เราคบกัน 4.5 ปี แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ความรักที่ผ่านมาราบรื่นตลอด ระหว่างวันเราจะไลน์คุยกัน และประมาณ 2 ทุ่ม ผมจะโทรหาเธอทุกคืน ก่อนนอนเราก็จะบอกรักกันทุกคืน และเราจะเจอกันทุกวันอาทิตย์ครับ
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2563 เธอคิดมากเรื่องหนี้สินของแม่เธอ ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องหนี้สินเธอเคยบอกผมว่าเหลือไม่มาก และผมก็ไม่เคยเห็นเธอเครียดแบบนี้ ผมพยายามถามเธอ แต่เธอไม่บอก ได้แต่บอกว่าไม่รู้ อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัวเธอ จึงไม่อยากพูดอะไรมากไป ผมคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้เพราะผมรู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด และเสียงเธอไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ซึ่งเธอก็บอกว่าเพื่อนที่ทำงานเธอก็บอกว่าเธอเปลี่ยนไปเหมือนกัน ประกอบกับช่วงเวลานั้นเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เธอทำงานหนักมากขึ้น คนไข้เยอะขึ้น (เธอทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง) ผมคิดว่าเด่วเธอก็คงจะดีขึ้น เพราะเธอเครียดจากการทำงาน หากมีเวลาพักผ่อนบ้าง เธอคงมีสติมากขึ้น
เธอไม่ยอมบอกว่ามีปัญหาอะไร ได้แต่เก็บไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าผมจะนิ่งดูดาย ผมพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของเธอเสมอ และร่วมกันหาทางแก้ไข ผมพยายามถามเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย พี่น้องของเธอผมก็ไม่มีเบอร์ติดต่อเลย มีแต่เบอร์ของแม่เธอ ซึ่งเธอยังไม่เคยเปิดตัวผมให้ครอบครัวเธอรู้จักเลย แล้วจะให้ผมโทรไปหาแม่เธอสอบถามปัญหาตรง ๆ เลยหรือครับ ผมเองก็กลุ้มใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร หากคืนไหนผมได้โทรคุยกับเธอ ผมพูดให้กำลังใจเธอทุกครั้ง
เดือนพฤศจิกายน 2563 เธอมาพักอยู่กับแม่ เพราะอพาร์ตเม้นท์ที่เธอเช่าไว้ เจ้าของห้องขอคืน และคืนนั้นระหว่างที่เราคุยกันตอนกลางคืนช่วงที่เธออยู่เวรที่โรงพยาบาล เธอพูดออกมาว่า "มีใหม่ได้นะ" ผมถามกลับไปว่าทำไมพูดแบบนี้ละ เธอตอบว่า พูดเผื่อไว้ เพราะอนาคตไม่แน่นอน ผมจึงพูดว่า มีใหม่แล้วใช่ไหม เธอตอบกลับว่า ถ้ามีก็ดีซิ และผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ช่วงที่เธอมาพักอยู่กับแม่ เธอบอกผมว่าไม่ให้โทรหาเธอ ถ้าเธอไม่ได้อยู่เวร เพราะแม่เธอจะเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้าเพื่อมาขายของ ผมก็เข้าใจ และไม่คิดอะไร ผมจึงได้โทรคุยกับเธอช่วงเฉพาะเวลาที่เธออยู่เวรเท่านั้น
ต่อมาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ ผมไปหาเธอที่โรงพยาบาล พร้อมกับขนมเค้กที่เธอชอบ ดูหน้าตาเธอหมองไปมาก และไม่สดใสเหมือนเก่า คุยกันได้แปปเดียวก็กลับเพราะงานเธอค่อนข้างยุ่ง
และหลังจากนั้น ผมได้แต่ไลน์หาเธอ ซึ่งกว่าเธอจะอ่านก็นานเหลือเกิน และเธอก็ให้เหตุผลว่า งานยุ่ง คนไข้เยอะ จนกระทั่งหลังจากเดือนมกราคม 2564 ผมไลน์ไปหาเธอ แต่เธอไม่อ่าน และไม่ตอบกลับอะไรมาเลยเป็นเวลาหลายวัน ด้วยความเป็นห่วง ผมโทรไปหาเธอหลายครั้ง แต่โทรไม่ได้เลย สัญญาณเป็นสายไม่ว่างตลอด ทำให้ผมเห็นความผิดสังเกต
เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาแม่เธอ เพื่อสอบถามว่าเธอสบายดีหรือไม่ และ
สิ่งที่แม่เธอพูดทำให้ผมรู้ความจริงทั้งหมด แม่เธอบอกว่าเธอไม่ได้อยู่กับแม่ เธอไปอยู่กับเพื่อนของเธอ
ผมเสียใจมาก ทำไมเธอต้องโกหกด้วย เธอน่าจะบอกผมตรง ๆ เพราะอย่างน้อยการที่เราจากกันด้วยดี เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เรื่องที่โทรหาเธอไม่ได้นั้นก็คือเธอล็อคเบอร์ผม และเธอก็บล๊อกไลน์ผม
การที่เธอห้ามไม่ให้โทรหาเธอช่วงที่อยู่กับแม่ ก็เพราะเธอไปอยู่กับแฟนใหม่ของเธอแล้ว และเมื่อเดือนที่แล้ว ผมก็รู้ว่าเธอไปเปิดบัญชีร่วมกับแฟนใหม่ของเธอเรียบร้อยแล้ว
ผมเล่าเรื่องนี้ให้รุ่นพี่ฟัง รุ่นพี่ตอบว่า
ผู้หญิงทุกคนต้องการความมั่นคงในชีวิต และคนเราจากกันมีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่จากเป็น ก็จากตาย เธอกับผมจากเป็นแบบนี้ดีแล้ว และไม่ต้องไปถามเธอว่าทิ้งผมไปทำไม เพราะการที่เรารู้ความจริง อาจทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าเดิม
หลังจากรู้ความจริง 2 อาทิตย์ ผมโทรไปหาเธอที่ทำงาน ขณะที่รอสายผมได้ยินเธอคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงที่สดใส ร่าเริง เธอคงมีความสุขกับแฟนใหม่แล้ว เธอรับสายโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผม เธอพูดฮัลโลหลายครั้ง แต่ผมไม่ได้พูดอะไร แล้วผมก็วางสายไป
ทุกครั้งที่เดินผ่านสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน หรือผ่านร้านอาหารที่เราเคยทานด้วยกัน หรือเห็นเสื้อผ้า และข้าวของที่เธอเคยซื้อให้ ทำให้ผมคิดถึงเธอทุกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเธอจะคิดถึงผมบ้างไหม
ผมได้แต่อวยพรเธออยู่ในใจ ให้เธอมีความสุขกับแฟนใหม่ และขอให้แฟนใหม่ของเธอเป็นคนดี มีคุณธรรม
ช่วงเวลาใดที่คิดถึงเธอ ผมจะบอกกับตัวเองว่า
ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป เราต้องรอด
ผมมานั่งทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา คงเป็นเพราะ "
ผมจน" ไม่สามารถดูแลเธอให้สุขสบายได้
แฟนที่คบกันมา 4.5 ปี หายออกไปจากชีวิตอย่างเงียบ ๆ โดยไม่บอกกล่าวอะไรเลย
จนกระทั่งเดือนตุลาคม 2563 เธอคิดมากเรื่องหนี้สินของแม่เธอ ซึ่งก่อนหน้านี้เรื่องหนี้สินเธอเคยบอกผมว่าเหลือไม่มาก และผมก็ไม่เคยเห็นเธอเครียดแบบนี้ ผมพยายามถามเธอ แต่เธอไม่บอก ได้แต่บอกว่าไม่รู้ อาจเป็นเพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัวเธอ จึงไม่อยากพูดอะไรมากไป ผมคิดว่าต้องมีอะไรมากกว่านี้เพราะผมรู้สึกว่าเธอเปลี่ยนไปมาก ไม่ว่าจะเป็นความคิด คำพูด และเสียงเธอไม่ร่าเริงเหมือนเดิม ซึ่งเธอก็บอกว่าเพื่อนที่ทำงานเธอก็บอกว่าเธอเปลี่ยนไปเหมือนกัน ประกอบกับช่วงเวลานั้นเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เธอทำงานหนักมากขึ้น คนไข้เยอะขึ้น (เธอทำงานในโรงพยาบาลรัฐบาลแห่งหนึ่ง) ผมคิดว่าเด่วเธอก็คงจะดีขึ้น เพราะเธอเครียดจากการทำงาน หากมีเวลาพักผ่อนบ้าง เธอคงมีสติมากขึ้น
เธอไม่ยอมบอกว่ามีปัญหาอะไร ได้แต่เก็บไว้อยู่ในใจ ไม่ใช่ว่าผมจะนิ่งดูดาย ผมพร้อมที่จะรับฟังปัญหาของเธอเสมอ และร่วมกันหาทางแก้ไข ผมพยายามถามเธอแล้ว แต่เธอไม่ยอมพูดอะไรออกมาเลย พี่น้องของเธอผมก็ไม่มีเบอร์ติดต่อเลย มีแต่เบอร์ของแม่เธอ ซึ่งเธอยังไม่เคยเปิดตัวผมให้ครอบครัวเธอรู้จักเลย แล้วจะให้ผมโทรไปหาแม่เธอสอบถามปัญหาตรง ๆ เลยหรือครับ ผมเองก็กลุ้มใจแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร หากคืนไหนผมได้โทรคุยกับเธอ ผมพูดให้กำลังใจเธอทุกครั้ง
เดือนพฤศจิกายน 2563 เธอมาพักอยู่กับแม่ เพราะอพาร์ตเม้นท์ที่เธอเช่าไว้ เจ้าของห้องขอคืน และคืนนั้นระหว่างที่เราคุยกันตอนกลางคืนช่วงที่เธออยู่เวรที่โรงพยาบาล เธอพูดออกมาว่า "มีใหม่ได้นะ" ผมถามกลับไปว่าทำไมพูดแบบนี้ละ เธอตอบว่า พูดเผื่อไว้ เพราะอนาคตไม่แน่นอน ผมจึงพูดว่า มีใหม่แล้วใช่ไหม เธอตอบกลับว่า ถ้ามีก็ดีซิ และผมก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
ช่วงที่เธอมาพักอยู่กับแม่ เธอบอกผมว่าไม่ให้โทรหาเธอ ถ้าเธอไม่ได้อยู่เวร เพราะแม่เธอจะเข้านอนแต่หัวค่ำ และตื่นแต่เช้าเพื่อมาขายของ ผมก็เข้าใจ และไม่คิดอะไร ผมจึงได้โทรคุยกับเธอช่วงเฉพาะเวลาที่เธออยู่เวรเท่านั้น
ต่อมาอีกประมาณ 1 อาทิตย์ ผมไปหาเธอที่โรงพยาบาล พร้อมกับขนมเค้กที่เธอชอบ ดูหน้าตาเธอหมองไปมาก และไม่สดใสเหมือนเก่า คุยกันได้แปปเดียวก็กลับเพราะงานเธอค่อนข้างยุ่ง
และหลังจากนั้น ผมได้แต่ไลน์หาเธอ ซึ่งกว่าเธอจะอ่านก็นานเหลือเกิน และเธอก็ให้เหตุผลว่า งานยุ่ง คนไข้เยอะ จนกระทั่งหลังจากเดือนมกราคม 2564 ผมไลน์ไปหาเธอ แต่เธอไม่อ่าน และไม่ตอบกลับอะไรมาเลยเป็นเวลาหลายวัน ด้วยความเป็นห่วง ผมโทรไปหาเธอหลายครั้ง แต่โทรไม่ได้เลย สัญญาณเป็นสายไม่ว่างตลอด ทำให้ผมเห็นความผิดสังเกต
เดือนกุมภาพันธ์ 2564 ผมจึงตัดสินใจโทรไปหาแม่เธอ เพื่อสอบถามว่าเธอสบายดีหรือไม่ และสิ่งที่แม่เธอพูดทำให้ผมรู้ความจริงทั้งหมด แม่เธอบอกว่าเธอไม่ได้อยู่กับแม่ เธอไปอยู่กับเพื่อนของเธอ
ผมเสียใจมาก ทำไมเธอต้องโกหกด้วย เธอน่าจะบอกผมตรง ๆ เพราะอย่างน้อยการที่เราจากกันด้วยดี เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ เรื่องที่โทรหาเธอไม่ได้นั้นก็คือเธอล็อคเบอร์ผม และเธอก็บล๊อกไลน์ผม
การที่เธอห้ามไม่ให้โทรหาเธอช่วงที่อยู่กับแม่ ก็เพราะเธอไปอยู่กับแฟนใหม่ของเธอแล้ว และเมื่อเดือนที่แล้ว ผมก็รู้ว่าเธอไปเปิดบัญชีร่วมกับแฟนใหม่ของเธอเรียบร้อยแล้ว
ผมเล่าเรื่องนี้ให้รุ่นพี่ฟัง รุ่นพี่ตอบว่าผู้หญิงทุกคนต้องการความมั่นคงในชีวิต และคนเราจากกันมีอยู่ 2 อย่าง คือ ไม่จากเป็น ก็จากตาย เธอกับผมจากเป็นแบบนี้ดีแล้ว และไม่ต้องไปถามเธอว่าทิ้งผมไปทำไม เพราะการที่เรารู้ความจริง อาจทำให้เราเจ็บปวดมากกว่าเดิม
หลังจากรู้ความจริง 2 อาทิตย์ ผมโทรไปหาเธอที่ทำงาน ขณะที่รอสายผมได้ยินเธอคุยกับเพื่อนร่วมงานด้วยน้ำเสียงที่สดใส ร่าเริง เธอคงมีความสุขกับแฟนใหม่แล้ว เธอรับสายโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นผม เธอพูดฮัลโลหลายครั้ง แต่ผมไม่ได้พูดอะไร แล้วผมก็วางสายไป
ทุกครั้งที่เดินผ่านสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน หรือผ่านร้านอาหารที่เราเคยทานด้วยกัน หรือเห็นเสื้อผ้า และข้าวของที่เธอเคยซื้อให้ ทำให้ผมคิดถึงเธอทุกครั้ง แต่ไม่รู้ว่าเธอจะคิดถึงผมบ้างไหม
ผมได้แต่อวยพรเธออยู่ในใจ ให้เธอมีความสุขกับแฟนใหม่ และขอให้แฟนใหม่ของเธอเป็นคนดี มีคุณธรรม
ช่วงเวลาใดที่คิดถึงเธอ ผมจะบอกกับตัวเองว่า ชีวิตต้องก้าวเดินต่อไป เราต้องรอด
ผมมานั่งทบทวนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา คงเป็นเพราะ "ผมจน" ไม่สามารถดูแลเธอให้สุขสบายได้