ลูกหมา ลูกคน...รีไรท์

กระทู้สนทนา


เรื่องสั้นต่อไปนี้ เคยลงในเกมถุงมือ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยน ลายมือของตัวเอง เพื่อใช้ในการเล่นเกม
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ถึงเวลา ที่จะนำมาเปลี่ยน กลับมา เป็นลายมือ ดั้งเดิมของตัวเอง

.......

 
            สิ่งที่มองเผิน ๆ จะดูคล้ายภูเขา หรือเนินเขาขนาดย่อม แต่ความจริงเป็นกองขยะ ที่ผู้คนพากันรังเกียจ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ขยะ เป็นปัญหาใหญ่อันดับต้น ๆ ของประเทศ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขหรือจัดการอย่างแท้จริง จำนวนการผลิตขยะ และการจัดเก็บขยะสวนทางกัน จึงทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับขยะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ รวมทั้งปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม และสุขอนามัย

            แต่กับคนบางกลุ่ม ขยะคือส่วนหนึ่งของการช่วยหาเงินเลี้ยงชีพของพวกเขา การแยกขยะส่วนที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้  จึงเป็นสิ่งที่มีมานานและมีต่อไป ด้วยความคุ้นชินกับกลิ่นของขยะ พวกเขาเหล่านั้นไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนมากนัก บางทีหมาและคนก็ต้องแก่งแย่งกันในการทำมาหากิน ความหิวโหยไม่ได้เลือกที่รักมักที่ชัง ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขจัดการให้ถูกวิธี
 
            “ไปให้พ้น ไอ้หมาบ้า !”

             โป๊ก!

            “เอ๋ง..!”
 
            เสียงทั้งสาม เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ย แทบจะเป็นเสียงเดียวกัน เริ่มต้นจากเสียงตวาดด่าเกรี้ยวกราด ของชายสูงอายุวัยหกสิบกว่า ตามมาด้วยเสียงวัตถุแข็งกระทบกัน เสียงไม่ดังมากนัก แต่กระทบสะเทือนความรู้สึก ลงท้ายด้วยเสียงร้องของสุนัขสีน้ำตาลพันธุ์ไทยเดิม ที่ถูกก้อนหินขนาดเขื่องลอยมากระทบแสกหน้า จนต้องวิ่งหนีออกจากหน้าบ้านของคนขว้างก้อนหิน
 
            เจ้าของบ้าน - ความจริงน่าจะเรียกว่า เพิงหมาแหงน จะถูกต้องมากกว่า เพราะเป็นเพียงที่พักทำมาจากเศษไม้เศษผ้าเก่า ๆ พอคุ้มตัว กันลมกันฝนได้บ้างเท่านั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งพักขยะหลักของเมืองใหญ่ไม่มากนัก คนแถวนั้นรู้จักชายสูงอายุว่าคือ ลุงดำ  เพราะผิวกายของแกดำคล้ำ เนื่องจากสภาพตรากตรำแดดลม กับอาชีพการเก็บของเก่า ขายเลี้ยงชีพ

            พอเห็นเจ้าหมาที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีวิ่งหนีไป จากการถูกก้อนหินไร้เงา สีหน้าแววตาของลุงดำก็ปรากฏแววเสียใจ และรู้สึกผิดบาป แกป้องปากร้องเสียงดังตามหลังไป

            “ขอโทษโว้ย  นังตาล ข้าไม่ได้ตั้งใจจะปาให้ถูกหัวแก”

            ราวกับจะฟังภาษาคนจนรู้เรื่อง นังตาลของลุงดำหยุดชะงัก หันมามอง แบบกล้า ๆ กลัว ๆ คงสงสัยว่าพักนี้ลุงดำเป็นอะไรไป  ดูหวงขยะในพื้นที่ปกครองของแกเป็นพิเศษ หางของหมาผอมโซ กระดิกถี่เร็ว ทำนองบอกว่าให้อภัย ไม่ถือสามนุษย์ ขอกันกินมากกว่านี้ แต่ไม่เข้าใจว่าโดนขว้างทำไม
 
            ก็กลิ่นเนื้อเกือบเน่า แต่ถูกล้างด้วยน้ำเกลือดับกลิ่น  ทำให้เจ้าตาลนั่งมองอยู่ไกล คล้ายรอคอยว่า จะมีใครใจดี แบ่งเนื้อย่างให้หรือไม่  แต่สิ่งที่ได้คือ ก้อนหินจากลุงดำขว้างมาพร้อมกับเสียงด่า ทำให้ต้องวิ่งกระเจิงออกไปตั้งหลักอยู่ห่างๆ ลุงดำมองแล้วโคลงศีรษะ หัวเราะเมื่อมองเห็นท่าทางของนังตาล รู้ว่าอีกหน่อยนังตาลคงหายงอน ด้วยความที่อาศัยอยู่ในทำเลเดียวกัน อย่างคุ้นเคยมานาน

             ปกติลุงดำไม่สนใจหรอกว่า จะมีหมาแมวที่ไหนมาป้วนเปี้ยนแถวบ้าน ถ้าไม่เพราะห้าวันก่อน ลุงดำบังเอิญไปเจอเอาทารกชายเกิดใหม่ ทิ้งไว้ใกล้เขตกองขยะ ก่อนหน้านั้น แกมองเห็นหญิงชายวัยรุ่นคู่หนึ่ง ขับรถจักรยานยนต์วนไปมา ก่อนหนีออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับจะหนีความผิดบางอย่างของตัวเอง หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงเห่าของเจ้าดำ และเสียงทารกร้อง  พอเดินไปดูก็พบทารกน่าจะอายุไม่กี่วัน วางอยู่ในกล่องกระดาษ รองด้วยผ้าขนหนู ขวดนมวางอยู่ข้าง ๆ ทำเอาลุงดำตกใจ เพราะไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน มองซ้ายมองขวาก็ไม่พบเพื่อนบ้านพอจะมาให้คำปรึกษาได้ จะปล่อยเอาไว้ก็สงสารเด็ก เกิดหมาหิวโซมันหิว จะได้ลากไปเป็นอาหารมื้อโปรด ก็ไม่แน่

            “ทำไมไม่เอาไปทิ้งไว้หน้าบ้านเศรษฐีวะ..”  ลุงดำบ่นอย่างไม่เข้าใจ กับการกระทำสิ้นคิดของคนนำทารกมาทิ้ง สติปัญญาสามัญสำนึกไม่มีในหัวสมองเลยหรือไง นี่ชีวิตของคนทั้งคน 

             ถึงจะเป็นมนุษย์กองขยะ ลุงดำก็ไม่สามารถเมินเฉยต่อทารกน้อยได้ รีบนำกลับมาที่บ้าน พยายามเลี้ยงดูตามมีตามเกิด ควักเงินเก็บจากการขาย ออกไปหาซื้อนมผง ผ้าอ้อม และเครื่องใช้จำเป็น  เท่าที่หาได้คิดได้  ไม่ง่ายเลยกับการที่ลุงดำแกดูแลเด็กเกิดใหม่ในสถานการณ์ลำบากยากแค้น เสียงร้องของเด็กทำให้ประสาทเสียได้เหมือนกัน ยังดีว่าเพื่อนร่วมอาชีพหลายคน แวะเวียนช่วยกันมาดูแลตามมีตามเกิด ช่วยเท่าที่จะช่วยได้

            น้ำใจ ไม่เคยขาดหายไปจากสังคมมนุษย์ ลุงดำเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อว่าบรรดาเพื่อนบ้านรอบกองขยะ จะมีแก่ใจมาช่วยกันดูแลทารกคนนี้ แม้แต่คนที่เคยมีเรื่องทะเลาะกัน เรื่องแย่งอาณาเขตสัมปทานพื้นที่ขยะ พากันลืมเรื่องเคยทะเลาะกัน มาช่วยดูแลเด็กกองขยะเป็นอย่างดี ทำให้ลุงดำต้องน้ำตาซึมหลายครั้ง

            “ข้าจะต้องชื่อมันว่า เจ้าบุญรอด” ลุงดำประกาศจุดยืนของชื่อทารกน้อย หน้าบ้านอย่างภูมิใจ ในเย็นของวันหนึ่ง ซึ่งมีเพื่อนบ้านมาประชุมกันสี่ห้าคน ขณะที่ยายอิ่มกำลังรับหน้าที่เอาเด็กน้อยไปอุ้ม ดูแลการป้อนนมขวดอย่างระมัดระวัง  ส่วนตาอ้น สามีก็กำลังจิบเหล้าขาวกับเพื่อน ๆ อย่างสบายอารมณ์

            “ชื่ออื่นไม่มีแล้วหรือไงวะ”  ตาอ้นหันมาถาม  “ชื่อแบบดารา ประมาณว่า ชื่อน้าเดช ตุ่นบอดี้สลัม  อะไรแบบนี้ นี่บุญรอด เชยจะตาย”

            “แกไม่รู้อะไร ไอ้คนไม่ทันสมัย บุญรอดมันชื่อบริษัทบุญรอดบิวเว่อลี่ อยู่ข้างขวดเบียร์เชียวนะโว้ย”  ลุงดำว่า เพื่อนฟังแล้วหัวเราะครืน แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีใครคิดชื่อที่ดีกว่า บุญรอดได้ ทำให้เด็กทารกได้ชื่อบุญรอดไปในที่สุด

            “มันชื่อบุญรอด ก็ต้องรอด ไม่ใช่บุญทิ้ง ถึงมันจะถูกทิ้งก็เถอะ”  ลุงดำสรุปวาระการประชุมของวันนั้น

            ส่วนที่มาของการเปิดศึกกับนังตาล ก็ไม่มีอะไรมาก วันก่อนลุงดำเก็บน่องไก่จวนเน่าได้จากกองขยะ  แกดีใจราวเห็นทองคำ รีบนำมาล้างอย่างดีเตรียมต้มด้วยหม้อเก่า ๆ แต่ขณะวางผึ่งแดดอยู่หน้าบ้าน เจ้าหมาสีน้ำตาลตัวแสบ ก็เดินเข้ามางับน่องไก่อย่างเงียบกริบ แต่ไม่พ้นสายตาของลุงดำ ที่บังเอิญอยู่ในบ้าน แกวิ่งออกมาแย่งน่องไก่ออกจากปากหมาอย่างไม่คิดชีวิต จนเจ้าหมาตัวแสบต้องยอมปล่อย แต่นังตาล ก็มักวนเวียนอยู่แถวนั้นเสมอ มันคงได้กลิ่นอาหารแปลกใหม่ ต่างจากอาหารคุ้นชินตามกองขยะ บางทีก็โชคดีเมื่อลุงดำโยนเศษกระดูกให้ แบ่งปันกันไป เท่าที่จะทำได้
 
            ชีวิตไร้ทิศทางของลุงดำ ดูมีความหมายขึ้นทันที เมื่อนำทารกน้อยมาเลี้ยงดู แม้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมืดดำเหมือนชื่อคนเลี้ยง แกมีเงินทองถูไถพอเลี้ยงดูตัวเองไปวัน ๆ เท่านั้น  แต่เมื่อมีเพื่อนร่วมอาชีพ มาช่วยกันลงขัน ออกเงินเป็นค่านมค่าอาหาร ทำให้สภาพของทารกน้อยพอดำเนินต่อไปได้ เพิงมาแหงนของลุงดำมีคนช่วยกันเอามุ้งขาด ๆ มาปะติดปะต่อปิดรอยโหว่ เพื่อกันยุง ไม่ให้ไปกัดเด็ก น้ำใจไม่เคยขาดหาย แม้จะอยู่ในสังคมกองขยะก็ตาม
 
            หมากินเด็ก...นั่นเป็นสิ่งที่ลุงดำระแวง รอบอาณาจักรขยะมีหมามากมายหลายตัว ซึ่งหลายตัวก็ไม่สนิทด้วย กลัวว่าหมาจะมาคาบเด็กไปกิน ทั้งที่เกิดมาไม่เคยเห็น หมากินคน มาก่อน  แต่ความเป็นห่วงลูกของคนอื่น ทำให้ไม่กล้าประมาทกับทุกสถานการณ์ โดยเฉพาะกับหมาท่าทางหิวโหย หมาก็อยู่ส่วนหมา คนก็อยู่ส่วนคน  ส่วนนังตาลดูจะป้วนเปี้ยนเวียนวนมากกว่าหมาตัวอื่น เมื่อมันไม่ยอมหนีไปไหน ทำให้มีการขว้างด้วยก้อนอิฐก้อนหินกันบ้างเป็นการปราม ไม่ให้หมามาสนิทสนม มากเกินฐานะ ให้มันรู้ไปบ้างว่าใครเป็นคน ใครเป็นหมา
 
            ลุงดำยังหวังว่าพ่อแม่เด็กจะคิดได้ และกลับมาหาลูกตัวน้อย แต่คงเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ เท่านั้น  ไม่ใช่ว่าแกหนักใจกับการดูแล แต่คิดว่า ถ้าอยู่พ่อแม่แท้จริง น่าจะดีกว่า อย่างน้อยก็สายเลือดเดียวกัน แต่ความหวังของลุงดำก็หม่นมัวเหลือเกิน เมื่อนึกถึงว่า วัยรุ่นคู่นี้ใจร้าย ขนาดทิ้งสายเลือดของตนเองไป เหมือนปลดปล่อยของเสียออกจากร่างกาย ด้วยความรังเกียจ คงไม่มีวันหวนคืน
 
            “ข้าจะเลี้ยงเจ้าบุญรอดเป็นลูก จริงแท้แน่นอน”  อีกครั้งที่ลุงดำประกาศจุดยืนต่อหน้าเพื่อนร่วมอาชีพหลายคน ขณะนั่งคุยกันอยู่หน้าที่พัก หลังจากเข้าไปดูแลทารกน้อยตามประสา จนหลับปุ๋ยไปในเปลนอนผูกโยงทำมาจากผ้าขาวม้า

            “ถามจริงๆ เถอะ วันข้างหน้าแกจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงดู วัน ๆ ก็แทบไม่พอกินอยู่แล้ว” ลุงอ่ำเพื่อนร่วมอาชีพถามอย่างสงสัย ลุงดำยิ้มอย่างมุ่งมั่น มองไปยังกองขยะมหึมาไกลออกไป ราวมองขุมทรัพย์
 
            “ข้าจะทำงานให้หนักขึ้น ยังไงเราก็เก็บของเก่าจากกองขยะได้ทุกวัน ข้าจะอดออมเก็บเงิน ส่งเสียเจ้าหนูคนนี้ให้ได้ ถึงพ่อแม่มันจะไม่สนใจก็ตาม ข้าถือว่าเจ้าบุญรอดเป็นลูกของข้าแล้ว”
 
            เพื่อนทุกคนมองอย่างนับถือในน้ำใจ เพราะลุงดำแสดงให้เห็นแล้วว่า ความยากจนข้นแค้น ไม่ได้ลดค่าของความเป็นคนได้เสมอไป เพื่อนทุกคนรับปาก จะแบ่งเวลาจัดเวรยามผลัดกันมาดูแล ให้แกมีเวลาออกไปหาของเก่าตามกองขยะมาขาย บุญรอดกลายเป็นศูนย์รวมของน้ำใจหลายคนให้เป็นหนึ่งเดียว พวกเขาเหล่านี้ไม่มีลูกหลานเพราะต้องใช้ชีวิตอย่างลำบาก เลยทำให้พากันตื่นเต้นกับชีวิตใหม่ผู้กำลังจะเติบโตจากสังคมขยะ
 
 
            แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น  เช้าวันหนึ่งทารกน้อยร้องไห้จ้าไม่ยอมหยุด ตัวร้อนเหมือนมีไข้ ลุงดำวิ่งพล่านทำอะไรไม่ถูก เพื่อนฝูงพากันมาดูแลช่วยกัน แต่ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้ นอกจากเช็ดเนื้อเช็ดตัวไปตามมีตามเกิด ความกังวลก่อเกิดในความรู้สึกของทุกคน โดยเฉพาะลุงดำผู้เป็นเจ้าของทารก นานแค่ไหนแล้วที่ไม่เคยรู้สึกรักห่วงใยกังวลใจขนาดนี้มาก่อน ราวกับว่าเด็กน้อยเป็นลูกหลานของแกจริง ๆ
 
            “เอาไปส่งตำรวจดีกว่า”  ในที่สุดเพื่อนคนหนึ่งคิดขึ้นมาได้  “ไอ้ดำ แกต้องตัดใจแล้วละ เอาไปส่งตำรวจ พวกเขาต้องหาคนดูแลได้ดีกว่าพวกเราแน่นอน”
 
              “จะให้ข้า ทิ้งลูกข้าเหรอ” ลุงดำยกมือปาดน้ำตาเหมือนเด็ก ๆ หลายคนมองแล้วรู้สึกสะเทือนใจ ไปกับความรักความผูกพัน แว่วเสียงลุงอ้นดังมาเข้าหูกับความรู้สึกหนักอึ้ง
 
            “เถอะ....เชื่อข้า พวกเราก็รักเด็กคนนี้ด้วยกันทุกคน แต่เพื่ออนาคตของเด็ก เราต้องให้แกไปอยู่ที่เหมะสม อย่าให้มาเป็นเด็กกองขยะอย่างพวกเราเลย  เร็วเข้า ไปรถซาเล้งของข้าก็ได้ ตัดใจเสียเถิดไอ้ดำ แกทำดีที่สุดแล้ว บุญกรรมเราทำมากับไอ้บุญรอดมันแค่นี้”
 
            ตอนสายของวันนั้น รถซาเล้งสามสี่คันวิ่งออกจากอาณาเขตเมืองขยะ มุ่งหน้าของชุมชน โดยมีลุงดำกอดทารกไว้แนบอกราวกับจะให้ความรักความอบอุ่นเป็นครั้งสุดท้าย  น้ำตาของลุงดำไหลพรากอย่างไม่อายใคร เป็นครั้งแรกที่ทุกคนเห็นแกร้องไห้ ทำให้หลายคนร้องไห้ตามไปด้วย  เพื่อนฝูงทุกคนพร้อมใจกันหยุดงาน ตามไปส่งไปให้กำลังใจ โดยเฉพาะในเวลาอันอ่อนไหวอย่างนี้ น้ำใจและกำลังใจเป็นสิ่งสำคัญเสมอ  ภาพลุงดำที่ร้องไห้ อุ้มเจ้าบุญรอดจนวินาทีสุดท้าย ก่อนส่งให้เจ้าหน้าที่ ด้วยมือสั่นเทา เป็นภาพสะเทือนใจของทุกคน ลุงดำที่เคยคนมองว่าหยาบกร้าน กลับมาเสียน้ำตากับเด็กที่ไม่ใช่ลูกของตัวเอง ความรัก ความผูกพัน เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ที่คนไม่เคยสัมผัสลึกซึ้ง อาจไม่มีวันเข้าใจ

 

.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งเรื่องสั้น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่