุณเพจ ป ปืนอย่างสูงครับ"
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
จากประสบการณ์การใช้งาน Carbine, Cal .30, M2 หรือ M3 Carbine (พัฒนามาจากM1 Carbine)ที่สามารถยิงแบบอัตโนมัติ ในสงครามโลกครั้งที่2และสงครามเกาหลี ได้ กองทัพอเมริกันได้เห็นถึงการใช้งาน ปืนแบบ Selective fire ซึ่งได้มีการใช้งาบางส่วนในเวียดนามแล้ว อีกทั้งการใช้งานM14 7.62x51mm NATO ไม่เป็นที่น่าพอใจ เมื่อทำการยิงแบบอัตโนมัติ รวมถึงการที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามสามารถยึดปืนแบบ AK-47 ได้จากเวียดนาม
ใน ค.ศ. 1952 อาร์มาไลท์ (Armalite) ซึ่งเป็นแผนกอาวุธปืนของบริษัท Fairchild Aircraft Corp.(19544 โดยมี George Sullivan) และ Charles Dorchester เป็นผู้ก่อตั้ง
โดยมี Eugene M. Stoner เป็น หัวหน้าวิศวกร ได้ออกแบบและจดสิทธิบัตร (หมายเลข 2,951,424 ปี1956 )ระบบบริหารกลไกด้วยแก๊สขับตรงหรือในเวลานั้นเรียกว่า gas operated bolt and carrier system ซึ่งนำมาใช้ออกแบบ AR-10 ขนาด 7.62X15mm. และได้เข้าร่วมโครงการจัดหาปืน selective fire automatic rifle ขนาด 7.62mm นี้โดย Armalite ได้นำแบบปืน AR-10 เสนอแก่ United States Army's Springfield Armory เป็นผู้ทดสอบ แต่ไม่ได้รับการพิจรณา(น่าจะเกิดจากลำกล้องคอมโพซิต (เหล็ก/อลูมีเนียม)แตกในการทดสอบ)
AR-10 ใช้ระบบบริหารกลไกด้วยแก๊สขับลูกเลื่อนโดยตรงหรือ "direct impingement gas system" ขัดกลอนด้วยลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอน (rotating bolt) โดยการออกแบบของ Armalite มีแนวทางคือใช้วัสดุที่เหมาะสมและทันสมัยที่สุด เบาที่สุด ในเวลานั้น โครงปืนแบบแยก บน/ล่าง จึงใช้อลูมิเนียมทุบขึ้นรูป ซึ่งเจ้าอื่นๆยังไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนั้นเพราะมีราคาค่อนข้างสูง
( โครงการนี้ M14 ได้รับการบรรจุเป็น United States Rifle, 7.62 mm, M14 ผลิตโดยSpringfield Armory)
บริษัทอาร์มาไลท์ (Armalite) ได้เคยขาย AR7 ซึ้งเป็น AR-7 "Explorer", .22 LR semi-auto survival rifle ให้กับกองทัพอากาศ สหรัฐฯมาก่อนแล้วเพื่อใช้เป็นปืนสำหรับนักบิน
ในปี 1957 Willard G. Wyman, มีตำแหน่งเป็น Commanding General of Continental Army Command (CONARC) ผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นทวีป ได้ริเริ่มโครงการอาวุธปืนที่ใช้ กระสุนเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กความเร็วสูง หรือ Small Calibre, High Velocity (SCHV)
โดยมีข้อกำหนดคือ
-ใช้กระสุนขนาดหน้าตัด .22 นิ้ว(.22 caliber)
-กระสุนจะต้องรักษาความเร็วหนือเสียงเอาไว้ในระยะทาง 500 หลา
-มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์
-ซองสุนมีความจุ 20 นัด
-สามารถปรับตำแหน่งการยิงได้ทั้งกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติ
-เจาะหมวกแหล็กได้1ด้านในระยะ 500 หลา
-เจาะแผ่นเหล็กที่มีความหนา .135" นิ้ว ในระยะ 500 หลา
-ความแม่นยำและขีปนวิถี ใกล้เคียงกระสุนแบบ M2 ball .30-06 ของ M1 Garand)
โดยมีการเชิญทั้ง ArmaLite และ Winchester เข้าร่วมโครงการนี้โดยมีการตั้งธงไว้ที่ขนาด .22 นิ้ว(.22 caliber) โดยในโครงการนี้นั้นที่สุด
( AR-15 ของ ArmaLite ที่ทดสอบโครงการซึ่งต่อมาได้รับการบรรจุเป็นM16 ไม่ได้ถูกบรรจุจากโครงการนี้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็มีส่วนช่วยให้ได้รับการพิจรนาในเวลาต่อมา)
โดยก่อนหน้าโครงการ SCHV ของ CONARC ช่วง ปี 1951 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีโครงการ"Project SALVO" ที่วิจัยการใช้อาวุธปืนกระสุนหน้าตัดเล็กที่มีความเร็วสูง ที่มีอำนาจทำลายต่อเป้าหมายเต็มกำลัง("full power")ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Special Purpose Individual Weapon (SPIW) ของกองทัพบกสหรัฐ ซึ่งมีการพัฒนาระบบอาวุธโดย Springfield Armory และ OlinกับWinchester เป็นอาวุธที่ใช้ซองกระสุนป้อน2แถวซ้อน("duplex load") ในขั้นต้นคือกระสุนต้นแบบ XM110 5.6×53 mm หัวลูกดอก(single dart.) ซึ่งทดสอบกับปืนเล็กยาว Winchester Model 70
ซึ่งต่อมาก็มีบทสรุปว่า กระสุนขนาด .22 นิ้วที่มีความเร็วสูงในระยะหวังผล 300 หลา คือการนำกระสุนมาใช้เต็มอำนาจการทำลายต่อเป้าหมาย แต่แรงสะท้อนรีคอล์ยน้อยลงซึ่งทำให้ปืนเบาลงด้วย
จากโครงการ CONARC ดังกล่าว มีการนำกระสุน .222 Remington มาพัฒนาต่อเป็น .222 Special โดย Earle Harvey หรือบางบางแหล่งเรียกว่า.222 Remington Magnum มาจากความพยายามพัฒนากระสุนแบบ .224 Springfield. ซึ่งพัฒนามาสำหรับปืนแบบ ที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้พัฒนา ‘Caliber .224 Springfield Infantry Rifle’. ซึ่งต้นแบบนี้ก็ใช้กระสุนขนาดหน้าตัด .22 นิ้ว ที่ออกแบบไว้โดย Earle Harvey (คนออกแบบต้นแบบ T25/T47 ) โดยกระสุนของ Earle Harvey มีปลอกกระสุนยาว 47 มม. หรืออาจจะเขียนในแบบยุโรปคือ 5.7 X 47 mm. หัวกระสุนหนัก 55 เกรน แบบ FMJ (ส่วนกระสุนแบบ .222 Remington คือ 5.7×43mm (C.I.P))
โดยอีกทางหนึ่ง Eugene Stoner, L.Jim Sullivan และ Bob Fremon แห่ง Armalite ได้นำปืนแบบ AR-10 มาทำการ scaled-down ใช้กระสุนขนาด .222 Remington เพื่อเข้าร่วมทดสอบในโรงการ SCHVของ CONARC โดยหัวกระสุนนั้นใช้กระสุน Sierra Bullet ของ Frank Snow น้ำหนัก 55 เกรน เพื่อให้กระสุนมีขีปนวิถีตามข้อกำหนดในระยะ 500หลา นั้นจำเป็นจะต้องใช้ความเร็วปากลำกล้องถึง3,300 ฟุตต่อนาที
ซึ่งเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ส่วนผสมดินปืนซึ่งพัฒนาโดย Robert Hutton โดยเขาใช้ดินปืนของ DuPont แบบ IMR4198, IMR3031, และของ Olin ทดสอบด้วยปืนลูกเลื่อนแบบ Remington 722 ดัดแปลงใช้ลำกล้องขนาด .22 Cal.ของ Apex ถึงแม้กระสุนจะสร้างความเร็วได้ตามที่กำหนดแต่แรงดันในรังเพลิงที่สูงจึงค่อนข้างที่จะไม่ปลอดภัย
แต่ Stoner ก็มาได้กระสุนแบบ .222 Special ของ Earle Harvey จาก Remington ซึ่งใช้ดินปืนของ DuPont แบบ IMR4475 นั้นเอง
*Sullivan จดสิทธิบัตรการออกแบบโครงปืนอลูมีเนียมอัลลอย /ระบบขัดกลอน สิทธิบัตรหมายเลข 3,027,672 ปี 1957 *
** Stoner ได้จดสิทธิบัติ ระบบกลไกของ AR-15 ในปี1959 สิทธิบัตรหมายเลข 3,045,555 **
ในปี1958 ซึ่งได้ทดสอบโดนใช้ปืนต้นแบบ T44E4 (ซึ่งใช้ลำกล้องขนาก .22 นิ้ว) และ AR-15 โดย T44E4 พบว่าขัดลำกล้อง16ครั้งต่อ1,000นัด และ AR-15 พบขัดลำกล้อง 6.1ครั้งต่อ1,000 นัด
ผลจากการทดสอบและพัฒนากระสุนขนาด .22 นิ้วคือ .222 Special ในโครงการ SCHV ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อกระสุนเป็น .223 Remington นั้นเองและจากนั้นมีการทดสอบเรื่อมาจนปี 1963 ในเดือนกันยายน จึงได้ กระสุน.223 Remington กลายเป็นที่ยอมรับและได้ ประจำการในชื่อว่า "Cartridge, 5.56mm Ball, M193."
ในปี1958 Army's Combat Developments Experimentation Command ได้ทำการทดสอบ จำลองสถานการณ์สู้รบเพื่อเปรียบเทียบกันการใช้งานระหว่าง M14 , AR-15 และแบบทดสอบจาก Winchester โดยใช้พลปืนเล็ก 5 ถึง 7 นายทำการยิงแบบต่างๆหรือระดมยิงต่อเป้าหมายในสถานการณ์ต่างๆพบว่า AR-15 ,นั้นกระสุนมีโอกาสเข้าเป้าและคล่องตัวกว่าM14 แต่เวลานั้นกองทัพบกประกาศว่า กระสุนที่ใช้ร่วมกันระหว่าปืนเล็กยาวและปืนกลควรใช้กระสุนขนาดเดียวกันนั้นก็มาจากคำแนะนำของ General(นายพล) Maxwell D. Taylor, (Chairman of the Joint Chiefs of Staff) ที่ปรึกษาประธานาธิบดี (President) John F. Kennedy จึงกลายเป็นว่ามีการอนุมัติผลิต M14 เต็มรูปแบบไป
ในปี 1959, ArmaLite ประสบปัญหาทางการเงิน ได้ขายแบบ AR-10 และ AR-15 ให้แก่ Colt จากนั้น Colt จึงได้ดำเนินงาน พัฒนาและผลิต AR-15 ต่อ Colt ได้ทำการปรับปรุงAR-15 หลักๆคือคันรั้งลูกเลื่อนจากเดิมที่อยู่ในหูหิ้วก็ย้ายไปอยู่ท้ายโครงปืน ปรับรูปทรงศูนย์หน้า และลายละเอียดต่างๆอีก แต่พานท้าย,ด้ามปืนและประกับรองลำกล้อง ใช้แบคคาไลท์ และColt ได้เชิญ L. James Sullivan ซึ่งก็เป็นทีมงานอามาไลท์ มาเป็นผู้ปรับปรุง และมี Eugene Stoner มาเป็นที่ปรึกษาปี 1961-62 ก่อนทำงานให้กับ Cadillac Gage และพัฒนา Stoner 63
แต่จากพลการทดสอบต่างๆในปี1960 พลอากาศเอก Curtis LeMay มีความประทับใจปืนแบบ AR-15 จึงได้สั่งให้มีการทดสอบที่ Aberdeen Proving Ground ในปลายปี1959 และมีการพัฒนาปรับปรุงจนเหลืออาการขัดลำกล้องเพียง 2.5 ครั้งต่อการยิง1,000นัด ส่งพลให้AR-15 ได้รับการอนุมัตินำไปใช้ในกองทัพอากาศเป็นเจ้าแรกโดยสั่งซื้อ8,500กระบอกและกระสุน8.5ล้านนัด (ช่วงนั้นเรียกว่า Air Force AR-15s)
ในปี1961 พลอากาศเอก Curtis LeMay ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Air Force Chief of Staff General จึงได้สั่งซื้อAR-15 จำนวน 80,000 กระบอกใช้ในกองทัพอากาศ
ตุลาคมปีเดียวกัน William Godel, ( the Advanced Research Projects Agency, ARPA) ได้ส่งAR-15 ไปทดสอบใช้งานในเวียดนามใต้ 10กระบอก และปี1962กองทัพอากาศสหรัฐฯไปทดลองให้ ทหารบกเวียดนามใต้ใช้งาน(Army of the Republic of Vietnam (ARVN)) จำนวน 1,000 กระบอก ซึ่งพลการทดสอบจำนวน8,000นัดนั้นไม่พบสิ่งผิดปกติรวมถึงการทดสอบหลังเปลี่ยนชิ้นส่วนปืนด้วย
รวมถึงรายงานอำนาจของกระสุนขนาด .223 ว่าถึงแม้ว่าจะไม่สามรถทะลุทะลวงผ่านกิ่งไม้หรือต้นไม้เล็กๆได้แต่กระสุนน้ำหนักเบาเมื่อกระทบเป้าหมายที่เป็นคนกระสุนจะเสียศูนย์แล้วควงแบบไร้ทิศทางในเนื้อเยื่อสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่เป้าหมาย
รัฐบาลจึงแนะนำให้ เวียดนามใต้ใช้ AR-15 เป็นปลย.มาตราฐาน แต่ Admiral Harry Felt (Commander in Chief, Pacific Forces,)ปฏิเสธข้อเสนอนี้ตามคำแนะนำของที่ปรึกษา ทบ.
จากการทดสอบตลอดช่วงปี1962ถึงปี1963 ได้มีการทดสอบAR-15 ทั้งอำนาจการสังหารและความหน้าเชื่อถือซึ่งเป็นไปในเชิงบวก หนึ่งในนั้นคือการทดสอบระยะสั้นโดยพลแม่นปืนนั้น มี 43% ที่สามารถใช้งานได้อย่างชำนาญกับ AR-15 แต่กับ M14มีเพียง22%
แต่ Army Materiel Command ก็มีข้อท้วงติ่งว่า AR-15 มีความแม่นยำน้อยในระยะไกลและอำนาจทะลุทะลวงต่ำ แต่ถึงแบบนั้นในปี 1963 ก็มีการบรรจุ AR-15 เป็นปืนเล็กยาวมาตรฐานของ U.S. Special Forces (Green beret) รวมถึงหน่วยข่าวกรอง /Central Intelligence Agency(CIA). และพลร่มเวียดนามใต้
สารานุกรมปืนตอนที่ 588 The AR-15 ตอนที่ 1 Armalite - Colt AR-15 Part 1
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
จากประสบการณ์การใช้งาน Carbine, Cal .30, M2 หรือ M3 Carbine (พัฒนามาจากM1 Carbine)ที่สามารถยิงแบบอัตโนมัติ ในสงครามโลกครั้งที่2และสงครามเกาหลี ได้ กองทัพอเมริกันได้เห็นถึงการใช้งาน ปืนแบบ Selective fire ซึ่งได้มีการใช้งาบางส่วนในเวียดนามแล้ว อีกทั้งการใช้งานM14 7.62x51mm NATO ไม่เป็นที่น่าพอใจ เมื่อทำการยิงแบบอัตโนมัติ รวมถึงการที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามสามารถยึดปืนแบบ AK-47 ได้จากเวียดนาม
ใน ค.ศ. 1952 อาร์มาไลท์ (Armalite) ซึ่งเป็นแผนกอาวุธปืนของบริษัท Fairchild Aircraft Corp.(19544 โดยมี George Sullivan) และ Charles Dorchester เป็นผู้ก่อตั้ง
โดยมี Eugene M. Stoner เป็น หัวหน้าวิศวกร ได้ออกแบบและจดสิทธิบัตร (หมายเลข 2,951,424 ปี1956 )ระบบบริหารกลไกด้วยแก๊สขับตรงหรือในเวลานั้นเรียกว่า gas operated bolt and carrier system ซึ่งนำมาใช้ออกแบบ AR-10 ขนาด 7.62X15mm. และได้เข้าร่วมโครงการจัดหาปืน selective fire automatic rifle ขนาด 7.62mm นี้โดย Armalite ได้นำแบบปืน AR-10 เสนอแก่ United States Army's Springfield Armory เป็นผู้ทดสอบ แต่ไม่ได้รับการพิจรณา(น่าจะเกิดจากลำกล้องคอมโพซิต (เหล็ก/อลูมีเนียม)แตกในการทดสอบ)
AR-10 ใช้ระบบบริหารกลไกด้วยแก๊สขับลูกเลื่อนโดยตรงหรือ "direct impingement gas system" ขัดกลอนด้วยลูกเลื่อนหมุนตัวขัดกลอน (rotating bolt) โดยการออกแบบของ Armalite มีแนวทางคือใช้วัสดุที่เหมาะสมและทันสมัยที่สุด เบาที่สุด ในเวลานั้น โครงปืนแบบแยก บน/ล่าง จึงใช้อลูมิเนียมทุบขึ้นรูป ซึ่งเจ้าอื่นๆยังไม่ค่อยนิยมใช้กันมากนั้นเพราะมีราคาค่อนข้างสูง
( โครงการนี้ M14 ได้รับการบรรจุเป็น United States Rifle, 7.62 mm, M14 ผลิตโดยSpringfield Armory)
บริษัทอาร์มาไลท์ (Armalite) ได้เคยขาย AR7 ซึ้งเป็น AR-7 "Explorer", .22 LR semi-auto survival rifle ให้กับกองทัพอากาศ สหรัฐฯมาก่อนแล้วเพื่อใช้เป็นปืนสำหรับนักบิน
ในปี 1957 Willard G. Wyman, มีตำแหน่งเป็น Commanding General of Continental Army Command (CONARC) ผู้บัญชาการกองทัพภาคพื้นทวีป ได้ริเริ่มโครงการอาวุธปืนที่ใช้ กระสุนเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กความเร็วสูง หรือ Small Calibre, High Velocity (SCHV)
โดยมีข้อกำหนดคือ
-ใช้กระสุนขนาดหน้าตัด .22 นิ้ว(.22 caliber)
-กระสุนจะต้องรักษาความเร็วหนือเสียงเอาไว้ในระยะทาง 500 หลา
-มีน้ำหนักไม่เกิน 6 ปอนด์
-ซองสุนมีความจุ 20 นัด
-สามารถปรับตำแหน่งการยิงได้ทั้งกึ่งอัตโนมัติและอัตโนมัติ
-เจาะหมวกแหล็กได้1ด้านในระยะ 500 หลา
-เจาะแผ่นเหล็กที่มีความหนา .135" นิ้ว ในระยะ 500 หลา
-ความแม่นยำและขีปนวิถี ใกล้เคียงกระสุนแบบ M2 ball .30-06 ของ M1 Garand)
โดยมีการเชิญทั้ง ArmaLite และ Winchester เข้าร่วมโครงการนี้โดยมีการตั้งธงไว้ที่ขนาด .22 นิ้ว(.22 caliber) โดยในโครงการนี้นั้นที่สุด
( AR-15 ของ ArmaLite ที่ทดสอบโครงการซึ่งต่อมาได้รับการบรรจุเป็นM16 ไม่ได้ถูกบรรจุจากโครงการนี้โดยตรง แต่โครงการนี้ก็มีส่วนช่วยให้ได้รับการพิจรนาในเวลาต่อมา)
โดยก่อนหน้าโครงการ SCHV ของ CONARC ช่วง ปี 1951 รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้มีโครงการ"Project SALVO" ที่วิจัยการใช้อาวุธปืนกระสุนหน้าตัดเล็กที่มีความเร็วสูง ที่มีอำนาจทำลายต่อเป้าหมายเต็มกำลัง("full power")ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ Special Purpose Individual Weapon (SPIW) ของกองทัพบกสหรัฐ ซึ่งมีการพัฒนาระบบอาวุธโดย Springfield Armory และ OlinกับWinchester เป็นอาวุธที่ใช้ซองกระสุนป้อน2แถวซ้อน("duplex load") ในขั้นต้นคือกระสุนต้นแบบ XM110 5.6×53 mm หัวลูกดอก(single dart.) ซึ่งทดสอบกับปืนเล็กยาว Winchester Model 70
ซึ่งต่อมาก็มีบทสรุปว่า กระสุนขนาด .22 นิ้วที่มีความเร็วสูงในระยะหวังผล 300 หลา คือการนำกระสุนมาใช้เต็มอำนาจการทำลายต่อเป้าหมาย แต่แรงสะท้อนรีคอล์ยน้อยลงซึ่งทำให้ปืนเบาลงด้วย
จากโครงการ CONARC ดังกล่าว มีการนำกระสุน .222 Remington มาพัฒนาต่อเป็น .222 Special โดย Earle Harvey หรือบางบางแหล่งเรียกว่า.222 Remington Magnum มาจากความพยายามพัฒนากระสุนแบบ .224 Springfield. ซึ่งพัฒนามาสำหรับปืนแบบ ที่เข้าร่วมโครงการซึ่งได้พัฒนา ‘Caliber .224 Springfield Infantry Rifle’. ซึ่งต้นแบบนี้ก็ใช้กระสุนขนาดหน้าตัด .22 นิ้ว ที่ออกแบบไว้โดย Earle Harvey (คนออกแบบต้นแบบ T25/T47 ) โดยกระสุนของ Earle Harvey มีปลอกกระสุนยาว 47 มม. หรืออาจจะเขียนในแบบยุโรปคือ 5.7 X 47 mm. หัวกระสุนหนัก 55 เกรน แบบ FMJ (ส่วนกระสุนแบบ .222 Remington คือ 5.7×43mm (C.I.P))
โดยอีกทางหนึ่ง Eugene Stoner, L.Jim Sullivan และ Bob Fremon แห่ง Armalite ได้นำปืนแบบ AR-10 มาทำการ scaled-down ใช้กระสุนขนาด .222 Remington เพื่อเข้าร่วมทดสอบในโรงการ SCHVของ CONARC โดยหัวกระสุนนั้นใช้กระสุน Sierra Bullet ของ Frank Snow น้ำหนัก 55 เกรน เพื่อให้กระสุนมีขีปนวิถีตามข้อกำหนดในระยะ 500หลา นั้นจำเป็นจะต้องใช้ความเร็วปากลำกล้องถึง3,300 ฟุตต่อนาที
ซึ่งเหตุนี้จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ส่วนผสมดินปืนซึ่งพัฒนาโดย Robert Hutton โดยเขาใช้ดินปืนของ DuPont แบบ IMR4198, IMR3031, และของ Olin ทดสอบด้วยปืนลูกเลื่อนแบบ Remington 722 ดัดแปลงใช้ลำกล้องขนาด .22 Cal.ของ Apex ถึงแม้กระสุนจะสร้างความเร็วได้ตามที่กำหนดแต่แรงดันในรังเพลิงที่สูงจึงค่อนข้างที่จะไม่ปลอดภัย
แต่ Stoner ก็มาได้กระสุนแบบ .222 Special ของ Earle Harvey จาก Remington ซึ่งใช้ดินปืนของ DuPont แบบ IMR4475 นั้นเอง
*Sullivan จดสิทธิบัตรการออกแบบโครงปืนอลูมีเนียมอัลลอย /ระบบขัดกลอน สิทธิบัตรหมายเลข 3,027,672 ปี 1957 *
** Stoner ได้จดสิทธิบัติ ระบบกลไกของ AR-15 ในปี1959 สิทธิบัตรหมายเลข 3,045,555 **
ในปี1958 ซึ่งได้ทดสอบโดนใช้ปืนต้นแบบ T44E4 (ซึ่งใช้ลำกล้องขนาก .22 นิ้ว) และ AR-15 โดย T44E4 พบว่าขัดลำกล้อง16ครั้งต่อ1,000นัด และ AR-15 พบขัดลำกล้อง 6.1ครั้งต่อ1,000 นัด
ผลจากการทดสอบและพัฒนากระสุนขนาด .22 นิ้วคือ .222 Special ในโครงการ SCHV ก็ได้มีการเปลี่ยนชื่อกระสุนเป็น .223 Remington นั้นเองและจากนั้นมีการทดสอบเรื่อมาจนปี 1963 ในเดือนกันยายน จึงได้ กระสุน.223 Remington กลายเป็นที่ยอมรับและได้ ประจำการในชื่อว่า "Cartridge, 5.56mm Ball, M193."
ในปี1958 Army's Combat Developments Experimentation Command ได้ทำการทดสอบ จำลองสถานการณ์สู้รบเพื่อเปรียบเทียบกันการใช้งานระหว่าง M14 , AR-15 และแบบทดสอบจาก Winchester โดยใช้พลปืนเล็ก 5 ถึง 7 นายทำการยิงแบบต่างๆหรือระดมยิงต่อเป้าหมายในสถานการณ์ต่างๆพบว่า AR-15 ,นั้นกระสุนมีโอกาสเข้าเป้าและคล่องตัวกว่าM14 แต่เวลานั้นกองทัพบกประกาศว่า กระสุนที่ใช้ร่วมกันระหว่าปืนเล็กยาวและปืนกลควรใช้กระสุนขนาดเดียวกันนั้นก็มาจากคำแนะนำของ General(นายพล) Maxwell D. Taylor, (Chairman of the Joint Chiefs of Staff) ที่ปรึกษาประธานาธิบดี (President) John F. Kennedy จึงกลายเป็นว่ามีการอนุมัติผลิต M14 เต็มรูปแบบไป
ในปี 1959, ArmaLite ประสบปัญหาทางการเงิน ได้ขายแบบ AR-10 และ AR-15 ให้แก่ Colt จากนั้น Colt จึงได้ดำเนินงาน พัฒนาและผลิต AR-15 ต่อ Colt ได้ทำการปรับปรุงAR-15 หลักๆคือคันรั้งลูกเลื่อนจากเดิมที่อยู่ในหูหิ้วก็ย้ายไปอยู่ท้ายโครงปืน ปรับรูปทรงศูนย์หน้า และลายละเอียดต่างๆอีก แต่พานท้าย,ด้ามปืนและประกับรองลำกล้อง ใช้แบคคาไลท์ และColt ได้เชิญ L. James Sullivan ซึ่งก็เป็นทีมงานอามาไลท์ มาเป็นผู้ปรับปรุง และมี Eugene Stoner มาเป็นที่ปรึกษาปี 1961-62 ก่อนทำงานให้กับ Cadillac Gage และพัฒนา Stoner 63
แต่จากพลการทดสอบต่างๆในปี1960 พลอากาศเอก Curtis LeMay มีความประทับใจปืนแบบ AR-15 จึงได้สั่งให้มีการทดสอบที่ Aberdeen Proving Ground ในปลายปี1959 และมีการพัฒนาปรับปรุงจนเหลืออาการขัดลำกล้องเพียง 2.5 ครั้งต่อการยิง1,000นัด ส่งพลให้AR-15 ได้รับการอนุมัตินำไปใช้ในกองทัพอากาศเป็นเจ้าแรกโดยสั่งซื้อ8,500กระบอกและกระสุน8.5ล้านนัด (ช่วงนั้นเรียกว่า Air Force AR-15s)
ในปี1961 พลอากาศเอก Curtis LeMay ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Air Force Chief of Staff General จึงได้สั่งซื้อAR-15 จำนวน 80,000 กระบอกใช้ในกองทัพอากาศ
ตุลาคมปีเดียวกัน William Godel, ( the Advanced Research Projects Agency, ARPA) ได้ส่งAR-15 ไปทดสอบใช้งานในเวียดนามใต้ 10กระบอก และปี1962กองทัพอากาศสหรัฐฯไปทดลองให้ ทหารบกเวียดนามใต้ใช้งาน(Army of the Republic of Vietnam (ARVN)) จำนวน 1,000 กระบอก ซึ่งพลการทดสอบจำนวน8,000นัดนั้นไม่พบสิ่งผิดปกติรวมถึงการทดสอบหลังเปลี่ยนชิ้นส่วนปืนด้วย
รวมถึงรายงานอำนาจของกระสุนขนาด .223 ว่าถึงแม้ว่าจะไม่สามรถทะลุทะลวงผ่านกิ่งไม้หรือต้นไม้เล็กๆได้แต่กระสุนน้ำหนักเบาเมื่อกระทบเป้าหมายที่เป็นคนกระสุนจะเสียศูนย์แล้วควงแบบไร้ทิศทางในเนื้อเยื่อสร้างบาดแผลฉกรรจ์ให้แก่เป้าหมาย
รัฐบาลจึงแนะนำให้ เวียดนามใต้ใช้ AR-15 เป็นปลย.มาตราฐาน แต่ Admiral Harry Felt (Commander in Chief, Pacific Forces,)ปฏิเสธข้อเสนอนี้ตามคำแนะนำของที่ปรึกษา ทบ.
จากการทดสอบตลอดช่วงปี1962ถึงปี1963 ได้มีการทดสอบAR-15 ทั้งอำนาจการสังหารและความหน้าเชื่อถือซึ่งเป็นไปในเชิงบวก หนึ่งในนั้นคือการทดสอบระยะสั้นโดยพลแม่นปืนนั้น มี 43% ที่สามารถใช้งานได้อย่างชำนาญกับ AR-15 แต่กับ M14มีเพียง22%
แต่ Army Materiel Command ก็มีข้อท้วงติ่งว่า AR-15 มีความแม่นยำน้อยในระยะไกลและอำนาจทะลุทะลวงต่ำ แต่ถึงแบบนั้นในปี 1963 ก็มีการบรรจุ AR-15 เป็นปืนเล็กยาวมาตรฐานของ U.S. Special Forces (Green beret) รวมถึงหน่วยข่าวกรอง /Central Intelligence Agency(CIA). และพลร่มเวียดนามใต้