ชัยชนะของชาวแอตแลนติส โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวเหนือ ร่วมกับคณะ THE FUGITIVE ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สำคัญอย่างใหญ่หลวง สามารถขับไล่ผู้มาจากต่างดาวชาวไซเมนนัสได้ แม้เป็นการชั่วคราวก็ตาม แต่ก็ยังดีกว่าการถูกพวกมันยึดครองแผ่นดิน และตกเป็นทาสของพวกมัน ที่สำคัญมากคือก่อให้เกิดความสามัคคีกันในหมู่ชนชาวแอตแลนติสทั้งเหนือและใต้
แต่เหล่าเร็พไทเลี่ยนชาวไซเมนนัสนั้น หาได้ยอมแพ้และกลับไปสู่ดาวบ้านเกิดโดยง่ายดายไม่...พวกมันเพียงถอยไปตั้งหลักชั่วคราวเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่ามนุษยโลกมี
"ผู้ช่วย" ซึ่งไม่มีใครคาดคิด สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย และถ้าพวกมันไม่รีบขับยานแม่หนีมุด
"พอร์ทัล" หรือช่องมิติอวกาศออกไปโดยเร็วแล้วละก็ เป็นไปได้ว่าจะโดน "แอตลาส" จัดการกำจัดเสียก็ได้
นั่นหมายความว่าพวกมันเกรงขามต่อแอตลาส...ก็จะไม่เกรงขามได้อย่างไร...ขนาดยานลำเล็กลำเดียวซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาไล่ยิงยานบริวารของพวกมันระเบิดกลางเวหากันเป็นระนาว แสดงพลานุภาพเหนือกว่าถึงขนาดนั้น แล้วยังหาญกล้าบุกตะลุยเดี่ยวบินเข้าไปอาละวาดต่อภายในยานแม่ จนกระทั่งแอตลาสโผล่มาและดูดเอายานนั้นออกมาจากยานแม่นั้นแล้วขับไล่ไสส่งพวกมันไป ยานเล็กเพียงแค่นั้น ยังก่อความวินาศสันตะโรแก่พวกมันได้อย่างแสบสันต์เป็นอันมาก แล้วยานใหญ่อย่างแอตลาสซึ่งพวกมันเข้าใจว่าเป็นยานแม่เล่า จะทรงฤทธานุภาพมากขนาดไหน...
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันหวาดกลัวต่อแอตลาสมากมายเพียงใด...เพียงแค่เขาตวาดคำสั้นๆว่า "ไสหัวไป" เท่านั้นเองพวกมันก็รีบรีบร้อนลนลานมุดช่องมิติกาลอวกาศหนีไป แต่ว่า...พวกมันมิใช่ว่า หนีไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก!
ยานแม่รูปทรงซิการ์นั้น หายไปจากน่านฟ้าแห่งโลโคเทีย แล้วไปโผล่อีกที่หนึ่ง คือ เหนือน่านฟ้าแห่งมหานครวงแหวนอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังแห่งจักรพรรดินั่นเอง...ดังนั้น พวกมันยังไม่ยอมแพ้! แต่หนี เพื่อถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ โดยยังคงยึดและรักษาฐานที่มั่นของตน คือแผ่นดินแอตแลนติสใต้ไว้อย่างเหนียวแน่น!
และเกิดผลลัพธ์อีกหนึ่งอย่างตามมา...
เมื่อชาวแอตแลนติสใต้มองเห็นยานบินต่างดาวบินว่อนอยู่เต็มฟ้าโดยมียานแม่ขนาดมหึมาเป็นศูนย์กลาง พวกเขารู้แน่ชัดแล้วว่ายานเหล่านั้นเป็นของชนต่างพิภพ กับทั้งได้ข่าวว่าทางเหนือนั้นเป็นอิสระแล้ว ไม่อยู่ใต้การปกครองของชนต่างดาวแล้ว และจักรพรรดิเนรอสก็ประทับอยู่ด้วย ชาวแอตแลนติสใต้จึงพากันอพยพครั้งใหญ่มุ่งสู่แผ่นดินเหนือกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกเร็พไทเลี่ยนชาวไซเมนนัสก็ปล่อยให้พวกเขาอพยพไป ไม่ขัดขวาง เพราะพวกตนก็ต้องการยึดแผ่นดินใต้เอาไว้ก่อนเพื่อเตรียมแผนการครั้งใหญ่อีกครั้ง...
และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับพวกมันด้วย เพราะพวกมันได้ส่งข่าวและติดต่อเรียกกองกำลังสนับสนุนเพิ่มเติมมาจากดาวไซเมนนัสเป็นทัพใหญ่เลยทีเดียว!
ด้วยว่า การที่พวกมันถูกแอตลาสเศือกไสไล่ส่งด้วยคำว่า
"ไสหัวไป" ที่ผ่านมานั้น สร้างความเจ็บแค้นแก่พวกตนมิใช่น้อย และยิ่งเห็นว่าแอตลาสนั้นเป็นผู้มาจากต่างกาแล็กซี่ ก็ยิ่งเจ็บแค้นมากยิ่งขึ้น หัวหน้าใหญ่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการจึงเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
"มันมาจากต่างดาราจักร มิได้อยู่ร่วมดาราจักรเดียวกับเรา การเข้ามาเศือกของมัน
ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในแห่งดาราจักรทางช้างเผือกนี้ ซึ่งเป็นข้อห้ามระหว่างผู้ทรงภูมิปัญญาซึ่งอาศัยอยู่คนละดาราจักร เพื่อป้องกันมิให้เกิดสงครามระหว่างดวงดาวข้ามดาราจักร กฏข้อนี้ถูกตราขึ้นมาบังคับใช้ระหว่างดาราจักรต่อดาราจักรมายาวนาน ดังนั้น ข้าจะร้องเรียนไปยัง
สมาพันธ์แห่งดวงดาวอันเป็นทวิภาคีแห่งสองดาราจักร เพื่อให้มีคำสั่งให้มันและสหายของมันซึ่งยังอยู่บนดาวโลกนี้ออกไปจากดาวโลกนี้เสีย และต้องไปขึ้นให้การต่อศาลของสมาพันธฺ์"
"เอ่อ...ท่านหัวหน้าขอรับ" บริวารผู้ใกล้ชิดยกมือขึ้นถามกลางที่ประชุมภายในยานแม่ด้วยความระแวงสงสัย "พวกเรา ก็เป็นผู้บุกรุกดาวโลกนี้นะขอรับ ท่านหัวหน้าไม่เกรงว่าจะถูกฟ้องกลับด้วยหรือ ?"
"ใครจะฟ้องกลับ ? พวกอาโนมูอาหรือ ??" หัวหน้าใหญ่ย้อนถาม แล้วอธิบายต่อ "ถ้าเจ้าหมายถึงพวกมันละก็ ไม่มีทางเสียละ! ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าพวกมันมาจากต่างดาราจักร! เมื่อมาจากต่างดาราจักร ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องพวกเราซึ่งอยู่ร่วมดาราจักรเดียวกับชาวโลก กิจการภายใน! เจ้าเข้าใจไหม ? กิจการภายในของชนชาวดาราจักรใด ก็ต้องจัดการโดยชาวดาราจักรนั้น! ผู้มาจากดาราจักรอื่นจะมายุ่งเกี่ยวแทรกแซงมิได้!"
"อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้น ก็สวยสิขอรับ ท่านหัวหน้ารีบทำเรื่องฟ้องไปยังสหพันธ์ฯ เลยขอรับ พวกมันจะได้ไปให้พ้นๆ ไม่เป็นอุปสรรคเสี้ยนหนามขัดขวางพวกเราได้อีกต่อไป"
"แน่นอน! ข้าจะรีบดำเนินการโดยทันที! ตอนนี้เราถอยมาตั้งหลักโดยยึดแอตแลนติสใต้ไว้แล้ว ก็พอมีเวลาจัดการ...หากทางสหพันธ์เห็นด้วยกับข้า พวกมันก็ต้องออกไปจากดาวโลก จะมาขัดขวางพวกเราอีกต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน ทีนี้ พวกเราก็จะสามารถบุกเข้าไปในแดนเหนืออีกครั้งโดยไร้ผู้ขัดขวาง และยึดครองแอตแลนติสทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะขยับขยายไปยังดินแดนอื่นๆ บนดาวโลกนี้" เร็พไทเลี่ยนตัวหัวโจกกล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
แต่...มันก็นึกไม่ถึงว่า แอตลาส หรือสหายคือโพเซดอนและเซอุส ซึ่งเป็นผู้มาจากต่างดาราจักร ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องพวกของตนตามกฏของสมาพันธ์ทวิภาคีแห่งสองกาแล็กซี่ก็จริง...
แต่ยังมีชนผู้อยู่ร่วมกาแลกซี่เดียวกันซึ่งสามารถฟ้องร้องกล่าวโทษพวกตนได้ นั่นก็คือ ชาวเนโอโซรอส ผู้มาจากกลุ่มดาวนายพราน คู่อริของพวกมันนั่นเอง!
เค้าลางแห่งความขัดแย้งและปั่นป่วนวุ่นวายระหว่างดวงดาว ซึ่งอาจคาบเกี่ยวถึงสองกาแล็กซี่ เริ่มส่อแววปรากฏแล้ว...
===============================
ทางด้านแอตแลนติสเหนือ ประชาชนต่างมีการฉลองชัยกันอย่างกว้างขวางและสนุกสนานชื่นมื่น มีการต้อนรับผู้อพยพมาจากทางใต้ และพวกเขาได้สิทธิเป็นพลเมืองเหนือโดยทันทีในทุกเมืองที่พวกเขาเลือกอพยพไป
อย่างไรก็ตาม ข่าวการกลับไปตั้งมั่น ณ ผืนแผ่นดินใต้ของพวกเร็พไทเลี่ยน และการเตรียมการบุกยึดแผ่นดินเหนืออีกครั้งของพวกมัน ก็ล่วงรู้ถึงหูของกัปตันวันชนะและชาวคณะ กับเหล่าบุคคลสำคัญชั้นเสนาธิการแห่งเมืองโลโคเทีย มีอิบิคัสเจ้าเมือง เซบาสเต็นผู้สหาย และเฮโรดัสหัวหน้าตุลาการศาลทวีปเป็นอาทิ ข่าวเรื่องนี้เป็นข่าวล่ามาเร็ว โดยผู้แจ้งข่าวก็คือ
ไดรฟัส ผู้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะนักพลังจิตของออเรเคิลในอดีตซึ่งแปรพักตรมาเข้ากับฝ่ายกัปตันและฝ่ายชาวเหนือนั่นเอง
"นึกว่าพวกมันจะเดินทางกลับไปยังดาวบ้านเกิดของพวกมันแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ ยังย้อนกลับคืนไปแอตแลนติสใต้อีก" เซบาสเต็นกล่าวกับที่ประชุมในศูนย์วิทยาศาสตร์และกองบัญชาการแห่งโลโคเทีย
"จะอย่างไร พวกมันก็มีวิทยาการก้าวหน้าล้ำยุคกว่าชาวแอตแลนติสเรามากนับร้อยเท่าก็ว่าได้ จะให้พวกมันยกธงขาวแล้วกลับดาวบ้านเกิดไปง่ายๆ คงไม่ใช่แน่ ดังนั้นข้าไม่แปลกใจเลย" อิบิคัสกล่าวตอบสหายรัก
"ข้าก็เลยยังไม่สามารถปกครองทั้งสองแผ่นดินได้โดยทันที" จักรพรรดิเนรอสกล่าวเสริม "เพราะฉะนั้น พิธีบรมราชาภิเษก กับอภิเษกสมรสและตั้งเซฟิย่าเป็นจักรพรรดินี ก็คงต้องรอไปก่อน"
"ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท" เซฟิย่าซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกราบทูลต่อพระสวามี "ให้การศึกสำคัญผ่านพ้นไปเสียก่อนก็ไม่สาย และแม้จะนานเพียงใด หม่อมฉันก็รอได้เพคะ"
"ยังไงก็รอได้อยู่แล้วซี่..ของตายนี่นา" ฟิลิปเป้น้องชายพูดแซว ในระยะหลังๆ เขาและน้องสาวคนสุดท้องคือเซฟิน่า มีความรู้สึกที่ดีขึ้นต่อจักรพรรดิ
"ก็น่านน่ะซี้...คู่แข่งไม่มีแล้วนี่นา หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ท่าทางยากที่จะกลับมาเสียด้วย!" เซฟิน่าร่วมผสมโรงด้วย
ผู้เป็นพี่สาวใหญ่ยิ้มระรื่น แต่เซบิน่าผู้เป็นมารดาซึ่งอยู่ข้างๆ เฮโรดัสหันมากระตุกแขนลูกสาวคนเล็ก และดุทั้งสองคนเบาๆ
"พวกเจ้านี่ พูดจาอะไรระวังคำพูดหน่อย! ออเรเคิลมีคนที่เกี่ยวข้องด้วยหลายคนในคณะของท่านวันชนะ โดยเฉพาะ ออเรร่า พี่สาวของนาง! บางคำของพวกเจ้าอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขาได้"
"อ่า ขอรับ ท่านแม่ ขออภัยขอรับ" ฟิลิปเป้กล่าวเสียงอ่อยๆ
"เอ่อ...ค่ะ ขอโทษเจ้าค่ะ" เซฟิน่าก็เช่นเดียวกัน แล้วหันไปกล่าวโทษพี่ชาย "ฟิลิป! ไม่น่าพูดนำก่อนเลย โดนท่านแม่ดุเลยเห็นไหม"
"เอ๊อ! แล้วเจ้าดันพูดเสริมทำไมเล่า!" ฟิลิปเป้โต้ตอบน้องเล็กปนหัวเราะ
"พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกมันเหมือนกัน ไม่รู้เมื่อไรพวกมันจะบุกโจมตีพวกเราอีก" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสกล่าวในที่ประชุม
"แน่นอนขอรับ ท่านอาจารย์ปู่" อิบิคัสพยักหน้า "พวกเราจะไม่ประมาทแน่นอน"
"ฝากไดรฟัสเป็นหูเป็นตาแทนพวกเราด้วยก็แล้วกันนะ" กัปตันหันไปบอกสายลับคนพิเศษ
"ได้ขอรับนายท่าน ไม่ต้องห่วงขอรับ มีอะไรเพิ่มเติม ข้าน้อยจะรีบมารายงานทันทีขอรับ" ไดรฟัสรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
"ช่วงนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ทั่วไปยังเงียบสงบ ไม่มีอะไร เรามาคุยกันเรื่องเกี่ยวกับออเรเคิลกันดีกว่านะ" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"ได้ขอรับ อาจารย์ปู่" กัปตันตอบ แล้วต่อด้วยการยิงคำถามแรก "ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับนางหรือขอรับ ?"
"ครั้งก่อน ที่แม่หมอเล็กเปิดไพ่ทำนาย โดยให้ออเรร่าหยิบไพ่แทนออเรเคิล ผลออกมาก็นับว่าสอดคล้องกับความเป็นจริงมากทีเดียว"
"โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของนาง" แม่หมอฟรีด้ากล่าวต่อ "ซึ่งแม่หมอเล็กบอกว่า อาจจะเป็นการตายแล้วเกิดใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลง เป็นจุดจบเพื่อการเริ่มต้นใหม่ อะไรทำนองนั้น ใช่ไหมแม่หมอ ?" นางหันไปถามสาวเล็ก
"ถูกต้องเจ้าค่ะ" แม่หมอเหมือนกันยิ้มตอบ
"แล้วก็เผอิญ ได้ยินว่า ตอนที่พวกเรากำลังอยู่บนยานและต่อสู้กับยานต่างดาว ออเรร่าเกิดอาการแปลกประหลาดเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายได้พบว่าตนเองมีความสามารถพิเศษ คือหายใจในน้ำได้โดยใช้เหงือกเหมือนปลา เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ?" แม่หมอฟรีด้าหันไปถามสาวแฝดผู้พี่
"ใช่เจ้าค่ะ แม่หมอ" ออเรร่าตอบอย่างเขินๆ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านแล้วตอนนี้ "ก่อนหน้านั้น ข้ารู้สึกเมาก่อน เมาเหมือนเมาสุรา แล้วต่อมา ก็รู้สึกเย็นๆ เปียกๆ กระทบเท้า แข้ง ขา สะเอว หนาวสั่นทีเดียว แล้วก็ถึงหน้าอก ถึงคอ ข้าสงสัยทันทีว่านางมารร้ายนั่นต้องลงไปในน้ำ จะฆ่าตัวตายหรืออย่างไร แล้วก็เหมือนน้ำเข้าปากเข้าจมูก จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองนอนจมอยู่ในน้ำ ในอ่างอาบน้ำเจ้าค่ะ"
"นกกับพี่จอยนั่งอยู่ใกล้ๆนาง เห็นเข้าพอดี ก็เลยพานางลงไปนอนในอ่างอาบน้ำเองเจ้าค่ะ เปิดน้ำจนเต็มอ่าง ปล่อยให้นางนอนจมอยู่ใต้น้ำ ปรากฏว่ามีเหงือกโผล่ออกมาใต้แก้ม หายใจในน้ำอย่างสบายทีเดียว เหลือเชื่อมาก" รัชนกแฝดผู้พี่อีกคนแต่คนละพ่อแม่กับออเรร่าบรรยายเสริม
"เหตุการณ์นี้ น่าจะบ่งชี้ว่า ออเรเคิลต้องทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง เป็นไปได้มากว่า นางคงจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยดื่มสุราคลายทุกข์ก่อน ออเรร่าจึงมีความรู้สึกมึนเมา แล้วจากนั้นนางก็คงเดินลงไปในน้ำ...คงเป็นที่ไหนสักแห่งบนเกาะนิรนาม" กัปตันวิเคราะห์
"นางคงจะ...เสียใจ กับการกระทำของตัวเองสินะ..." จักรพรรดิเนรอส ตรัสด้วยสีพระพักตรและแววพระเนตรเครียดขรึม ปนกับเศร้าซึมลึกๆ
"เฮ้อ...แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! ตนเองทำอะไรไว้ ก็คือตนเองนั่นแหละต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นเอง...ช่วยไม่ได้จริงๆ"
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับออเรเคิล มีทหารนายหนึ่งเข้ามากราบทูลถวายรายงาน
"ขอเดชะฝ่าบาท มีบุรุษคนหนึ่ง เป็นคนขับยานบินโดยสารรับจ้าง มาขอเข้าเฝ้า เขาบอกว่ามีของบางอย่างจากออเรเคิลมาถวายแด่พระองค์พระเจ้าข้า"
"หืมม? มีของบางอย่าง จากออเรเคิล มาให้ข้า อย่างนั้นหรือ ??? เนรอสสดับแล้วเบิกพระเนตรกว้าง "รีบพาเขาเข้ามาพบข้า โดยเร็ว"
"พระเจ้าข้า"
ทหารนายนั้นรับพระบัญชาแล้วโค้งถวายกาความเคารพ กลับหลังหัน รีบผลุนผันออกไป ครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาในที่ประชุม พร้อมกับพาตัวชายคนขับยานบินโดยสารคนนั้นมาด้วย
(มีต่อครับ) ^^
💫🕛💫🚀 แดนศิวิไลซ์ ( หลงกาล ภาค 2 ) ตอนที่ 58 (ยาวเป็นพิเศษ ฉลอง HBD คนเขียน) 🚀💫🕛💫
แต่เหล่าเร็พไทเลี่ยนชาวไซเมนนัสนั้น หาได้ยอมแพ้และกลับไปสู่ดาวบ้านเกิดโดยง่ายดายไม่...พวกมันเพียงถอยไปตั้งหลักชั่วคราวเท่านั้นเอง เมื่อเห็นว่ามนุษยโลกมี "ผู้ช่วย" ซึ่งไม่มีใครคาดคิด สอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย และถ้าพวกมันไม่รีบขับยานแม่หนีมุด "พอร์ทัล" หรือช่องมิติอวกาศออกไปโดยเร็วแล้วละก็ เป็นไปได้ว่าจะโดน "แอตลาส" จัดการกำจัดเสียก็ได้
นั่นหมายความว่าพวกมันเกรงขามต่อแอตลาส...ก็จะไม่เกรงขามได้อย่างไร...ขนาดยานลำเล็กลำเดียวซึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวออกมาไล่ยิงยานบริวารของพวกมันระเบิดกลางเวหากันเป็นระนาว แสดงพลานุภาพเหนือกว่าถึงขนาดนั้น แล้วยังหาญกล้าบุกตะลุยเดี่ยวบินเข้าไปอาละวาดต่อภายในยานแม่ จนกระทั่งแอตลาสโผล่มาและดูดเอายานนั้นออกมาจากยานแม่นั้นแล้วขับไล่ไสส่งพวกมันไป ยานเล็กเพียงแค่นั้น ยังก่อความวินาศสันตะโรแก่พวกมันได้อย่างแสบสันต์เป็นอันมาก แล้วยานใหญ่อย่างแอตลาสซึ่งพวกมันเข้าใจว่าเป็นยานแม่เล่า จะทรงฤทธานุภาพมากขนาดไหน...
ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกมันหวาดกลัวต่อแอตลาสมากมายเพียงใด...เพียงแค่เขาตวาดคำสั้นๆว่า "ไสหัวไป" เท่านั้นเองพวกมันก็รีบรีบร้อนลนลานมุดช่องมิติกาลอวกาศหนีไป แต่ว่า...พวกมันมิใช่ว่า หนีไปแล้ว จะไม่กลับมาอีก!
ยานแม่รูปทรงซิการ์นั้น หายไปจากน่านฟ้าแห่งโลโคเทีย แล้วไปโผล่อีกที่หนึ่ง คือ เหนือน่านฟ้าแห่งมหานครวงแหวนอันเป็นที่ตั้งของพระราชวังแห่งจักรพรรดินั่นเอง...ดังนั้น พวกมันยังไม่ยอมแพ้! แต่หนี เพื่อถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ โดยยังคงยึดและรักษาฐานที่มั่นของตน คือแผ่นดินแอตแลนติสใต้ไว้อย่างเหนียวแน่น!
และเกิดผลลัพธ์อีกหนึ่งอย่างตามมา...
เมื่อชาวแอตแลนติสใต้มองเห็นยานบินต่างดาวบินว่อนอยู่เต็มฟ้าโดยมียานแม่ขนาดมหึมาเป็นศูนย์กลาง พวกเขารู้แน่ชัดแล้วว่ายานเหล่านั้นเป็นของชนต่างพิภพ กับทั้งได้ข่าวว่าทางเหนือนั้นเป็นอิสระแล้ว ไม่อยู่ใต้การปกครองของชนต่างดาวแล้ว และจักรพรรดิเนรอสก็ประทับอยู่ด้วย ชาวแอตแลนติสใต้จึงพากันอพยพครั้งใหญ่มุ่งสู่แผ่นดินเหนือกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน พวกเร็พไทเลี่ยนชาวไซเมนนัสก็ปล่อยให้พวกเขาอพยพไป ไม่ขัดขวาง เพราะพวกตนก็ต้องการยึดแผ่นดินใต้เอาไว้ก่อนเพื่อเตรียมแผนการครั้งใหญ่อีกครั้ง...และมันอาจเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับพวกมันด้วย เพราะพวกมันได้ส่งข่าวและติดต่อเรียกกองกำลังสนับสนุนเพิ่มเติมมาจากดาวไซเมนนัสเป็นทัพใหญ่เลยทีเดียว!
ด้วยว่า การที่พวกมันถูกแอตลาสเศือกไสไล่ส่งด้วยคำว่า "ไสหัวไป" ที่ผ่านมานั้น สร้างความเจ็บแค้นแก่พวกตนมิใช่น้อย และยิ่งเห็นว่าแอตลาสนั้นเป็นผู้มาจากต่างกาแล็กซี่ ก็ยิ่งเจ็บแค้นมากยิ่งขึ้น หัวหน้าใหญ่ซึ่งเป็นผู้บัญชาการจึงเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา
"มันมาจากต่างดาราจักร มิได้อยู่ร่วมดาราจักรเดียวกับเรา การเข้ามาเศือกของมัน ถือว่าเป็นการแทรกแซงกิจการภายในแห่งดาราจักรทางช้างเผือกนี้ ซึ่งเป็นข้อห้ามระหว่างผู้ทรงภูมิปัญญาซึ่งอาศัยอยู่คนละดาราจักร เพื่อป้องกันมิให้เกิดสงครามระหว่างดวงดาวข้ามดาราจักร กฏข้อนี้ถูกตราขึ้นมาบังคับใช้ระหว่างดาราจักรต่อดาราจักรมายาวนาน ดังนั้น ข้าจะร้องเรียนไปยังสมาพันธ์แห่งดวงดาวอันเป็นทวิภาคีแห่งสองดาราจักร เพื่อให้มีคำสั่งให้มันและสหายของมันซึ่งยังอยู่บนดาวโลกนี้ออกไปจากดาวโลกนี้เสีย และต้องไปขึ้นให้การต่อศาลของสมาพันธฺ์"
"เอ่อ...ท่านหัวหน้าขอรับ" บริวารผู้ใกล้ชิดยกมือขึ้นถามกลางที่ประชุมภายในยานแม่ด้วยความระแวงสงสัย "พวกเรา ก็เป็นผู้บุกรุกดาวโลกนี้นะขอรับ ท่านหัวหน้าไม่เกรงว่าจะถูกฟ้องกลับด้วยหรือ ?"
"ใครจะฟ้องกลับ ? พวกอาโนมูอาหรือ ??" หัวหน้าใหญ่ย้อนถาม แล้วอธิบายต่อ "ถ้าเจ้าหมายถึงพวกมันละก็ ไม่มีทางเสียละ! ข้าบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าพวกมันมาจากต่างดาราจักร! เมื่อมาจากต่างดาราจักร ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะฟ้องร้องพวกเราซึ่งอยู่ร่วมดาราจักรเดียวกับชาวโลก กิจการภายใน! เจ้าเข้าใจไหม ? กิจการภายในของชนชาวดาราจักรใด ก็ต้องจัดการโดยชาวดาราจักรนั้น! ผู้มาจากดาราจักรอื่นจะมายุ่งเกี่ยวแทรกแซงมิได้!"
"อ๊ะ! ถ้าอย่างนั้น ก็สวยสิขอรับ ท่านหัวหน้ารีบทำเรื่องฟ้องไปยังสหพันธ์ฯ เลยขอรับ พวกมันจะได้ไปให้พ้นๆ ไม่เป็นอุปสรรคเสี้ยนหนามขัดขวางพวกเราได้อีกต่อไป"
"แน่นอน! ข้าจะรีบดำเนินการโดยทันที! ตอนนี้เราถอยมาตั้งหลักโดยยึดแอตแลนติสใต้ไว้แล้ว ก็พอมีเวลาจัดการ...หากทางสหพันธ์เห็นด้วยกับข้า พวกมันก็ต้องออกไปจากดาวโลก จะมาขัดขวางพวกเราอีกต่อไปไม่ได้อย่างแน่นอน ทีนี้ พวกเราก็จะสามารถบุกเข้าไปในแดนเหนืออีกครั้งโดยไร้ผู้ขัดขวาง และยึดครองแอตแลนติสทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะขยับขยายไปยังดินแดนอื่นๆ บนดาวโลกนี้" เร็พไทเลี่ยนตัวหัวโจกกล่าวด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง
แต่...มันก็นึกไม่ถึงว่า แอตลาส หรือสหายคือโพเซดอนและเซอุส ซึ่งเป็นผู้มาจากต่างดาราจักร ไม่มีสิทธิ์ฟ้องร้องพวกของตนตามกฏของสมาพันธ์ทวิภาคีแห่งสองกาแล็กซี่ก็จริง...แต่ยังมีชนผู้อยู่ร่วมกาแลกซี่เดียวกันซึ่งสามารถฟ้องร้องกล่าวโทษพวกตนได้ นั่นก็คือ ชาวเนโอโซรอส ผู้มาจากกลุ่มดาวนายพราน คู่อริของพวกมันนั่นเอง!
เค้าลางแห่งความขัดแย้งและปั่นป่วนวุ่นวายระหว่างดวงดาว ซึ่งอาจคาบเกี่ยวถึงสองกาแล็กซี่ เริ่มส่อแววปรากฏแล้ว...
อย่างไรก็ตาม ข่าวการกลับไปตั้งมั่น ณ ผืนแผ่นดินใต้ของพวกเร็พไทเลี่ยน และการเตรียมการบุกยึดแผ่นดินเหนืออีกครั้งของพวกมัน ก็ล่วงรู้ถึงหูของกัปตันวันชนะและชาวคณะ กับเหล่าบุคคลสำคัญชั้นเสนาธิการแห่งเมืองโลโคเทีย มีอิบิคัสเจ้าเมือง เซบาสเต็นผู้สหาย และเฮโรดัสหัวหน้าตุลาการศาลทวีปเป็นอาทิ ข่าวเรื่องนี้เป็นข่าวล่ามาเร็ว โดยผู้แจ้งข่าวก็คือ ไดรฟัส ผู้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกคณะนักพลังจิตของออเรเคิลในอดีตซึ่งแปรพักตรมาเข้ากับฝ่ายกัปตันและฝ่ายชาวเหนือนั่นเอง
"นึกว่าพวกมันจะเดินทางกลับไปยังดาวบ้านเกิดของพวกมันแล้วเสียอีก ที่ไหนได้ ยังย้อนกลับคืนไปแอตแลนติสใต้อีก" เซบาสเต็นกล่าวกับที่ประชุมในศูนย์วิทยาศาสตร์และกองบัญชาการแห่งโลโคเทีย
"จะอย่างไร พวกมันก็มีวิทยาการก้าวหน้าล้ำยุคกว่าชาวแอตแลนติสเรามากนับร้อยเท่าก็ว่าได้ จะให้พวกมันยกธงขาวแล้วกลับดาวบ้านเกิดไปง่ายๆ คงไม่ใช่แน่ ดังนั้นข้าไม่แปลกใจเลย" อิบิคัสกล่าวตอบสหายรัก
"ข้าก็เลยยังไม่สามารถปกครองทั้งสองแผ่นดินได้โดยทันที" จักรพรรดิเนรอสกล่าวเสริม "เพราะฉะนั้น พิธีบรมราชาภิเษก กับอภิเษกสมรสและตั้งเซฟิย่าเป็นจักรพรรดินี ก็คงต้องรอไปก่อน"
"ไม่เป็นไรเพคะ ฝ่าบาท" เซฟิย่าซึ่งนั่งอยู่เคียงข้างกราบทูลต่อพระสวามี "ให้การศึกสำคัญผ่านพ้นไปเสียก่อนก็ไม่สาย และแม้จะนานเพียงใด หม่อมฉันก็รอได้เพคะ"
"ยังไงก็รอได้อยู่แล้วซี่..ของตายนี่นา" ฟิลิปเป้น้องชายพูดแซว ในระยะหลังๆ เขาและน้องสาวคนสุดท้องคือเซฟิน่า มีความรู้สึกที่ดีขึ้นต่อจักรพรรดิ
"ก็น่านน่ะซี้...คู่แข่งไม่มีแล้วนี่นา หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ท่าทางยากที่จะกลับมาเสียด้วย!" เซฟิน่าร่วมผสมโรงด้วย
ผู้เป็นพี่สาวใหญ่ยิ้มระรื่น แต่เซบิน่าผู้เป็นมารดาซึ่งอยู่ข้างๆ เฮโรดัสหันมากระตุกแขนลูกสาวคนเล็ก และดุทั้งสองคนเบาๆ
"พวกเจ้านี่ พูดจาอะไรระวังคำพูดหน่อย! ออเรเคิลมีคนที่เกี่ยวข้องด้วยหลายคนในคณะของท่านวันชนะ โดยเฉพาะ ออเรร่า พี่สาวของนาง! บางคำของพวกเจ้าอาจจะกระทบกระเทือนจิตใจพวกเขาได้"
"อ่า ขอรับ ท่านแม่ ขออภัยขอรับ" ฟิลิปเป้กล่าวเสียงอ่อยๆ
"เอ่อ...ค่ะ ขอโทษเจ้าค่ะ" เซฟิน่าก็เช่นเดียวกัน แล้วหันไปกล่าวโทษพี่ชาย "ฟิลิป! ไม่น่าพูดนำก่อนเลย โดนท่านแม่ดุเลยเห็นไหม"
"เอ๊อ! แล้วเจ้าดันพูดเสริมทำไมเล่า!" ฟิลิปเป้โต้ตอบน้องเล็กปนหัวเราะ
"พวกเราต้องเตรียมตัวรับมือกับพวกมันเหมือนกัน ไม่รู้เมื่อไรพวกมันจะบุกโจมตีพวกเราอีก" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสกล่าวในที่ประชุม
"แน่นอนขอรับ ท่านอาจารย์ปู่" อิบิคัสพยักหน้า "พวกเราจะไม่ประมาทแน่นอน"
"ฝากไดรฟัสเป็นหูเป็นตาแทนพวกเราด้วยก็แล้วกันนะ" กัปตันหันไปบอกสายลับคนพิเศษ
"ได้ขอรับนายท่าน ไม่ต้องห่วงขอรับ มีอะไรเพิ่มเติม ข้าน้อยจะรีบมารายงานทันทีขอรับ" ไดรฟัสรับปากอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะ
"ช่วงนี้ ดูเหมือนสถานการณ์ทั่วไปยังเงียบสงบ ไม่มีอะไร เรามาคุยกันเรื่องเกี่ยวกับออเรเคิลกันดีกว่านะ" ผู้เฒ่าไดโอเซนัสเปลี่ยนเรื่องสนทนา
"ได้ขอรับ อาจารย์ปู่" กัปตันตอบ แล้วต่อด้วยการยิงคำถามแรก "ท่านคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับนางหรือขอรับ ?"
"ครั้งก่อน ที่แม่หมอเล็กเปิดไพ่ทำนาย โดยให้ออเรร่าหยิบไพ่แทนออเรเคิล ผลออกมาก็นับว่าสอดคล้องกับความเป็นจริงมากทีเดียว"
"โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายของนาง" แม่หมอฟรีด้ากล่าวต่อ "ซึ่งแม่หมอเล็กบอกว่า อาจจะเป็นการตายแล้วเกิดใหม่ หรือการเปลี่ยนแปลง เป็นจุดจบเพื่อการเริ่มต้นใหม่ อะไรทำนองนั้น ใช่ไหมแม่หมอ ?" นางหันไปถามสาวเล็ก
"ถูกต้องเจ้าค่ะ" แม่หมอเหมือนกันยิ้มตอบ
"แล้วก็เผอิญ ได้ยินว่า ตอนที่พวกเรากำลังอยู่บนยานและต่อสู้กับยานต่างดาว ออเรร่าเกิดอาการแปลกประหลาดเพิ่มขึ้น จนสุดท้ายได้พบว่าตนเองมีความสามารถพิเศษ คือหายใจในน้ำได้โดยใช้เหงือกเหมือนปลา เป็นอย่างนั้นจริงหรือ ?" แม่หมอฟรีด้าหันไปถามสาวแฝดผู้พี่
"ใช่เจ้าค่ะ แม่หมอ" ออเรร่าตอบอย่างเขินๆ เพราะรู้สึกเหมือนตัวเองแปลกๆ ไม่เหมือนชาวบ้านแล้วตอนนี้ "ก่อนหน้านั้น ข้ารู้สึกเมาก่อน เมาเหมือนเมาสุรา แล้วต่อมา ก็รู้สึกเย็นๆ เปียกๆ กระทบเท้า แข้ง ขา สะเอว หนาวสั่นทีเดียว แล้วก็ถึงหน้าอก ถึงคอ ข้าสงสัยทันทีว่านางมารร้ายนั่นต้องลงไปในน้ำ จะฆ่าตัวตายหรืออย่างไร แล้วก็เหมือนน้ำเข้าปากเข้าจมูก จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย ตื่นขึ้นมาอีกที พบว่าตัวเองนอนจมอยู่ในน้ำ ในอ่างอาบน้ำเจ้าค่ะ"
"นกกับพี่จอยนั่งอยู่ใกล้ๆนาง เห็นเข้าพอดี ก็เลยพานางลงไปนอนในอ่างอาบน้ำเองเจ้าค่ะ เปิดน้ำจนเต็มอ่าง ปล่อยให้นางนอนจมอยู่ใต้น้ำ ปรากฏว่ามีเหงือกโผล่ออกมาใต้แก้ม หายใจในน้ำอย่างสบายทีเดียว เหลือเชื่อมาก" รัชนกแฝดผู้พี่อีกคนแต่คนละพ่อแม่กับออเรร่าบรรยายเสริม
"เหตุการณ์นี้ น่าจะบ่งชี้ว่า ออเรเคิลต้องทำอะไรบางอย่างกับตัวเอง เป็นไปได้มากว่า นางคงจะตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยดื่มสุราคลายทุกข์ก่อน ออเรร่าจึงมีความรู้สึกมึนเมา แล้วจากนั้นนางก็คงเดินลงไปในน้ำ...คงเป็นที่ไหนสักแห่งบนเกาะนิรนาม" กัปตันวิเคราะห์
"นางคงจะ...เสียใจ กับการกระทำของตัวเองสินะ..." จักรพรรดิเนรอส ตรัสด้วยสีพระพักตรและแววพระเนตรเครียดขรึม ปนกับเศร้าซึมลึกๆ "เฮ้อ...แต่มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้! ตนเองทำอะไรไว้ ก็คือตนเองนั่นแหละต้องรับผลแห่งการกระทำนั้นเอง...ช่วยไม่ได้จริงๆ"
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับออเรเคิล มีทหารนายหนึ่งเข้ามากราบทูลถวายรายงาน
"ขอเดชะฝ่าบาท มีบุรุษคนหนึ่ง เป็นคนขับยานบินโดยสารรับจ้าง มาขอเข้าเฝ้า เขาบอกว่ามีของบางอย่างจากออเรเคิลมาถวายแด่พระองค์พระเจ้าข้า"
"หืมม? มีของบางอย่าง จากออเรเคิล มาให้ข้า อย่างนั้นหรือ ??? เนรอสสดับแล้วเบิกพระเนตรกว้าง "รีบพาเขาเข้ามาพบข้า โดยเร็ว"
"พระเจ้าข้า"
ทหารนายนั้นรับพระบัญชาแล้วโค้งถวายกาความเคารพ กลับหลังหัน รีบผลุนผันออกไป ครู่หนึ่งจึงกลับเข้ามาในที่ประชุม พร้อมกับพาตัวชายคนขับยานบินโดยสารคนนั้นมาด้วย
(มีต่อครับ) ^^