คอลัมน์ "ริ้วผ้าเหลือง" โดย..“เปรียญสิบ” เว็บไซต์ The Buddh
หลายวันมานี่นั่งคิด นอนคิด อยู่ในสวนต่างหวัด ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่ชาวพุทธบ้านเรา อยู่ดี ๆ ทั้งปราชญ์ราชบัณฑิต พระภิกษุสงฆ์ นักวิชาการ นักการเมือง รวมตัวกันเป็น พระราหูพุ่งเป้าไปที่ “มหาเถรสมาคม” แบบไม่ยั้ง
ขนาด “กรรมการมหาเถรบางรูป” เป็นผู้ปัดเป่าแก้พระราหูแท้ ๆ ก็ยังเอาไม่อยู่..มีผ้ายันต์คุ้มกาย กระสูนก็ยังตกใส่แบบไม่หยุด
สาเหตุอาจเป็นเพราะ ชาวพุทธ ทั้งที่เป็นพระภิกษุ และฆราวาส ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนที่เคยล้อมวงฉันข้าวด้วยกันนั่นแหละ เสนอแนะ เตือน เพื่อรักษาพระวินัย เพื่อรักษาพระศาสนา มหาเถรสมาคม กลับไม่พิจารณาเลย
“เปรียญสิบ” ในฐานะนักบวชเก่า มองสังคมณะสงฆ์ประเภท “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” มองตาก็รู้ใจ เพราะเท่าที่เคยคุยกับกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูป ได้เป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม” แบบ งง..งง
บางทีก็อยากยุ “ให้ลาออก” จากกรรมการมหาเถรสมาคมแบบ งง..งง ด้วยก็ดี เพื่อรักษาเกียรติและประวัติที่ดีของตนเองเอาไว้
บางคราวก็อยากทำแบบการเมืองคือ “รณรงค์ในหมู่ชาวพุทธถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปออก” เพื่อแก้วิกฤติศรัทธา
หรือบางอารมณ์ ก็อยากยุให้ผู้ถูกระทำที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากมติมหาเถรสมาคม ฟ้อง ม.157 เสียเลย ในฐานะเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ
แต่ได้แต่คิด..เพราะทำไป ก็มีแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาบ้างเราเสื่อมเสียชื่อเสียง
หรือบางทีก็คิดอยากให้คนอย่าง เจ้าคุณประกอบ “พระพรหมกวี” วัดกัลยาณมิตร คนประเภทยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เข้าไปนั่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณา “สิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ในองค์กรมหาเถร
และหากมีอำนาจจะตั้ง เจ้าคุณทองดี “พระมหาโพธิวงศาจารย์” ราชบัณฑิต วัดราชโอรส เข้าไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม นั่งพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบ้าง
ตอนนี้องค์กรมหาเถรสมาคมตกอยู่ใน “วิกฤติศรัทธา” มิใช่ในหมู่ชาวพุทธอย่างเดียว ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วยคือ “ในหมู่พระภิกษุสงฆ์”
หาก “เปรียญสิบ” อยู่ในวงการอำนาจต้องแก้เกมส์..แก้ภาพลักษณ์ตกต่ำของมหาเถรสมาคมอยู่ ณ ตอนนี้ คิดคร่าว ได้ประมาณ 7-8 ข้อ
1.ต้องระดมความคิดเห็นในหมู่องค์กรพุทธ, นักวิชาการ, สื่อมวลชนสายศาสนาว่า จะแก้ภาพลักษณ์พระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมอย่างไร
2.ตั้งทีมพิจารณาข่าวสารที่มากระทบพระพุทธศาสนา, คณะสงฆ์ และกรรมการมหาเถรสมาคม
3.ตั้งทีมทำงานเพื่อพิจารณากลั่นกรองคำสั่ง ข้อพิจารณาต่าง ๆ ที่ฝ่ายการเมืองเสนอเข้ามาโดยให้ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก ตามเจตนารมณ์ข้อแรกของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
4.ต้องตั้งคณะอนุกรรมาธิการประจำทั้ง 6 ภารกิจของคณะสงฆ์
5.ต้องตั้งทีมงานโฆษกที่เป็นพระภิกษุสงฆ์หรือฆราวาสที่มิใช่ฝ่ายราชการเข้าไปเสริมการประชาสัมพันธ์, แถลงมติของมหาเถรสมาคม
6.ต้องสร้างภาพลักษณ์รับใช้รัฐให้น้อยลง รับใช้สังคมสงฆ์, วัด ให้มากขึ้น
7.ต้องตั้งทีมพีอาร์เชิงรุกบทบาทของสมเด็จพระสังฆราช, กรรมการมหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์ เพื่อให้สังคมรับรู้ข้อมูลข่าวสารในเชิงบวก
8.ส่วนเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนพระพุทธศาสนาในไทย อาจต้องปัดฝุ่นคณะปฎิรูปขึ้นมาใหม่ ให้เชื่อมโยงกับพระต่างจังหวัดให้มากขึ้น คิดนโยบายเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น มิใช่คิดแต่กิจกรรมที่ตอบสนองงานภาครัฐเท่านั้น
อันนี้คร่าว ๆ ส่วนที่อ้างว่าตั้งไว้แล้ว เช่น ฝ่ายประชาสัมพันธ์, ฝ่ายสาธารณะสงฆ์เคราะห์, ฝ่ายปกครอง, ต้องตั้งคำถามว่า ที่ตั้งไว้แล้ว ทำงานหรือไม่, ทำแล้วทำแบบไหน, หรือไม่ได้ทำหรือทำไม่เป็น
ทำไมยิ่งทำ ยิ่งตกต่ำ และตกต่ำมหาเถรสมาคมยังเดียวไม่ว่า แต่นี้กระทบต่อภาพพจน์ส่วนรวมพระพุทธศาสนาในไทยด้วย อันนี้น่าวิตก เพราะกรรมการมหาเถรคงอยู่ได้ไม่กี่ปี แต่พระพุทธศาสนายังอยู่อีกนาน..
และเลิกเถอะกรรมการบางรูปครองประธาน 3-4 ตำแหน่ง พระคุณเจ้าเหล่านี้อาจเก่ง มีความสามารถ แต่เวลาไม่มี และคนเก่งในสังคมสงฆ์เยอะแยะไปหมด ดึงไปใช้งานบ้าง มิใช่เอาแต่พระสงฆ์ คนติดตาม คนถือย่าม ภายในวัดตัวเอง
ตอนนี้ความขัดแย้งในหมู่ชาวพุทธเราค่อนข้างสูง ยิ่งทะเลาะผ่านสื่อสาธารณะ ยิ่งกระทบต่อภาพลักษณ์มหาเถรสมาคมและศรัทธาสังคมพุทธบ้านเรา
ลองไปดูข้อมูลคน “ไม่มีศาสนา” ในบ้านเราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดถึง “ศาสนาอื่น”
และเรื่องเหล่านี้ มหาเถรสมาคม ต้องเป็นหลัก อย่ามัวรอแต่ภาครัฐให้มาช่วย อย่ามัวรอแต่คนโน้นคนนี้ และสำคัญสุด!!
จำได้ไหมที่เคยเทศน์สั่งสอนชาวพุทธว่า “ทำดี อย่าเดี๋ยว”
“เปรียบสิบ” อุ่นใจเมื่อทราบว่าจากผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม แจ้ง คณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม กำลังจะทำโครงการ “วัดช่วยวัด” เฉพาะในส่วนของจังหวัดนครปฐม
ยุคนี้ต้องปฎิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาก ๆ ที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” วิกฤติสังคม วิกฤติศรัทธา คราวนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนักในสังคมพระสงฆ์ โดยเฉพาะ..มหาเถรสมาคม ต้องรีบกอบกู้ศรัทธากลับคืนมาก่อนจะล่มจมมากไปกว่านี้!!!..........
น่าสนใจ และคิดอย่างไรกับข้อเสนอเหล่านี้...
“มหาเถรสมาคม”ต้องกอบกู้วิกฤติศรัทธา
หลายวันมานี่นั่งคิด นอนคิด อยู่ในสวนต่างหวัด ว่าเกิดอะไรขึ้นในหมู่ชาวพุทธบ้านเรา อยู่ดี ๆ ทั้งปราชญ์ราชบัณฑิต พระภิกษุสงฆ์ นักวิชาการ นักการเมือง รวมตัวกันเป็น พระราหูพุ่งเป้าไปที่ “มหาเถรสมาคม” แบบไม่ยั้ง
ขนาด “กรรมการมหาเถรบางรูป” เป็นผู้ปัดเป่าแก้พระราหูแท้ ๆ ก็ยังเอาไม่อยู่..มีผ้ายันต์คุ้มกาย กระสูนก็ยังตกใส่แบบไม่หยุด
สาเหตุอาจเป็นเพราะ ชาวพุทธ ทั้งที่เป็นพระภิกษุ และฆราวาส ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนที่เคยล้อมวงฉันข้าวด้วยกันนั่นแหละ เสนอแนะ เตือน เพื่อรักษาพระวินัย เพื่อรักษาพระศาสนา มหาเถรสมาคม กลับไม่พิจารณาเลย
“เปรียญสิบ” ในฐานะนักบวชเก่า มองสังคมณะสงฆ์ประเภท “ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่” มองตาก็รู้ใจ เพราะเท่าที่เคยคุยกับกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูป ได้เป็น “กรรมการมหาเถรสมาคม” แบบ งง..งง
บางทีก็อยากยุ “ให้ลาออก” จากกรรมการมหาเถรสมาคมแบบ งง..งง ด้วยก็ดี เพื่อรักษาเกียรติและประวัติที่ดีของตนเองเอาไว้
บางคราวก็อยากทำแบบการเมืองคือ “รณรงค์ในหมู่ชาวพุทธถอดถอนกรรมการมหาเถรสมาคมบางรูปออก” เพื่อแก้วิกฤติศรัทธา
หรือบางอารมณ์ ก็อยากยุให้ผู้ถูกระทำที่คิดว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมจากมติมหาเถรสมาคม ฟ้อง ม.157 เสียเลย ในฐานะเจ้าพนักงานปฎิบัติหน้าที่มิชอบ
แต่ได้แต่คิด..เพราะทำไป ก็มีแต่จะทำให้พระพุทธศาสนาบ้างเราเสื่อมเสียชื่อเสียง
หรือบางทีก็คิดอยากให้คนอย่าง เจ้าคุณประกอบ “พระพรหมกวี” วัดกัลยาณมิตร คนประเภทยอมหักแต่ไม่ยอมงอ เข้าไปนั่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เพื่อพิจารณา “สิ่งที่ไม่ถูกต้อง” ในองค์กรมหาเถร
และหากมีอำนาจจะตั้ง เจ้าคุณทองดี “พระมหาโพธิวงศาจารย์” ราชบัณฑิต วัดราชโอรส เข้าไปเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม นั่งพิจารณาข้อเสนอของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติบ้าง
ตอนนี้องค์กรมหาเถรสมาคมตกอยู่ใน “วิกฤติศรัทธา” มิใช่ในหมู่ชาวพุทธอย่างเดียว ในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านด้วยคือ “ในหมู่พระภิกษุสงฆ์”
หาก “เปรียญสิบ” อยู่ในวงการอำนาจต้องแก้เกมส์..แก้ภาพลักษณ์ตกต่ำของมหาเถรสมาคมอยู่ ณ ตอนนี้ คิดคร่าว ได้ประมาณ 7-8 ข้อ
1.ต้องระดมความคิดเห็นในหมู่องค์กรพุทธ, นักวิชาการ, สื่อมวลชนสายศาสนาว่า จะแก้ภาพลักษณ์พระพุทธศาสนาและมหาเถรสมาคมอย่างไร
2.ตั้งทีมพิจารณาข่าวสารที่มากระทบพระพุทธศาสนา, คณะสงฆ์ และกรรมการมหาเถรสมาคม
3.ตั้งทีมทำงานเพื่อพิจารณากลั่นกรองคำสั่ง ข้อพิจารณาต่าง ๆ ที่ฝ่ายการเมืองเสนอเข้ามาโดยให้ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก ตามเจตนารมณ์ข้อแรกของพระราชบัญญัติคณะสงฆ์
4.ต้องตั้งคณะอนุกรรมาธิการประจำทั้ง 6 ภารกิจของคณะสงฆ์
5.ต้องตั้งทีมงานโฆษกที่เป็นพระภิกษุสงฆ์หรือฆราวาสที่มิใช่ฝ่ายราชการเข้าไปเสริมการประชาสัมพันธ์, แถลงมติของมหาเถรสมาคม
6.ต้องสร้างภาพลักษณ์รับใช้รัฐให้น้อยลง รับใช้สังคมสงฆ์, วัด ให้มากขึ้น
7.ต้องตั้งทีมพีอาร์เชิงรุกบทบาทของสมเด็จพระสังฆราช, กรรมการมหาเถรสมาคมและคณะสงฆ์ เพื่อให้สังคมรับรู้ข้อมูลข่าวสารในเชิงบวก
8.ส่วนเพื่อความมั่นคงและยั่งยืนพระพุทธศาสนาในไทย อาจต้องปัดฝุ่นคณะปฎิรูปขึ้นมาใหม่ ให้เชื่อมโยงกับพระต่างจังหวัดให้มากขึ้น คิดนโยบายเชิงรุกให้มากยิ่งขึ้น มิใช่คิดแต่กิจกรรมที่ตอบสนองงานภาครัฐเท่านั้น
อันนี้คร่าว ๆ ส่วนที่อ้างว่าตั้งไว้แล้ว เช่น ฝ่ายประชาสัมพันธ์, ฝ่ายสาธารณะสงฆ์เคราะห์, ฝ่ายปกครอง, ต้องตั้งคำถามว่า ที่ตั้งไว้แล้ว ทำงานหรือไม่, ทำแล้วทำแบบไหน, หรือไม่ได้ทำหรือทำไม่เป็น
ทำไมยิ่งทำ ยิ่งตกต่ำ และตกต่ำมหาเถรสมาคมยังเดียวไม่ว่า แต่นี้กระทบต่อภาพพจน์ส่วนรวมพระพุทธศาสนาในไทยด้วย อันนี้น่าวิตก เพราะกรรมการมหาเถรคงอยู่ได้ไม่กี่ปี แต่พระพุทธศาสนายังอยู่อีกนาน..
และเลิกเถอะกรรมการบางรูปครองประธาน 3-4 ตำแหน่ง พระคุณเจ้าเหล่านี้อาจเก่ง มีความสามารถ แต่เวลาไม่มี และคนเก่งในสังคมสงฆ์เยอะแยะไปหมด ดึงไปใช้งานบ้าง มิใช่เอาแต่พระสงฆ์ คนติดตาม คนถือย่าม ภายในวัดตัวเอง
ตอนนี้ความขัดแย้งในหมู่ชาวพุทธเราค่อนข้างสูง ยิ่งทะเลาะผ่านสื่อสาธารณะ ยิ่งกระทบต่อภาพลักษณ์มหาเถรสมาคมและศรัทธาสังคมพุทธบ้านเรา
ลองไปดูข้อมูลคน “ไม่มีศาสนา” ในบ้านเราเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ไม่ต้องพูดถึง “ศาสนาอื่น”
และเรื่องเหล่านี้ มหาเถรสมาคม ต้องเป็นหลัก อย่ามัวรอแต่ภาครัฐให้มาช่วย อย่ามัวรอแต่คนโน้นคนนี้ และสำคัญสุด!!
จำได้ไหมที่เคยเทศน์สั่งสอนชาวพุทธว่า “ทำดี อย่าเดี๋ยว”
“เปรียบสิบ” อุ่นใจเมื่อทราบว่าจากผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จังหวัดนครปฐม แจ้ง คณะสงฆ์จังหวัดนครปฐม กำลังจะทำโครงการ “วัดช่วยวัด” เฉพาะในส่วนของจังหวัดนครปฐม
ยุคนี้ต้องปฎิบัติคำสอนของพระพุทธเจ้าให้มาก ๆ ที่ว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” วิกฤติสังคม วิกฤติศรัทธา คราวนี้ ใหญ่หลวงยิ่งนักในสังคมพระสงฆ์ โดยเฉพาะ..มหาเถรสมาคม ต้องรีบกอบกู้ศรัทธากลับคืนมาก่อนจะล่มจมมากไปกว่านี้!!!..........
น่าสนใจ และคิดอย่างไรกับข้อเสนอเหล่านี้...