JJNY : สโลวาเกียระงับฉีดแอสตราเข็มแรก│ร้านอาหารวอนให้นั่งกินที่ร้าน│นักธุรกิจพาภรรยาบินฉีดวัคซีนUSA│ชวนเผยรบ.ส่งร่างงบ65

สโลวาเกียระงับฉีดวัคซีนโควิด "แอสตราเซเนกา" เป็นเข็มแรกให้กับประชาชน
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2089895?utm_source=PANORAMA_SECTION

 
เมื่อวันที่ 11 พ.ค. เว็บไซต์ข่าว Euronews รายงานว่า รัฐบาลสโลวาเกียประกาศระงับการฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 "แอสตราเซเนกา" ให้กับประชาชนที่จะมารับการฉีดวัคซีนเป็นโดสแรกแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขแถลงว่า ประชาชนที่กำลังรอรับวัคซีนเข็มแรกจะได้รับการพิจารณาไปใช้ของบริษัทอื่นแทน ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขกำลังพิจารณาทางเลือกต่างๆ ให้กับประชาชน และจะมีการเปิดเผยรายละเอียดภายในสัปดาห์นี้ แต่ในส่วนของคนที่รับวัคซีนแอสตราเซเนกา เป็นโดสแรกไปแล้วก่อนหน้านี้ ก็จะได้รับการฉีดกระตุ้นโดสที่ 2 ด้วยวัคซีนของแอสตราเซเนกาต่อไป 
 
ซูซานา เอเลียโซวา โฆษกกระทรวงสาธารณสุขสโลวาเกีย เปิดเผยว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีขึ้นหลังการรับฟังความคิดเห็นจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญ ภายหลังจากองค์การเภสัชกรรมสโลวาเกีย ตรวจสอบข้อมูลพบว่า มีความเป็นไปได้ที่การเสียชีวิตของหญิงวัย 47 ปีที่มีอาการลิ่มเลือดอุดตัน มีความเชื่อมโยงกับวัคซีนแอสตราเซเนกาที่ได้รับไป
 
โดยระบุว่า ผลการชันสูตรศพพบว่าผู้หญิงวัย 47 ปีรายนี้ มีภาวะภาวะหลอดเลือดดำในสมองอุดตัน (cerebral venous sinus thrombosis) โดยพบว่ามีความเป็นไปได้ที่อาจเชื่อมโยงกับวัคซีนที่ได้รับ เนื่องจากเธอมีความบกพร่องทางพันธุกรรมมีแนวโน้มเกิดภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ
 
ที่ผ่านมา หลายประเทศในยุโรปพบกรณีคนที่ได้รับวัคซีนแอสตราเซเนกาแล้วเกิดอาการข้างเคียงภาวะลิ่มเลือดอุดตัน ส่งผลให้มีการระงับใช้ หรือปรับกลุ่มอายุผู้เข้ารับการฉีดวัคซีนตัวนี้ อย่างไรก็ตามองค์การเภสัชกรรมยุโรป ระบุว่า อาการข้างเคียงเกิดลิ่มเลือดอุดตัน และเกล็ดเลือดต่ำ เป็นอาการข้างเคียงหายากมากพบในคนที่รับวัคซีน ของออกซ์ฟอร์ด-แอสตราเซเนกา ซึ่งโดยรวมแล้วประสิทธิภาพการป้องกันยังมีมากกว่าความเสี่ยง.
 
ที่มา Euronews , Rt
 

 
ร้านอาหารวอนรัฐให้นั่งกินที่ร้าน หลังรายได้เหลือเป็นศูนย์ ทำเม็ดเงินหาย 1.1 พันลบ./วัน
https://www.matichon.co.th/economy/news_2718961
 
นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า ธุรกิจอาหารในประเทศไทย มีมูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาทต่อวัน แต่เมื่อเกิดการระบาดโควิด-19 ระลอก 3 ขึ้น ทำให้คนเน้นอยู่บ้านมากขึ้น และงดการเดินทาง เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการติดเชื้อหรือแพร่เชื้อไวรัส โดยในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ยอดขายร้านอาหารในภาพรวมหายไปกว่า 60-70% คิดเป็นมูลค่ารายได้หายไปวันละ 700-800 ล้านบาท ซึ่งช่วงนั้นผู้ประกอบการมองว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นมีความรุนแรงมากอยู่แล้ว แต่เมื่อรัฐบาลได้ประกาศสั่งห้ามนั่งรับประทานอาหารที่ร้าน ยิ่งทำให้ผลกระทบรุนแรงมากขึ้นเข้าไปอีก เนื่องจากเดิมคาดไว้ว่า เมื่อไม่สามารถนั่งทานที่ร้านได้ จะทำให้ธุรกิจสูญเสียรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาทต่อวัน แต่เมื่อประเมินความเสียหายในระบบรวมแล้ว พบว่าเม็ดเงินที่หายไปจริงๆ อยู่ที่ 1,100 ล้านบาทต่อวัน เพราะยอดขายในขณะนี้เหลือเพียง 10-20% เท่านั้น ซึ่งหากประเมินเป็นเม็ดเงินจะเหลือเพียง 300 ล้านบาทที่หมุนเวียนในระบบตอนนี้ โดยจากการหารือร่วมกับสมาชิกในสมาคมฯ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องการคือ อยากให้รัฐบาลอนุญาตให้กลับมานั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ตามปกติ เนื่องจากที่ผ่านมาได้เรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือและเยียวยาธุรกิจที่ถูกกระทบ จากการสั่งห้ามนั่งทานที่ร้าน แต่ยังไม่ได้รับการตอบรับมาทั้งสิ้น ทำให้หากรอการเยียวยาจากรัฐบาล คงไม่สามารถรอได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่มีมาตรการอะไรออกมาเยียวยาธุรกิจที่ได้รับผลกระทบแบบจริงจัง ทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรวม อาทิ ทัวร์นำเที่ยว โรงแรม ธุรกิจร้านอาหารจึงคาดหวังโอกาสในการช่วยเหลือจากรัฐบาลน้อยลง ซึ่งขณะนี้อยากขอเพียงแค่ปล่อยให้ธุรกิจดำเนินการได้ตามปกติต่อไปเท่านั้น
 
การนั่งรับประทานอาหารที่ร้านได้ ถือเป็นทางออกที่จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ในรูปแบบที่ไม่ต้องรอความหวังในการช่วยเหลือจากรัฐบาล ส่วนเมื่ออนุญาตให้นั่งแล้วจะมีหลักปฏิบัติอย่างไร รัฐบาลต้องกำหนดออกมาให้ชัดเจน อาทิ หากเดินทางมาด้วยกันสามารถนั่งด้วยกันได้ไม่เกินโต๊ะละกี่คน เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 2 เมตร ทำความสะอาดจุดสัมผัสร่วมทุกชั่วโมง เป็นต้น โดยที่ผ่านมาได้หารือร่วมกับสมาชิกในสมาคมฯ พบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการให้เปิดนั่งที่ร้าน เพราะกังวลการติดเชื้อโควิดที่สถานการณ์ยังรุนแรง กลัวความเสี่ยงที่จะติดเชื้อทั้งเจ้าของร้าน พนักงาน และลูกค้า จึงต้องการให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเยียวยามาแทน แต่เมื่อมองแนวโน้มแล้วคงไม่มีมาตรการที่ชัดเจนออกมาเยียวยาธุรกิจร้านอาหารแน่นอน จึงหารือกันใหม่ และเห็นตรงกันว่า การเปิดให้นั่งทานที่ร้านได้ จะเป็นทางออกรอดเดียวที่มี เพราะตอนนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้น ทำให้เห็นภาพร้านอาหารขายของไม่ได้ แบบรายได้เป็นศูนย์บาทจริงๆ แล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” นางฐนิวรรณ กล่าว
 
นางฐนิวรรณ กล่าวว่า ขณะนี้สมาคมฯ ได้ยื่นหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อขอวัคซีนต้านโควิด ฉีดให้กับคนในอุตสาหกรรมร้านอาหาร โดยเฉพาะในจังหวัดขนาดใหญ่ ที่มีการบริโภคสูง เพราะจะดึงเม็ดเงินกลับมาเพิ่มมากขึ้นได้ โดยได้เปิดให้ผู้ประกอบการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ในช่วง 4 วันที่ผ่านมา พบว่ามีผู้ต้องการขอรับวัคซีนแล้วกว่า 70,000 คน จึงมองว่ารัฐบาลควรใช้โอกาสช่วงที่ธุรกิจร้านอาหารยังไม่สามารถเปิดนั่งทานที่ร้านได้ตามปกติ เร่งฉีดวัคซีนให้กลุ่มคนเหล่านี้ก่อน เพื่อทยอยลดจำนวนผู้ที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อให้ลดลง โดยสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งทำคือ การคุมโควิดให้ได้ควบคู่ไปกับการฉีดวัคซีนต้านไวรัสให้เร็วที่สุด สำหรับมาตรการช่วยเหลือของรัฐบาลที่ออกมา อาทิ กรมการค้าภายใน ได้ติดตามการดูแลราคาค่าบริการขนส่งเดลิเวอรี่ ซึ่งเป็นค่าคอมมิชชั่นที่ร้านอาหารต้องจ่ายให้กับเจ้าของแพลตฟอร์ม เพื่อดำเนินการต่างๆ หรือค่า จีพี (GP) ซึ่งแม้จะมีการดูแลออกมา แต่ก็ยังไม่ได้เกิดความชัดเจนว่า สรุปแล้วแต่ละแพลตฟอร์มเก็บค่าจีพีอยู่ที่เท่าใด หรือรัฐบาลขอความร่วมมือให้ช่วยเก็บอยู่ที่อัตราเท่าใด จึงจะช่วยเหลือธุรกิจได้จริง รวมถึงการช่วยเหลือในลักษณะนี้ กลุ่มร้านอาหารที่ได้รับประโยชน์จะเป็นกลุ่มที่ขายผ่านออนไลน์ แต่กลุ่มที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าขายผ่านหน้าร้าน ซึ่งมีสัดส่วนมากในอุตสาหกรรมธุรกิจอาหารไทย ยังไม่ได้อานิสงส์เชิงบวกในการช่วยเหลือลักษณะนี้
 
นางฐนิวรรณ กล่าวว่า นอกจากนี้ การช่วยเหลือมาตรการด้านการเงินของรัฐบาล ที่ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. และ ธนาคารออมสิน ปล่อยสินเชื่อวงเงิน 10,000 บาทต่อคน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 0.35% ต่อเดือน ไม่ต้องมีหลักประกันการกู้ ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 งวดแรกเพื่อช่วยเหลือ ใช้งบประมาณรวมกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นวงเงินช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดนั้น มองว่ามาตรการลักษณะนี้ช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยได้ ดีกว่าไม่มีมาตรการอะไรออกมาเลย หรือออกมาแล้วยังไม่ตอบโจทย์แบบช่วงที่ผ่านมา
 


นักธุรกิจดัง พาภรรยาบิน ฉีดวีคซีนโควิดที่สหรัฐฯ
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2719113
  
นักธุรกิจดัง พาภรรยาบิน ฉีดวีคซีนโควิดที่สหรัฐฯ 
 
กรณีนายทอม เครือโสภณ นักธุรกิจไทย เดินทางไปติดต่อธุรกิจที่นครลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 พร้อมโพสต์คลิปการบริการฉีดวีคซีนในสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า ที่นี่มีการฉีดให้กับทุกคนที่เหยียบแผ่นดินสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นคนสัญชาติอเมริกันหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งในสหรัฐฯ มีการฉีดให้เฉพาะบางรัฐเท่านั้น จนกลายเป็นดราม่าที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
 
ล่าสุด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 10 พ.ค.2564 เวลา 13.00 น. ตามเวลาในสหรัฐอเมริกา นายทอม ได้พาภรรยาคือ น.ส.ภริตพร เครือโสภณ อายุ 36 ปี เข้ารับการฉีดวัคซีนที่หน่วยบริการฉีดวีคซีน ถนนฮอลลีวูด นครลอสแอนเจลิส ซึ่งมีการลงทะเบียนไว้ล่วงหน้า และได้รับการตอบรับให้เข้ารับการฉีดได้วันที่ 10 พ.ค. เวลา 15.00 น. ซึ่งในใบลงทะเบียนระบุด้วยว่า วัคซีนที่จะฉีดให้เป็นวัคซีนของจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน
 
นายทอม เปิดเผยว่า ภรรยาตนเข้าฉีดวัคซีนในฐานะนักท่องเที่ยว โดยใช้หนังสือเดินทางไทย และกรอกรายละเอียดตามแบบฟอร์มยืนยันตัวตน เจ้าหน้าที่ไม่ถามอะไร เซ็นชื่อเสร็จ ก็เข้าฉีดเลย สอบถามภรรยาบอกว่าเจ็บเล็กน้อย หลังฉีดเจ้าหน้าที่ให้พัก 15 นาที เพื่อดูว่ามีอาการข้างเคียงหรือไม่ และแจกสายรัดข้อมือแสดงว่าได้ฉีดวัคซีนแล้วให้ใส่ด้วยก่อนให้กลับ
 
นายทอม บอกด้วยว่า การที่พาภรรยามาฉีดวัคซีนครั้งนี้ ถือว่าเป็นโอกาสดี ที่มาทำงานและได้มีโอกาสฉีดวัคซีน และยืนยันสิ่งที่ตนเองโพสต์บอกคนในประเทศไทยว่า ที่สหรัฐอเมริกาเขาฉีดวัคซีนให้ทุกคนฟรีในบางรัฐ ซึ่งประเทศไทยควรให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโดยเร็ว พร้อมขอขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ตน
 
ด้านแพทย์ที่ประจำหน่วยฉีดวัคซีน กล่าวว่า การฉีดวัคซีนให้กับทุกคนที่มาฉีด รวมทั้งนักท่องเที่ยวนั้น ถือว่าเป็นการป้องกันตัวเองของแพทย์ เจ้าหน้าที่ และชาวอเมริกันทุกคนจากไวรัสโควิด-19 ไม่ให้คนที่เข้ามาในสหรัฐอเมริกา นำเชื้อมาแพร่ระบาดติดคนในประเทศ เห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องแล้ว ที่บางรัฐมีนโยบายเช่นนี้

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่