[code][/code]เมื่อก่อนเคยคิดว่า เราทำงานต่อสู้กับโควิกหนักแล้ว
แต่เมื่อดูคลิปที่ รพ.ทำการเผยแพร่ออกมา
ทำให้เห็นแพทย์ พยาบาล (เพื่อนร่วมวิชาชีพ)
และเจ้าหน้าที่แผนกต่างๆของ รพ.ที่ถ่ายทอดออกมา รู้เลยว่าทุกคนพยายามแค่ไหน สู้แค่ไหน
ทำให้การทำงานต่อจากวันนั้นของเรา ที่เหนื่อย ที่ท้อ ที่รู้สึกล้า ที่รู้สึกแย่ หายไปจนหมด
เราคงไม่พูดคำว่า วันนี้เราเหนื่อยมากอีกต่อไป
เพราะขณะนี้ทุกคนทำงานหนักมาก
ทั้งซักประวัติคนไข้ คัดกรองคนไข้ ตรวจคนไข้ รักษาคนไข้ ซึ่งหนักกว่าสิ่งที่เราเจอเป็น100เท่า
เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
วิชาชีพของเราจะเป็นเบื้องหลัง
ของการหายไปของโรคนี้
หวังว่าเราจะทำมันสำเร็จได้
หวังว่าแถวของคนไข้ที่รอตรวจละลดลง
จนกระทั่งหายไป
หวังว่าเราจะไม่สูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิต
คนรอบข้างไปเพราะโรคนี้
แต่สิ่งที่สำคัญคือ
คนไข้ต้องดูแลตัวเอง
คนไข้ต้อง social distancing
คนไข้ต้องเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีน
ยอมรับว่า วัคซีนมีผลข้างเคียง
มันคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น
แต่เราต้องเลือกทำ และเราทำมันเพื่ออะไร
เพื่อลดอัตราเสียชีวิต
เพื่อลดอัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจ
ซึ่งคงเป็นสิ่งสำคัญในตอนนี้
เตียง ICU คือวิกฤต เต็มทุกเตียง
การหาเตียงให้คนไข้ มันไม่ได้สามารถทำในทันที บางคนต้องรอเป็นวันวัน
เราต้องประคับประคองคนไข้ถึงเวลานั้น
มันคงเป็นช่วงเวลานาทีชีวิตของคนคนนั้นก็ว่าได้
เราฉีดวัคซีน 2 เข็มครบ ยอมรับนะว่า กังวล กลัวผลข้างเคียง แต่เราต้องทำ ถ้าเรายังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ในวันที่มีคนไข้เสี่ยงมารับบริการทุกวันอย่างต่อเนื่อง
เข็มแรกของเราไม่มีผลข้างเคียง
ส่วนเข็ม2 เหมือนยานอนหลับ
ง่วงหลังฉีดเพียงไม่กี่นาที
ซึ่งส่วนมากพูดเป็นเสียงเดียวกัน ง่วงเพลีย
แต่บางส่วนก็มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง ที่พบบ่อย
และบางคนท้องเสีย มีผื่น คันได้
และโอกาส anaphylaxis shock ซึ่งโอกาสเกิดน้อยมาก ก็มีเหมือนกันที่เกิดใน รพ.ก็มี ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัว ถ้ารักษาไม่ทันเวลา
ยอมรับเลยว่ามันเหมือนเราลุ้นกับอะไรบางอย่าง แต่ทางเลือกมีเพียงต้องรับมันเท่านั้น เราถึงจะsafe ตัวเองได้บ้าง
แต่สิ่งที่บุคลากรการแพทย์กลัวทุกคน ณ ตอนนี้
คือการที่เราเจอคนที่ปิดบัง timeline
เพราะกลัวจะไม่ได้รักษา ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
เรารักษา เราไม่ทอดทิ้ง แต่เราต้องรู้เพื่อการป้องกันตัวเองเท่านั้น เพื่อให้เราทำหน้าที่ต่อได้
เพราะถ้าคนไข้เป็นโควิดเพียง1คน
บุคลากรแพทย์ที่ได้รับผลกระทบโดยการกักตัว ปริมาณมากกว่านั้นแน่นอน
และต้องกักตัว ทำให้ปริมาณคนทำงานไม่เพียงพอ ต่อคนไข้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากขึ้นทุกวัน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะรับผิดชอบต่อตัวเอง และสังคม โดยการพูดความจริง
เราไปไหนมา เราเจอคนเป็นมั้ย?
เราไปทำอะไรบ้าง
ซึ่งนี่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนทั้งประเทศพูดความจริงเพื่อสังคมได้มากแค่ไหน
เพื่อป้องกันการลุกลามมากกว่านี้ ไปหาคนรอบข้าง ไปหาครอบครัว ไปหาคนที่เรารัก
จนสุดท้ายคงพูดได้เต็มปากว่าสายเกินไป
ป.ล.หวังว่าเราจะเป็น คนตัวเล็ก ๆ 1 คน
ในนั้นที่พาทุกคนผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน
ขอให้พวกเราได้ผ่านวิกฤตcovid-19 ไปด้วยกัน ( บุคลากรกาแพทย์ผู้อยู่เบื้องหลัง)
แต่เมื่อดูคลิปที่ รพ.ทำการเผยแพร่ออกมา
ทำให้เห็นแพทย์ พยาบาล (เพื่อนร่วมวิชาชีพ)
และเจ้าหน้าที่แผนกต่างๆของ รพ.ที่ถ่ายทอดออกมา รู้เลยว่าทุกคนพยายามแค่ไหน สู้แค่ไหน
ทำให้การทำงานต่อจากวันนั้นของเรา ที่เหนื่อย ที่ท้อ ที่รู้สึกล้า ที่รู้สึกแย่ หายไปจนหมด
เราคงไม่พูดคำว่า วันนี้เราเหนื่อยมากอีกต่อไป
เพราะขณะนี้ทุกคนทำงานหนักมาก
ทั้งซักประวัติคนไข้ คัดกรองคนไข้ ตรวจคนไข้ รักษาคนไข้ ซึ่งหนักกว่าสิ่งที่เราเจอเป็น100เท่า
เราจะผ่านมันไปด้วยกัน
วิชาชีพของเราจะเป็นเบื้องหลัง
ของการหายไปของโรคนี้
หวังว่าเราจะทำมันสำเร็จได้
หวังว่าแถวของคนไข้ที่รอตรวจละลดลง
จนกระทั่งหายไป
หวังว่าเราจะไม่สูญเสียบุคคลสำคัญในชีวิต
คนรอบข้างไปเพราะโรคนี้
แต่สิ่งที่สำคัญคือ
คนไข้ต้องดูแลตัวเอง
คนไข้ต้อง social distancing
คนไข้ต้องเห็นความสำคัญของการฉีดวัคซีน
ยอมรับว่า วัคซีนมีผลข้างเคียง
มันคือโอกาสที่จะเกิดขึ้น
แต่เราต้องเลือกทำ และเราทำมันเพื่ออะไร
เพื่อลดอัตราเสียชีวิต
เพื่อลดอัตราการใช้เครื่องช่วยหายใจ
ซึ่งคงเป็นสิ่งสำคัญในตอนนี้
เตียง ICU คือวิกฤต เต็มทุกเตียง
การหาเตียงให้คนไข้ มันไม่ได้สามารถทำในทันที บางคนต้องรอเป็นวันวัน
เราต้องประคับประคองคนไข้ถึงเวลานั้น
มันคงเป็นช่วงเวลานาทีชีวิตของคนคนนั้นก็ว่าได้
เราฉีดวัคซีน 2 เข็มครบ ยอมรับนะว่า กังวล กลัวผลข้างเคียง แต่เราต้องทำ ถ้าเรายังคงต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ในวันที่มีคนไข้เสี่ยงมารับบริการทุกวันอย่างต่อเนื่อง
เข็มแรกของเราไม่มีผลข้างเคียง
ส่วนเข็ม2 เหมือนยานอนหลับ
ง่วงหลังฉีดเพียงไม่กี่นาที
ซึ่งส่วนมากพูดเป็นเสียงเดียวกัน ง่วงเพลีย
แต่บางส่วนก็มีไข้ เจ็บคอ คอแห้ง ที่พบบ่อย
และบางคนท้องเสีย มีผื่น คันได้
และโอกาส anaphylaxis shock ซึ่งโอกาสเกิดน้อยมาก ก็มีเหมือนกันที่เกิดใน รพ.ก็มี ซึ่งเป็นอะไรที่น่ากลัว ถ้ารักษาไม่ทันเวลา
ยอมรับเลยว่ามันเหมือนเราลุ้นกับอะไรบางอย่าง แต่ทางเลือกมีเพียงต้องรับมันเท่านั้น เราถึงจะsafe ตัวเองได้บ้าง
แต่สิ่งที่บุคลากรการแพทย์กลัวทุกคน ณ ตอนนี้
คือการที่เราเจอคนที่ปิดบัง timeline
เพราะกลัวจะไม่ได้รักษา ซึ่งเป็นความคิดที่ผิด
เรารักษา เราไม่ทอดทิ้ง แต่เราต้องรู้เพื่อการป้องกันตัวเองเท่านั้น เพื่อให้เราทำหน้าที่ต่อได้
เพราะถ้าคนไข้เป็นโควิดเพียง1คน
บุคลากรแพทย์ที่ได้รับผลกระทบโดยการกักตัว ปริมาณมากกว่านั้นแน่นอน
และต้องกักตัว ทำให้ปริมาณคนทำงานไม่เพียงพอ ต่อคนไข้ที่ต้องการความช่วยเหลือมากขึ้นทุกวัน
ถึงเวลาแล้วที่เราจะรับผิดชอบต่อตัวเอง และสังคม โดยการพูดความจริง
เราไปไหนมา เราเจอคนเป็นมั้ย?
เราไปทำอะไรบ้าง
ซึ่งนี่จะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคนทั้งประเทศพูดความจริงเพื่อสังคมได้มากแค่ไหน
เพื่อป้องกันการลุกลามมากกว่านี้ ไปหาคนรอบข้าง ไปหาครอบครัว ไปหาคนที่เรารัก
จนสุดท้ายคงพูดได้เต็มปากว่าสายเกินไป
ป.ล.หวังว่าเราจะเป็น คนตัวเล็ก ๆ 1 คน
ในนั้นที่พาทุกคนผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน