‘สิงห์’ หรือ ‘สีห์’ มีรากศัพท์มาจากภาษาบาลี และ สันสกฤต
‘สิงห์’ นอกเหนือจะหมายถึงสัตว์ในนิยายแล้ว แต่ในบรรดาภาษาอินเดียส่วนใหญ่หมายความว่า ‘สิงโต’
เดิมแล้วชาว ‘ราชบุตร’ (Rajputs) ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นนักรบชาวฮินดูของชนชั้นวรรณะ กษัตริย์ ในแดนภารตะ จะใช้นามสกุลนี้
การตั้งชื่อ หรือ นามสกุลเป็น สิงห์ หรือ สิงโต นั้น มีมาตลอดในทุกยุคทุกสมัย ในทุกวัฒนธรรมและภาษา ในทุกภูมิภาคของโลก เช่นกัน ที่คุ้นเคยกับคุณสมบัติของ สิงโต เช่น Leo, Leonidas ในทวีป ยูโรป Aslan อัสลัน ในภาษาอาหรับ และ Simba ซิมบา (หนึ่ง) ในภาษาของ แอฟริกา
จะสังเกตได้ว่า ประเทศในเอเซียตะวันออกกลาง แอฟริกา และ ยูโรป จะใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหาญกล้าและการต่อสู้ เพราะเป็นสัตว์นักล่าสุดยอดที่เขาคุ้นเคยในภูมิภาคของเขา ส่วนอินเดียในปัจจุบัน (แม้จะมีสิงโตอยู่บ้าง) กับ จีน จะใช้เสือโคร่งเป็นสัญลักษณ์แทน เพราะเสือโคร่ง เป็นสัตว์นักล่าสุดยอดที่เขาคุ้นเคยในภูมิภาคของเขา เช่นกัน
ใน ค.ศ. 1699 ทศมองค์ศาสดา ศรีคุรู โควินทฺ สิงห์ (Sri Guru Gobind Singh) ทรงได้สถาปนา ศรีคุรู คาลฺซา (Sri Guru Khalsa) เป็นองค์ คณะศาสดา สืบทอดต่อจากพระองค์ หลังจากทรงได้กำจัดระบบเดิมของ ‘มสันท์’ (Masands) ออกไปอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเปี่ยมล้นด้วยความทุจริตไปแล้ว
[[‘มสันท์’ คือ บรรดาผู้ดูแลซิกข์ศาสนาสถานต่างๆ มาตลอด และเป็นผู้ที่ถูกแต่งตั้ง (โดยจตุตถองค์ศาสดา ศรีคุรู รามทาส ซาฮิบ [Sri Guru Ramdas Sahib]) และได้รับอำนาจในการเป็นผู้แทนพระองค์ ในการเผยแผ่ศาสนาและในการจัดเตรียมน้ำอมฤต (ปาฮุล) ในพิธีกรรมสำหรับผู้ใด ซึ่ง อยากน้อมรับเข้าเป็นซิกข์ เนื่องจากองค์ศาสดาเอง ทรงไม่สามารถอยู่ทั่วทุกแห่งได้
แรกเริ่ม เพียงผู้ที่มีคุณธรรม และปฏิบัติธรรม เท่านั้น ได้รับหน้าที่นี้จากพระองค์โดยตรง แต่พอผ่านไปหลายทศวรรษ ระบบนี้เสื่อมทรามลง เนื่องจากสืบทอดต่อให้ลูกหลานกันเอง ผู้ ซึ่ง ไร้คุณสมบัติ จนได้นำความเสียหายมาให้แก่สถาบันศาสนาซิกข์อย่างมากมาย จนกลายเป็นเรื่องตลกในสายตาของสังคม]]
เนื่องจากชาวซิกข์ในสมัยของทศมองค์ศาสดาได้กลายมาเป็นนักรบที่สามารถป้องกันตัวเองได้แล้ว (จากสถานการณ์รอบตัวที่ยกระดับในความโจมตีอย่างรุนแรง) และหลักธรรมศาสนาสอนในความ เท่าเทียม และ เสมอภาค ของมนุษย์ทุกคนอยู่แล้ว เพื่อส่งเสริมเตือนใจในความหาญกล้าในการพยุงธรรมและปกป้องตนเองและคนรอบข้าง และเพื่อขจัดระบบชนชั้นวรรณะและศักดิ์ศรีในนามสกุลของวงศ์วาลตระกูลของตนออกไป และเพื่อแสดงอธิปไตยในทางธรรม ที่ไม่จำเป็นต้องไปพึ่งพาฝากความหวังไว้กับบุคคลที่สามในการหลุดพ้น พระองค์จึงขนาน นามสกุล ‘สิงห์’ ให้แก่ชาวซิกข์ เพื่อตอบโจทย์ทั้ง 3 ประการนี้
เดิมแล้วพระนามเต็มของพระองค์เอง คือ “โควินทฺ ราย [โสธี]” (Gobind Rai [Sodhi]) แต่หลังจากทรงได้สืบทอดและสถาปนา คณะธรรมการ 5 คน ‘ปัญปิยะ’ (Panj Pyare) เป็น องค์คณะคุรุศาสดาใหม่ ทรงจึงก้าวลงและกราบสักการะ คณะศาสดาชุดใหม่นี้ แล้วขอรับอมฤต / ปาหุล (Pahul) จากพวกเขา เพื่อเข้าร่วมเป็น หนึ่งในสมาชิกของประชาคม คาลฺซา (ชาวซิกข์) โดยไม่วางพระองค์เอง เหนือสาวกของพระองค์ แต่กลับกลายมาเป็น ศิษย์ ของพวกเขา (ศรีคุรู คาลฺซา) เช่นกัน ทรงจึงเปลี่ยนนามสกุลเดิมของพระองค์จาก ‘ราย’ มาเป็น ‘สิงห์’ เช่นกัน
การมีนามสกุลเดียวกัน จึงช่วยย้ำในความเสมอภาคและภราดรภาพของสมาชิกทุกคน
ปัจจุบัน ชาวซิกข์ทั่วโลก โดยเฉพาะ ‘ชาย’ (เนื่องจากศาสนาซิกข์เชื่อในระบบพ่อเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูล) จะมี ‘สิงห์’ เป็นส่วนของนามสกุลเต็ม เช่นกัน ชาวซิกข์ยังคงไว้นามสกุลเดิมของตระกูลอยู่ เช่นกัน แต่จะไม่ถือศักดิ์เหมือนสมัยก่อน หรือเหมือนบรรดาผู้ที่ยังยึดถือในระบบวรรณะ แต่เป็นเพื่อประวัติการ และเพื่อความชัดเจนในเอกสารของรัฐบาลมากกว่า (เนื่องจากหากทุกคนมีนามสกุลเดียวกันบนเอกสาร คงอาจเกิดความสับสนอย่างแน่นอน)
คนอินเดีย จึงนิยมเรียกชายชาวซิกข์ว่า ‘สิงห์’ (หรือ ‘ซิงห์’ ในสำเนียงของอินเดียและต่างประเทศ) ชาวอังกฤษ ชาวมาเลเซีย และ ชาวสิงคโปร์ ที่คุ้นเคยกับชาวซิกข์ (เนื่องจากมีประชากรซิกข์มากในประเทศเหล่านี้) ก็จะเรียกชายชาวซิกข์เป็น ‘Mr. Singh’
คุณสมบัติของ สิงโต (ตัวผู้)
ทำไมต้องสิงโต? ทำไมไม่เสือโคร่ง? ในเมื่อเสือก็เป็นสัตว์นักล่ายอดเยี่ยมไม่ใช่หรือ? อาจยอดเยี่ยม แข็งแรง และ ตัวใหญ่กว่าสิงโตด้วยซ้ำ
สิงโต โดยเฉพาะตัวผู้ ไม่เหมือนสัตว์นักล่าอื่นใด เพราะโดยสัญชาติญาณและธรรมชาติของมันแล้ว สิงโตตัวผู้ เป็นสัตว์ ‘นักรบ’ มากกว่า ‘นักล่า’ ซึ่ง สองคุณสมบัตินี้ ต่างกันมาก
สัตว์ที่เป็น ‘นักล่า’ (predator) ซึ่ง ต้องออกล่าหากินและเลี้ยงชีพตัวเองอย่างโดดเดี่ยวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงบาดแผล และ ความเจ็บปวดสาหัส ซึ่ง จะทำให้มีผลกระทบต่อการออกล่าอาหาร โดยขาดความคล่องแคล่ว ความแม่นยำ และขาดความสำเร็จ จนถึงอดตายได้ บรรดาสัตว์นักล่าเหล่านี้ หากมีการเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน จึงมักสู้กันไม่นาน ยกเว้นเป็นการสู้ถึงตายในบางกรณี
ส่วนสิงโตตัวผู้ นอกเหนือจากที่ได้ฝึกเป็นนักล่าในวัยรุ่นบ้าง และออกล่าอาหารเป็น แม้จะไม่เก่งและคล่องแคล่วเหมือนสิงโตตัวเมีย หรือ เสือ เพราะขนคออันหนาของมัน ที่ทำให้มันโดดเด่น และลำบากในการแอบย่องหลบเหยื่อในการล่านั้น กลับกลายเป็นคุณสมบัติอันล้ำค่าในการสู้รบ เพราะเวลานักล่าสู้กัน ย่อมจะพยายามเข้าไปงับที่คอของอีกฝ่ายทันที โดยสัญชาตญาณของการเป็น ‘นักล่า’ เวลาพยายามกำจัดเหยื่อให้ตายเร็วที่สุด แต่พอมาถึงสิงโตตัวผู้ กลับไปงับที่คอของมันไม่ได้ เพราะขนขออันหนายาวจะเข้าเต็มปากทันที จึงไม่สามารถฆ่าสิงโตตัวผู้อย่างรวดเร็วได้ มันจึงเป็นสัตว์ที่ตายยากกว่า เวลาสิงโตสู้กัน มันรู้ข้อนี้และจะพยายามไปงับกระดูกสันหลังของอีกตัวให้แตกจนอัมพาท แต่เสือมักไม่รู้ว่าต้องฆ่าสิงโตตัวผู้อย่างไร (จากที่ได้อ่านมาและสังเกตเห็นบนยูทูป)
สิงโตเป็นสัตว์สังคม ชีวิตของมันจะชินกับการโดนแกล้งและโดนรุม จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิงโต หากต้องเผชิญกับหลายตัวพร้อมๆ กัน เสือโคร่งจะไม่มีประสบการณ์ตรงนี้
แม้สิงโตจะอยู่ในตระกูลแมว แต่โครงสร้างร่างกายของมัน และการต่อสู้ของมัน จะคล้ายกับสุนัขมากกว่า เสือจะมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์โดยเฉพาะที่ขาหลัง และย่อมสู้เหมือนแมวบ้านที่เราเห็นกัน แต่สิงโตตัวผู้ จะมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ที่บริเวณอกและลำคออ้วนของมัน (ซึ่งโดนกลบด้วยขนคอหนา) มันสู้แบบบุกเข้าใส่หน้าเหมือนสุนัข มันผงกหัวขึ้นลงเป็น เพื่อหลบการโดนข่วนโดนตบ แถมยังมีเล็บยาวและเท้าเหมือนแมวไว้ข่วนอีก เช่นกัน ไม่พอ คุณสมบัติในความอึดสู้ ไม่มีนักล่าไหนมี เช่นกัน มันไม่เหนื่อยง่ายๆ และมันมีความอดทนในการรับบาดแผลและความเจ็บปวดสูงมากๆ
นักฝึกเสือกับสิงโตของละครสัตว์ในอดีต เคยบอกเล่าว่า สิงโตตัวผู้ เมื่อเทียบกับเสือโคร่ง แม้จะไม่เก่งในการเรียนรู้กลใหม่ๆ และไม่ว่องไวเหมือนเสือ แต่มันนิ่งมาก ไม่หวั่นไวง่าย ไม่ลืม ไม่ให้อภัย และจะลงโทษเพื่อสอนเป็นบทเรียนเมื่อใดที่มันโอกาศ และมันจะปกป้องผู้ที่มันรักอย่างแน่นอน
สัญชาตญาณในการเป็น นักรบ และ ราชสีห์ ด้วยขนคอที่หนาและยาว และทำให้มันแอบ หรือ หลบซ่อนตัวเองมากไม่ได้ในทุ่งหญ้าของอาณาเขตมันนั้น ทำให้มันต้องอยู่อย่างเปิดเผย บุกเบิก และ ใจกล้า โดยธรรมชาติ
คัดข้อความจากหนังสือชื่อ “Pakistan’s Crisis in Leadership” (“วิกฤติภาวะผู้นำของปากีสถาน”) เขียนโดย
พลตรี Major General Retired Fazal Muqeem Khan S.PK. S.Q.A. ของกองทัพ ปากีสถาน (Pakistan Army) ตีพิมพ์ในปี 1973 เกี่ยวกับประสบการณ์ของท่านในสงครามกับอินเดียในปี ค.ศ. 1971 ซึ่ง หลังสงครามนี้ บังกลาเทศ ได้รับอิสรภาพจากปากีสถาน
ท่านเขียนว่า:
“ เหตุผลหลักในการพ่ายแพ้ของเรา คือ ชาวซิกข์ เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งที่เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว พวกเขากล้าหาญมาก และโปรดพปรานที่จะสละชีวิตของตน พวกเขาสู้รบอย่างหาญกล้า และสามารถเอาชนะกองทัพที่ใหญ่กว่าพวกเขาหลายเท่าได้
ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1971 เราได้บุกโจมตีกองทัพอินเดียด้วยพลทหารราบของเรา อย่างฉกาจฉกรรจ์และขะมักเขม้น ใกล้พรมแดน Hussainiwala ในกองพลนี้ มีทหารจากกรม Panjab (regiment) กับ Baloch (regiment) รวมอยู่ด้วย ภายในไม่กี่นาที เราสามารถผลักดันกองทัพอินเดียให้ถอยหลังไปไกล ด่านต้านการบุกรุก (defense post) ของเขา ได้ตกมาอยู่ใต้การควบคุมของเรา กองทัพอินเดียกำลังล่าถอยอย่างรวดเร็ว และกองทัพปากีสถานกำลังรุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
กองทัพเราได้ใกล้เข้ามาถึงด่าน Kausre-Hind post (Kasure) ซึ่ง มีกองทัพอินเดียเล็กๆ ตั้งด่านอยู่ที่นั่น และทหารของเขามาจาก กรมทหารซิกข์ (Sikh regiment) เพียงไม่กี่หน่วยของกรมทหารซิกข์ ได้หยุดยั้งและชะงักการรุกคืบของพวกเราเหมือนกำแพงเหล็ก พวกเขาต้อนรับพวกเราด้วยการโห่ร้องคติพจน์ ‘Bolay So Nihaal!’ (โบเล โซ นิฮาลฺ!)* แล้วบุกโจมตีพวกเราเหมือน สิงโตและเหยี่ยวกระหายเลือด ทหารพวกนี้ล้วนเป็นชาวซิกข์ และมีถึงขั้นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอย่างสยดสยอง เช่นกัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงคำรามของ ‘ยา อาลี!’ (Ya Ali!) กับ ‘สัตย์ ศรี อกาลฺ!’ (Sat Sri Akaal!) แม้ในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ชาวซิกข์ได้สู้อย่างหาญกล้าจนความปรารถนา ความหวัง และ ความฝันของพวกเราแตกสลายไปหมด
ในศึกนี้ Lt. Col. Gulab Hussain ถูกฆ่า Major Mohammed Zaeef และ Capt. Arif Alim เสียชีวิตไปกับท่าน เช่นกัน มันยากที่จะนับว่าทหารกี่คนตายไป พวกเราตกใจที่ได้เห็นความกล้าหาญของทหารซิกข์เพียงหนึ่งกำมือ เมื่อเราสำเร็จในการยึดตึก 3 ชั้น ของด่านจุดนี้ ทหารซิกข์ ขึ้นไปบนหลังคา (แทน) แล้วต่อต้านพวกเราอย่างตเพึดตะพือ ทั้งคืนพวกเขายิงใส่พวกเราอย่างไม่ยับยั้ง แล้วโห่ร้องคำขวัญ ‘สัตย์ ศรี อกาลฺ!’ อย่างต่อเนื่อง ทหารซิกข์พวกนี้ เผชิญหน้ากับพวกเราอย่างต่อเนื่องจนถึงวันถัดไป วันถัดไป หน่วยรถถังของปากีสถานได้มาล้อม (ตึกของ) ด่านนี้ แล้วยิงถล่มมันด้วยปืนใหญ่ ชาวซิกข์เพียงกำมือเดียวพวกนั้น ได้สละชีพในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ในขณะที่ต่อต้านพวกเรา แต่ทหารซิกข์กลับได้ทำร้ายรถถังของพวกเรา ด้วยความช่วยเหลือจากกองปืนใหญ่ ด้วยการสู้รบอย่างกล้าหาญ พวกเขาขยับมาข้างหน้าเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ กองทัพของเราจึงสูญเสียฐานที่ตั้งไป
ช่างกระไร! เพียงชาวซิกข์กำมือเดียวได้เปลี่ยนชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเรามาเป็นความพ่ายแพ้อันยิ่งใหญ่แทน และได้แตกสลายความเชื่อมั่นและกำลังใจของพวกเรา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ กรุงธากา (Dhaka) บังกลาเทศ (Bangladesh) เช่นกัน ในศึก Jassur พวกสิงห์ ต่อต้านกองทัพปากีสถานอย่างดุเดือดมาก จนเราสูญเสียทั้งกระดูกสันหลัง (กำลังสำคัญ) และ ฐานที่ตั้งของเราไป นี่คือสาเหตุหลักอันสำคัญ ของการพ่ายแพ้ของพวกเรา และความเข้มแข็ง ความป้องกันภัย และการรักษาเกียรติยศของประเทศ ของชาวซิกข์ คือปัจจัยหลักในชัยชนะของพวกเขา”
*[เป็นเสียงกู่ร้องเรียกความสามัคคีก่อนสู้รบ ของชาวซิกข์ ประโยคเต็ม: ‘Bolay so nihaal! Sat Sri Akaal!’ ‘โบเลโซ นิฮาลฺ! ซัต ซิรี (ศรี) อะกาลฺ!’ ซึ่ง หมายความว่า ‘ผู้นั้น จงเจริญ! ผู้ใดกล่าว: พระองค์แห่งสัจจะทรงชั่วนิรันดร์!’ ประโยคแรก จะโห่โดยเสียงเดี่ยว ตามด้วยการโห่ตอบสนอง ประโยคที่สอง อย่างพร้อมเพรียงกันโดยทั้งกองทับ]
“ขอพระองค์โปรดประทานพรเมตตาแก่ข้าฯ
ให้ข้าฯ เข้มแข็งเด็ดขาด ไม่หวั่นไหว หวาดกลัวในการกระทำความดีและสิ่งถูกต้อง
ให้ข้าฯ ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไร้ความกลัวในทุกสนามรบของขีวิต
ตั้งจิตมั่นสัมฤทธิ์ผลในชัยชนะของข้าฯ
ขอให้ดวงจิตของข้าฯ มุ่งมั่นกระหาย แซ่ซ้องสรรเสริญคุณนาม ของพระองค์
แล้วเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ขอโปรดประทานพรให้ข้าฯ ต่อสู้อย่างกล้าหาญในสนามรบจนสิ้นลมปราณ”
- ศรีคุรู โควินท์ สิงห์
“จงอย่ากลัว และอย่าทำให้ใครกลัว เช่นเดียวกัน”
- ศรีคุรู เตฆ บฮาเดอร์ ซาฮิบ
สิทธิในการป้องกันตัว เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน
ทำไมชายชาวซิกข์ จึงมีนามสกุลขึ้นด้วย ‘สิงห์’
‘สิงห์’ นอกเหนือจะหมายถึงสัตว์ในนิยายแล้ว แต่ในบรรดาภาษาอินเดียส่วนใหญ่หมายความว่า ‘สิงโต’
เดิมแล้วชาว ‘ราชบุตร’ (Rajputs) ซึ่ง ส่วนใหญ่เป็นนักรบชาวฮินดูของชนชั้นวรรณะ กษัตริย์ ในแดนภารตะ จะใช้นามสกุลนี้
การตั้งชื่อ หรือ นามสกุลเป็น สิงห์ หรือ สิงโต นั้น มีมาตลอดในทุกยุคทุกสมัย ในทุกวัฒนธรรมและภาษา ในทุกภูมิภาคของโลก เช่นกัน ที่คุ้นเคยกับคุณสมบัติของ สิงโต เช่น Leo, Leonidas ในทวีป ยูโรป Aslan อัสลัน ในภาษาอาหรับ และ Simba ซิมบา (หนึ่ง) ในภาษาของ แอฟริกา
จะสังเกตได้ว่า ประเทศในเอเซียตะวันออกกลาง แอฟริกา และ ยูโรป จะใช้เป็นสัญลักษณ์แห่งความหาญกล้าและการต่อสู้ เพราะเป็นสัตว์นักล่าสุดยอดที่เขาคุ้นเคยในภูมิภาคของเขา ส่วนอินเดียในปัจจุบัน (แม้จะมีสิงโตอยู่บ้าง) กับ จีน จะใช้เสือโคร่งเป็นสัญลักษณ์แทน เพราะเสือโคร่ง เป็นสัตว์นักล่าสุดยอดที่เขาคุ้นเคยในภูมิภาคของเขา เช่นกัน
ใน ค.ศ. 1699 ทศมองค์ศาสดา ศรีคุรู โควินทฺ สิงห์ (Sri Guru Gobind Singh) ทรงได้สถาปนา ศรีคุรู คาลฺซา (Sri Guru Khalsa) เป็นองค์ คณะศาสดา สืบทอดต่อจากพระองค์ หลังจากทรงได้กำจัดระบบเดิมของ ‘มสันท์’ (Masands) ออกไปอย่างเด็ดขาด เนื่องจากเปี่ยมล้นด้วยความทุจริตไปแล้ว
สิงโต โดยเฉพาะตัวผู้ ไม่เหมือนสัตว์นักล่าอื่นใด เพราะโดยสัญชาติญาณและธรรมชาติของมันแล้ว สิงโตตัวผู้ เป็นสัตว์ ‘นักรบ’ มากกว่า ‘นักล่า’ ซึ่ง สองคุณสมบัตินี้ ต่างกันมาก
สัตว์ที่เป็น ‘นักล่า’ (predator) ซึ่ง ต้องออกล่าหากินและเลี้ยงชีพตัวเองอย่างโดดเดี่ยวนั้น ต้องหลีกเลี่ยงบาดแผล และ ความเจ็บปวดสาหัส ซึ่ง จะทำให้มีผลกระทบต่อการออกล่าอาหาร โดยขาดความคล่องแคล่ว ความแม่นยำ และขาดความสำเร็จ จนถึงอดตายได้ บรรดาสัตว์นักล่าเหล่านี้ หากมีการเผชิญหน้าซึ่งกันและกัน จึงมักสู้กันไม่นาน ยกเว้นเป็นการสู้ถึงตายในบางกรณี
ส่วนสิงโตตัวผู้ นอกเหนือจากที่ได้ฝึกเป็นนักล่าในวัยรุ่นบ้าง และออกล่าอาหารเป็น แม้จะไม่เก่งและคล่องแคล่วเหมือนสิงโตตัวเมีย หรือ เสือ เพราะขนคออันหนาของมัน ที่ทำให้มันโดดเด่น และลำบากในการแอบย่องหลบเหยื่อในการล่านั้น กลับกลายเป็นคุณสมบัติอันล้ำค่าในการสู้รบ เพราะเวลานักล่าสู้กัน ย่อมจะพยายามเข้าไปงับที่คอของอีกฝ่ายทันที โดยสัญชาตญาณของการเป็น ‘นักล่า’ เวลาพยายามกำจัดเหยื่อให้ตายเร็วที่สุด แต่พอมาถึงสิงโตตัวผู้ กลับไปงับที่คอของมันไม่ได้ เพราะขนขออันหนายาวจะเข้าเต็มปากทันที จึงไม่สามารถฆ่าสิงโตตัวผู้อย่างรวดเร็วได้ มันจึงเป็นสัตว์ที่ตายยากกว่า เวลาสิงโตสู้กัน มันรู้ข้อนี้และจะพยายามไปงับกระดูกสันหลังของอีกตัวให้แตกจนอัมพาท แต่เสือมักไม่รู้ว่าต้องฆ่าสิงโตตัวผู้อย่างไร (จากที่ได้อ่านมาและสังเกตเห็นบนยูทูป)
สิงโตเป็นสัตว์สังคม ชีวิตของมันจะชินกับการโดนแกล้งและโดนรุม จึงเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับสิงโต หากต้องเผชิญกับหลายตัวพร้อมๆ กัน เสือโคร่งจะไม่มีประสบการณ์ตรงนี้
แม้สิงโตจะอยู่ในตระกูลแมว แต่โครงสร้างร่างกายของมัน และการต่อสู้ของมัน จะคล้ายกับสุนัขมากกว่า เสือจะมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์โดยเฉพาะที่ขาหลัง และย่อมสู้เหมือนแมวบ้านที่เราเห็นกัน แต่สิงโตตัวผู้ จะมีกล้ามเนื้อสมบูรณ์ที่บริเวณอกและลำคออ้วนของมัน (ซึ่งโดนกลบด้วยขนคอหนา) มันสู้แบบบุกเข้าใส่หน้าเหมือนสุนัข มันผงกหัวขึ้นลงเป็น เพื่อหลบการโดนข่วนโดนตบ แถมยังมีเล็บยาวและเท้าเหมือนแมวไว้ข่วนอีก เช่นกัน ไม่พอ คุณสมบัติในความอึดสู้ ไม่มีนักล่าไหนมี เช่นกัน มันไม่เหนื่อยง่ายๆ และมันมีความอดทนในการรับบาดแผลและความเจ็บปวดสูงมากๆ
นักฝึกเสือกับสิงโตของละครสัตว์ในอดีต เคยบอกเล่าว่า สิงโตตัวผู้ เมื่อเทียบกับเสือโคร่ง แม้จะไม่เก่งในการเรียนรู้กลใหม่ๆ และไม่ว่องไวเหมือนเสือ แต่มันนิ่งมาก ไม่หวั่นไวง่าย ไม่ลืม ไม่ให้อภัย และจะลงโทษเพื่อสอนเป็นบทเรียนเมื่อใดที่มันโอกาศ และมันจะปกป้องผู้ที่มันรักอย่างแน่นอน
สัญชาตญาณในการเป็น นักรบ และ ราชสีห์ ด้วยขนคอที่หนาและยาว และทำให้มันแอบ หรือ หลบซ่อนตัวเองมากไม่ได้ในทุ่งหญ้าของอาณาเขตมันนั้น ทำให้มันต้องอยู่อย่างเปิดเผย บุกเบิก และ ใจกล้า โดยธรรมชาติ
คัดข้อความจากหนังสือชื่อ “Pakistan’s Crisis in Leadership” (“วิกฤติภาวะผู้นำของปากีสถาน”) เขียนโดย พลตรี Major General Retired Fazal Muqeem Khan S.PK. S.Q.A. ของกองทัพ ปากีสถาน (Pakistan Army) ตีพิมพ์ในปี 1973 เกี่ยวกับประสบการณ์ของท่านในสงครามกับอินเดียในปี ค.ศ. 1971 ซึ่ง หลังสงครามนี้ บังกลาเทศ ได้รับอิสรภาพจากปากีสถาน
ท่านเขียนว่า:
“ เหตุผลหลักในการพ่ายแพ้ของเรา คือ ชาวซิกข์ เราไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งที่เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว พวกเขากล้าหาญมาก และโปรดพปรานที่จะสละชีวิตของตน พวกเขาสู้รบอย่างหาญกล้า และสามารถเอาชนะกองทัพที่ใหญ่กว่าพวกเขาหลายเท่าได้
ในวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 1971 เราได้บุกโจมตีกองทัพอินเดียด้วยพลทหารราบของเรา อย่างฉกาจฉกรรจ์และขะมักเขม้น ใกล้พรมแดน Hussainiwala ในกองพลนี้ มีทหารจากกรม Panjab (regiment) กับ Baloch (regiment) รวมอยู่ด้วย ภายในไม่กี่นาที เราสามารถผลักดันกองทัพอินเดียให้ถอยหลังไปไกล ด่านต้านการบุกรุก (defense post) ของเขา ได้ตกมาอยู่ใต้การควบคุมของเรา กองทัพอินเดียกำลังล่าถอยอย่างรวดเร็ว และกองทัพปากีสถานกำลังรุกคืบไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
กองทัพเราได้ใกล้เข้ามาถึงด่าน Kausre-Hind post (Kasure) ซึ่ง มีกองทัพอินเดียเล็กๆ ตั้งด่านอยู่ที่นั่น และทหารของเขามาจาก กรมทหารซิกข์ (Sikh regiment) เพียงไม่กี่หน่วยของกรมทหารซิกข์ ได้หยุดยั้งและชะงักการรุกคืบของพวกเราเหมือนกำแพงเหล็ก พวกเขาต้อนรับพวกเราด้วยการโห่ร้องคติพจน์ ‘Bolay So Nihaal!’ (โบเล โซ นิฮาลฺ!)* แล้วบุกโจมตีพวกเราเหมือน สิงโตและเหยี่ยวกระหายเลือด ทหารพวกนี้ล้วนเป็นชาวซิกข์ และมีถึงขั้นการต่อสู้ด้วยมือเปล่าอย่างสยดสยอง เช่นกัน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงคำรามของ ‘ยา อาลี!’ (Ya Ali!) กับ ‘สัตย์ ศรี อกาลฺ!’ (Sat Sri Akaal!) แม้ในการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ชาวซิกข์ได้สู้อย่างหาญกล้าจนความปรารถนา ความหวัง และ ความฝันของพวกเราแตกสลายไปหมด
ในศึกนี้ Lt. Col. Gulab Hussain ถูกฆ่า Major Mohammed Zaeef และ Capt. Arif Alim เสียชีวิตไปกับท่าน เช่นกัน มันยากที่จะนับว่าทหารกี่คนตายไป พวกเราตกใจที่ได้เห็นความกล้าหาญของทหารซิกข์เพียงหนึ่งกำมือ เมื่อเราสำเร็จในการยึดตึก 3 ชั้น ของด่านจุดนี้ ทหารซิกข์ ขึ้นไปบนหลังคา (แทน) แล้วต่อต้านพวกเราอย่างตเพึดตะพือ ทั้งคืนพวกเขายิงใส่พวกเราอย่างไม่ยับยั้ง แล้วโห่ร้องคำขวัญ ‘สัตย์ ศรี อกาลฺ!’ อย่างต่อเนื่อง ทหารซิกข์พวกนี้ เผชิญหน้ากับพวกเราอย่างต่อเนื่องจนถึงวันถัดไป วันถัดไป หน่วยรถถังของปากีสถานได้มาล้อม (ตึกของ) ด่านนี้ แล้วยิงถล่มมันด้วยปืนใหญ่ ชาวซิกข์เพียงกำมือเดียวพวกนั้น ได้สละชีพในการเผชิญหน้าครั้งนี้ ในขณะที่ต่อต้านพวกเรา แต่ทหารซิกข์กลับได้ทำร้ายรถถังของพวกเรา ด้วยความช่วยเหลือจากกองปืนใหญ่ ด้วยการสู้รบอย่างกล้าหาญ พวกเขาขยับมาข้างหน้าเรื่อยๆ ด้วยเหตุนี้ กองทัพของเราจึงสูญเสียฐานที่ตั้งไป
ช่างกระไร! เพียงชาวซิกข์กำมือเดียวได้เปลี่ยนชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของเรามาเป็นความพ่ายแพ้อันยิ่งใหญ่แทน และได้แตกสลายความเชื่อมั่นและกำลังใจของพวกเรา นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่ กรุงธากา (Dhaka) บังกลาเทศ (Bangladesh) เช่นกัน ในศึก Jassur พวกสิงห์ ต่อต้านกองทัพปากีสถานอย่างดุเดือดมาก จนเราสูญเสียทั้งกระดูกสันหลัง (กำลังสำคัญ) และ ฐานที่ตั้งของเราไป นี่คือสาเหตุหลักอันสำคัญ ของการพ่ายแพ้ของพวกเรา และความเข้มแข็ง ความป้องกันภัย และการรักษาเกียรติยศของประเทศ ของชาวซิกข์ คือปัจจัยหลักในชัยชนะของพวกเขา”
*[เป็นเสียงกู่ร้องเรียกความสามัคคีก่อนสู้รบ ของชาวซิกข์ ประโยคเต็ม: ‘Bolay so nihaal! Sat Sri Akaal!’ ‘โบเลโซ นิฮาลฺ! ซัต ซิรี (ศรี) อะกาลฺ!’ ซึ่ง หมายความว่า ‘ผู้นั้น จงเจริญ! ผู้ใดกล่าว: พระองค์แห่งสัจจะทรงชั่วนิรันดร์!’ ประโยคแรก จะโห่โดยเสียงเดี่ยว ตามด้วยการโห่ตอบสนอง ประโยคที่สอง อย่างพร้อมเพรียงกันโดยทั้งกองทับ]
“ขอพระองค์โปรดประทานพรเมตตาแก่ข้าฯ
ให้ข้าฯ เข้มแข็งเด็ดขาด ไม่หวั่นไหว หวาดกลัวในการกระทำความดีและสิ่งถูกต้อง
ให้ข้าฯ ต่อสู้อย่างกล้าหาญ ไร้ความกลัวในทุกสนามรบของขีวิต
ตั้งจิตมั่นสัมฤทธิ์ผลในชัยชนะของข้าฯ
ขอให้ดวงจิตของข้าฯ มุ่งมั่นกระหาย แซ่ซ้องสรรเสริญคุณนาม ของพระองค์
แล้วเมื่อถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
ขอโปรดประทานพรให้ข้าฯ ต่อสู้อย่างกล้าหาญในสนามรบจนสิ้นลมปราณ”
- ศรีคุรู โควินท์ สิงห์
“จงอย่ากลัว และอย่าทำให้ใครกลัว เช่นเดียวกัน”
- ศรีคุรู เตฆ บฮาเดอร์ ซาฮิบ
สิทธิในการป้องกันตัว เป็นสิทธิพื้นฐานของทุกคน