กว่าจะลงตัวกับการขายของออนไลน์นี่ก็เหนื่อยเหมือนกันนะคะ…
ช่วงนี้เห็นหลายคนหันมาขายของออนไลน์กันเยอะขึ้นมากๆ เพราะการขายของออนไลน์สะดวกตรงที่ เราไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ เศรษฐกิจหรืออะไรก็ตามแต่ ดูได้จากกระทู้ที่หลายๆคนมาแชร์เรื่องราวการขายของออนไลน์ในประเทศกัน …………… วันนี้เรามีเวลาเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ของเรา เกี่ยวกับการขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ต่างประเทศบ้างเผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากขายของบนเว็บไซต์ Amazon เพื่อตีตลาดไปยังต่างประเทศค่ะ
เราชื่อตุ๊กนะคะ ปัจจุบันเราขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ Amazon มาได้ประมาณ 5 ปี
สินค้าที่เราขายจะเป็นพวกอะไหล่รถยนต์ จริงๆธุรกิจนี้เราก็ทำมามากกว่า5ปีแล้ว เมื่อก่อนเราก็จะขายส่งในประเทศนี่แหละค่ะ เวลาผ่านไปก็อยากขยับขยายให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น ก็เลยขยายตลาดโดยการส่งออกไปต่างประเทศ
ในช่วงแรกเราลองขายใน Amazon ได้สักประมาณ 1 ปีกว่าๆ วิธีการขายก็เหมือนเราขายของออนไลน์ปกติค่ะ เวลามีคนมากดสั่งซื้อของเราก็รับออเดอร์มาแล้วทำการส่งสินค้าไปยังปลายทาง ซึ่งตอนนี้ออเดอร์ของเราค่อนข้างเยอะเลย การขายAmazonแบบธรรมดาเริ่มไม่ค่อยตอบโจทย์เราแล้ว เพราะการขายปลีก ค่อยๆส่งไปที่ USA ทีละออเดอร์ ค่อนข้างต้องใช้เวลา กว่าจะส่งไปแต่ละชิ้นได้เสียเวลามากๆ
ทีนี้เราก็ไปเจอการขายของที่ Amazon อีกรูปแบบนึงที่เค้าเรียก Amazon FBA
บริการนี้เหมาะสำหรับคนที่ขายของในปริมาณเยอะๆ แต่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่สะดวกส่งทีละครั้งๆบ่อยๆ และคนที่ไม่อยากเสียเวลา หรือเสียเครดิตถ้าส่งล่าช้า …….... อย่างที่บอกค่ะถ้าให้เราส่งของไปทีละชิ้นๆ ทีละออเดอร์ กว่าลูกค้าจะได้รับสินค้ามันค่อนข้างต้องใช้เวลามาก
ระบบการขายแบบ Amazon FBA ก็คือ เราจะต้องส่งสินค้าที่เราขายเข้าไปสต็อคที่ Amazon FBA แล้วทางนั้นเค้าจะทำหน้าที่ รับออเดอร์ รวมไปถึงบริการหยิบของ แพคสินค้า จนถึงส่งของให้ลูกค้า คือทำแทนเราทั้งหมด ซึ่งสะดวกมากๆทำให้ลูกค้าฝั่งนั้นได้รับของเร็วขึ้นด้วย เหมาะกับไลฟ์สไตล์เรามากๆ แค่เราคอยเชคสินค้าในสต็อคที่นู่นและส่งของเข้าสต็อคของเราให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าก็พอแล้ว
ระบบหลังบ้าน Amazon FBA ของเราก็จะประมาณนี้ค่ะ
เราสามารถเช็คสถานะการส่งของจากไทยไปคลังสินค้าที่ Amazon FBA ได้ด้วยค่ะ
ส่วนปัญหาที่เราเจอมาจากการขายของบน Amazon FBA คือเรื่องการขนส่งค่ะ
อย่างที่บอก FBA คือการส่งของไปสต็อคที่ amazon เราต้องส่งของข้ามประเทศ
ส่งทีก็ 15 kg.ขึ้นไปซึ่งปัญหาที่หนีไม่ได้เลยก็คือ ……………..
1.ราคาค่าขนส่งแพง
2.ระยะเวลาในการจัดส่งของช้า
3.ของหาย
สามสิ่งนี่คือปัญหาโลกเเต่ของเรามากเลยค่ะ
กว่าจะลงตัวได้ก็เล่นเอาเครียดไปเยอะเหมือนกันค่ะ ราคาขนส่งแพงก็ทำเอาเราจุกเข้าเนื้อไปเยอะ ขายของแทบไม่ได้กำไรเลย ไปเสียกับค่าส่งหมด เพราะเราส่งไปสต็อคที่ Amazon FBA นั่นเอง ส่งทีนึงก็15-20 Kg.
ช่วง 2 ปีแรกเราใช้ขนส่งของ ไปรษณีย์ไทย
ข้อดีของเค้าเลยก็คือสาขาเยอะ ออกไปหน้าปากซอยก็เจอร้านเเล้วค่ะ โชคดีที่ใกล้บ้านเราด้วยส่วนเรื่องราคา กลางๆไม่แพงไม่ถูกค่ะ ยังพอรับได้ ใครคิดไม่ออกก็ต้องใช้บริการไปรษณีย์ไทยอยู่แล้วถูกมั้ย?
ส่วนข้อเสียคือระหว่างขนส่ง สินค้าของเราชำรุด เราก็ไม่รู้ว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้างเนอะ ตอนเราเเพคเราก็แพคของเราอย่างดีให้แน่นหนาสุดๆแล้วนะ และก็ยังมีเรื่องของหาย โดยที่ปลายทางไม่เซนรับ เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะนอกจากปลง เป็นแบบนี้เรื่อยๆมาสองปีเราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเจ้าดีกว่า
ที่นี้เลยเปลี่ยนไปใช้ขนส่ง DHL Global Mail
เพราะเห็นว่าเป็นขนส่งไปต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ณ ตอนนั้น เราก็ใช้บริการมาได้เกือบปีค่ะ
ข้อดีเลยคือเค้าซัพพอร์ทหลายประเทศ ค่อนข้างมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งประเทศต่างๆ ด้วยความที่เป็นขนส่งแบบ Global ทั่วโลกอะเนอะมีสาขาที่ไทยหลายที่ด้วย แถมยังบริการดี ถามไวตอบไว เรื่อง service นี่เรายกให้เลย เป็นอีกขนส่งนึงเลยที่มีความทันสมัยมีบริการส่งของผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย
ข้อเสียก็คือราคาขนส่งแพงมากๆ ถ้าเทียบกับระยะเวลาในการจัดส่ง ที่ไม่ได้เร็วไปกว่ากันเลย
15-20 Kg.ปาไปเกือบหมื่นค่ะTT ใครจะไปทนไหว
หนีปัญหาของหายจากไปรษณีย์ไทยมาที่นี่ ก็ยังไม่วายเจออยู่ดี แล้วก็ไม่มีการรับผิดชอบใดๆเหมือนเดิม ก็เข้าใจแหละบางทีการหายมันเกิดได้หลายกรณี อาจจะหายจริงๆ หรือบางทีไม่มีคนเซนรับพัสดุก็เป็นได้ ซึ่งจากที่เปลี่ยนมาหลายเจ้าเค้าไม่ค่อยซัพพอร์ทเราในกรณีนี้ค่ะ ก็ดันทุรังใช้ไปเกือบปี จนวันนึงรู้สึกว่าเริ่มไม่คุ้มค่ากับราคาค่าส่งเพราะจ่ายไปก็เยอะ แต่เวลาก็ยังไม่ได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ แถมปัญหาของหายก็ยังมีเรื่อยๆ เลยขอไม่ไปต่อดีกว่า
เราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนมาเจอ FastShip เอาจริงๆก็ไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่ค่ะตอนนั้น แต่สะดุดตรงที่บอกว่าลูกค้าใหม่ลดราคาค่าส่งนี่แหละก็เลยขอลองหน่อย ถ้าดีก็ใช้ต่อ ไม่ดีก็จะได้ไม่เฮิร์ทเท่าไหร่เพราะได้ส่วนลดมาไรงี้
เราลองใช้ขนส่ง FastShip มาได้สักประมาณปีกว่าๆแล้ว ใช้ไปใช้มากลายเป็นลูกค้าVIPไปซะงั้น
ข้อดีเลยคือราคาขนส่งถูกกว่าหลายเจ้ามากๆนะ ลองเชคดูเรทราคาแต่ละเจ้าได้เลย ราคาเจ็บปวดหัวใจสุดๆ เพราะเราส่งทีก็คือไป USA ไกลม้ากก เจ้าอื่นส่งทีราคาก็ประมาณ7พันถึง9พัน ส่วนเจ้านี้ถูกกว่าเกือบครึ่ง เหลือ4พันกว่าๆ ราคามันสมเหตุสมผลดี แถมได้เลข Tracking ไวมาก พอสร้าง shipment ปุ๊บเราจะได้เลขแทร็คกิ้งปั๊ป เอาไว้เช็คสถานะสินค้าเราได้เลย สะดวกมาก
ส่วนเรื่องของหายก็ยังแอบมีนะคะ แต่พอเราไปแจ้งกับทาง CS เเล้วก็เอาหลักฐานไปยื่น สรุปก็คือได้เงินคืนมา3พันบาทค่ะ โอนตรงเข้าบัญชีเราเลย ก็ถือเป็นการรับผิดชอบของชิปปิ้งที่เราไม่ยังไม่เจอจากเจ้าอื่นนะ
ข้อเสียก็คือช่วงเทศกาล CS ติดต่อค่อนข้างยากค่ะ บางทีเรารีบๆก็เครียดอ่ะ หรือบางทีติดต่อไลน์@ไปก็ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจนแอบหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน ส่วนเวลาปกติที่ไม่ใช่เทศกาลหรือช่วงที่คนส่งเยอะๆก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกวันนี้ก็เลยคิดแบบหยวนๆกันไป
เดี๋ยวนี้หลายๆขนส่งเค้ามีบริการไปรับของที่บ้านแล้วด้วย (Door to Door) ทำให้เราไม่เสียเวลา แล้วยิ่งคนขายของหนักๆใหญ่ๆแบบเรา ขืนให้ไปส่งเองมีหวังไหล่ทรุดค่ะไม่ก็รถยางแตกก่อน5555 สมัยที่ยังไม่ได้ขายแบบ FBA เราก็ไปส่งของเองเลย เพราะจำนวนมันไม่ได้เยอะ ส่งเองตามออเดอร์ แต่พอเปลี่ยนมาขายแบบนี้เราเลยต้องใช้บริการขนส่งที่สามารถมารับที่บ้านได้ อย่างที่บอกเราส่งของไปสต็อคทีก็ 15-20 kg.
เอ้อลืมบอกนอกจากหลักๆเราจะขายที่Amazonเเล้วเราก็ยังขายตามแพล็ตฟอร์มอื่นๆอีกด้วยลูกค้าก็ยังคงเป็นคนต่างชาติเหมือนเดิมค่ะ ทางFastShip เค้ามีบริการนึงที่เราใช้อยู่ก็คือ Fast Box บริการนี้จะเหมาะกับเเม่ค้าที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างเราบางทีก็ต้องออกไปคุยกับซัพพลายเออร์ หรือไปธุระต่างจังหวัดบ่อยๆ บริการนี้คือเราจะส่งของไปสต็อคที่ FastShip ก่อน เเล้วเค้าจะมีบริการ เเพคของ ส่งของให้เราเลย โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเเพคเอง เเค่เราส่งข้อมูลไปว่ามีออเดอร์เข้ามา เค้าก็จะจัดการให้เราเลย ใครธุรกิจรัดตัวแบบเราก็ลองใช้บริการนี้ดูได้นะ
ปกติแล้วทาง FastShip เค้าจะไม่ได้มีบริการถ่ายรูปส่งสินค้าให้นะคะ ยกเว้นแค่บางกรณีค่ะ ตอนนั้นเรามีปัญหานิดหน่อยเพราะว่าฝากลูกน้องให้ไปช่วยส่งของแทน เรากลัวว่าจะส่งของผิดเลยวานให้ทาง FastShip ช่วยส่งรูปมาให้รีเชคอีกที เค้าก็ส่งมาให้ดู ประทับใจที่เค้าใส่ใจลูกค้าดี
สำหรับใครที่อาจจะไม่รู้ว่าการส่งของไปต่างประเทศนี่มีขั้นตอนยังไงบ้างหรือว่ามีอะไรที่ควรรู้บ้าง วันนี้เราก็จะมาบอกแบบคร่าวๆด้วยนะคะ จริงๆมันก็ไม่ยากหรอก ก็คล้ายๆที่ไทยนี่แหละแต่มันก็มีบางอย่างที่เราต้องศึกษาเพิ่มเหมือนกัน
1.ตรวจสอบกฎระเบียบของศุลกากร/แนบใบกำกับสินค้าที่เป็นภาษาอังกฤษ
ศุลกากรเป็นด่านแรกของการส่งพัสดุไปต่างประเทศเลยค่ะ ถ้าพลาดจุดนี้ไป ก็จะเกิดปัญหาตามมาแน่นอน เราจำเป็นต้องมีใบกำกับสินค้าที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เพราะเจ้าหน้าที่ศุลกากรจำเป็นต้องใช้ใบกำกับสินค้าในการประเมินภาษีและอากรที่อาจจะมี กรอกใบกำกับสินค้าให้ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงความล่าช้าได้ และไม่ว่าต้นทางหรือปลายทางจะเป็นประเทศอะไร ก็ต้องกรอกเอกสารต่างๆเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
2.แสดงคำอธิบายพัสดุให้ชัดเจน
เวลาเราส่งของไปต่างประเทศเราควรระบุคำอธิบายหน้ากล่องหรือหน้าซองให้ชัดเจนนะคะว่าของด้านในคืออะไรจะได้สะดวกต่อขั้นตอนภายใน เพราะในบางประเทศปลายทาง เค้าจะมีข้อจำกัดเรื่องการบางอย่างเข้าประเทศ หากเราไม่ระบุรายละเอียดของสิ่งของที่อยู่ข้างในให้ชัดเจน พัสดุของเราอาจจะโดนตีกลับมาอีกครั้ง ทำให้เสียเวลาในการจัดส่ง
3.แพ็คพัสดุให้เรียบร้อย
ถ้าสินค้าของเราแตกหักง่าย เราจำเป็นที่ต้องเเพ็คพัสดุให้มิดชิด ใส่อุปกรณ์กันกระเเทก เพราะเราไม่รู้ว่าในช่วงที่พัสดุของเราเข้ากระบวนการขนส่ง อาจจะเกิดการกระทบกระแทกทำให้พัสดุเสียหายได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเซฟตั้งเเต่ขั้นตอนของการแพ็คเลยค่ะ
4.การเลือกขนส่ง
ขั้นตอนนี้ก็สำคัญมากเเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยากให้ทุกคนลองใช้บริการไปเรื่อยๆค่ะ เเล้วจะเจอเจ้าที่ถูกใจเอง ต้องเลือกขนส่งที่ราคาคุ้มค่า จัดส่งไว และบริการดี เพราะนี่คือหัวใจหลักของการเลือกใช้บริการเลย เสียเงินทั้งทีก็ต้องให้ผลลัพธ์มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหน่อย
สำหรับวันนี้ก็ประมาณนี้ค่ะ มาบ่นๆให้ฟังพร้อมกับแนะนำให้เพื่อนๆสำหรับใครที่อยากขายของใน Amazon FBA
หรือเพื่อนๆคนไหนเคยเจอปัญหาอะไรกันบ้าง สามารถมาเล่าสู่กันฟังได้เลยนะคะ ใครที่เริ่มทำธุรกิจแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นก็ลองศึกษาดูได้เลยนะคะ ถ้าอันไหนเราสามารถให้คำปรึกษาได้เราจะช่วยอย่างเต็มที่เลยค่ ะ หัวอกเเม่ค้าเหมือนกัน ไปแล้วค่ะหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์นะคะ^^
[CR] แชร์อีกมุมของ "แม่ค้าออนไลน์" เวอร์ชั่นส่งขายต่างประเทศกับระบบ Amazon FB
ช่วงนี้เห็นหลายคนหันมาขายของออนไลน์กันเยอะขึ้นมากๆ เพราะการขายของออนไลน์สะดวกตรงที่ เราไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน ไม่ต้องเสียค่าเช่าที่ ด้วยสถานการณ์ต่างๆ เศรษฐกิจหรืออะไรก็ตามแต่ ดูได้จากกระทู้ที่หลายๆคนมาแชร์เรื่องราวการขายของออนไลน์ในประเทศกัน …………… วันนี้เรามีเวลาเลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ของเรา เกี่ยวกับการขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ต่างประเทศบ้างเผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจอยากขายของบนเว็บไซต์ Amazon เพื่อตีตลาดไปยังต่างประเทศค่ะ
เราชื่อตุ๊กนะคะ ปัจจุบันเราขายของออนไลน์บนเว็บไซต์ Amazon มาได้ประมาณ 5 ปี
สินค้าที่เราขายจะเป็นพวกอะไหล่รถยนต์ จริงๆธุรกิจนี้เราก็ทำมามากกว่า5ปีแล้ว เมื่อก่อนเราก็จะขายส่งในประเทศนี่แหละค่ะ เวลาผ่านไปก็อยากขยับขยายให้ธุรกิจเติบโตมากขึ้น ก็เลยขยายตลาดโดยการส่งออกไปต่างประเทศ
ในช่วงแรกเราลองขายใน Amazon ได้สักประมาณ 1 ปีกว่าๆ วิธีการขายก็เหมือนเราขายของออนไลน์ปกติค่ะ เวลามีคนมากดสั่งซื้อของเราก็รับออเดอร์มาแล้วทำการส่งสินค้าไปยังปลายทาง ซึ่งตอนนี้ออเดอร์ของเราค่อนข้างเยอะเลย การขายAmazonแบบธรรมดาเริ่มไม่ค่อยตอบโจทย์เราแล้ว เพราะการขายปลีก ค่อยๆส่งไปที่ USA ทีละออเดอร์ ค่อนข้างต้องใช้เวลา กว่าจะส่งไปแต่ละชิ้นได้เสียเวลามากๆ
ทีนี้เราก็ไปเจอการขายของที่ Amazon อีกรูปแบบนึงที่เค้าเรียก Amazon FBA
บริการนี้เหมาะสำหรับคนที่ขายของในปริมาณเยอะๆ แต่ไม่ค่อยมีเวลา ไม่สะดวกส่งทีละครั้งๆบ่อยๆ และคนที่ไม่อยากเสียเวลา หรือเสียเครดิตถ้าส่งล่าช้า …….... อย่างที่บอกค่ะถ้าให้เราส่งของไปทีละชิ้นๆ ทีละออเดอร์ กว่าลูกค้าจะได้รับสินค้ามันค่อนข้างต้องใช้เวลามาก
ระบบการขายแบบ Amazon FBA ก็คือ เราจะต้องส่งสินค้าที่เราขายเข้าไปสต็อคที่ Amazon FBA แล้วทางนั้นเค้าจะทำหน้าที่ รับออเดอร์ รวมไปถึงบริการหยิบของ แพคสินค้า จนถึงส่งของให้ลูกค้า คือทำแทนเราทั้งหมด ซึ่งสะดวกมากๆทำให้ลูกค้าฝั่งนั้นได้รับของเร็วขึ้นด้วย เหมาะกับไลฟ์สไตล์เรามากๆ แค่เราคอยเชคสินค้าในสต็อคที่นู่นและส่งของเข้าสต็อคของเราให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าก็พอแล้ว
อย่างที่บอก FBA คือการส่งของไปสต็อคที่ amazon เราต้องส่งของข้ามประเทศ
ส่งทีก็ 15 kg.ขึ้นไปซึ่งปัญหาที่หนีไม่ได้เลยก็คือ ……………..
1.ราคาค่าขนส่งแพง
2.ระยะเวลาในการจัดส่งของช้า
3.ของหาย
สามสิ่งนี่คือปัญหาโลกเเต่ของเรามากเลยค่ะ
กว่าจะลงตัวได้ก็เล่นเอาเครียดไปเยอะเหมือนกันค่ะ ราคาขนส่งแพงก็ทำเอาเราจุกเข้าเนื้อไปเยอะ ขายของแทบไม่ได้กำไรเลย ไปเสียกับค่าส่งหมด เพราะเราส่งไปสต็อคที่ Amazon FBA นั่นเอง ส่งทีนึงก็15-20 Kg.
ช่วง 2 ปีแรกเราใช้ขนส่งของ ไปรษณีย์ไทย
ข้อดีของเค้าเลยก็คือสาขาเยอะ ออกไปหน้าปากซอยก็เจอร้านเเล้วค่ะ โชคดีที่ใกล้บ้านเราด้วยส่วนเรื่องราคา กลางๆไม่แพงไม่ถูกค่ะ ยังพอรับได้ ใครคิดไม่ออกก็ต้องใช้บริการไปรษณีย์ไทยอยู่แล้วถูกมั้ย?
ส่วนข้อเสียคือระหว่างขนส่ง สินค้าของเราชำรุด เราก็ไม่รู้ว่าระหว่างทางเกิดอะไรขึ้นบ้างเนอะ ตอนเราเเพคเราก็แพคของเราอย่างดีให้แน่นหนาสุดๆแล้วนะ และก็ยังมีเรื่องของหาย โดยที่ปลายทางไม่เซนรับ เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยค่ะนอกจากปลง เป็นแบบนี้เรื่อยๆมาสองปีเราเลยตัดสินใจเปลี่ยนเจ้าดีกว่า
ที่นี้เลยเปลี่ยนไปใช้ขนส่ง DHL Global Mail
เพราะเห็นว่าเป็นขนส่งไปต่างประเทศที่มีชื่อเสียง ณ ตอนนั้น เราก็ใช้บริการมาได้เกือบปีค่ะ
ข้อดีเลยคือเค้าซัพพอร์ทหลายประเทศ ค่อนข้างมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการขนส่งประเทศต่างๆ ด้วยความที่เป็นขนส่งแบบ Global ทั่วโลกอะเนอะมีสาขาที่ไทยหลายที่ด้วย แถมยังบริการดี ถามไวตอบไว เรื่อง service นี่เรายกให้เลย เป็นอีกขนส่งนึงเลยที่มีความทันสมัยมีบริการส่งของผ่านช่องทางออนไลน์ด้วย
ข้อเสียก็คือราคาขนส่งแพงมากๆ ถ้าเทียบกับระยะเวลาในการจัดส่ง ที่ไม่ได้เร็วไปกว่ากันเลย
15-20 Kg.ปาไปเกือบหมื่นค่ะTT ใครจะไปทนไหว
หนีปัญหาของหายจากไปรษณีย์ไทยมาที่นี่ ก็ยังไม่วายเจออยู่ดี แล้วก็ไม่มีการรับผิดชอบใดๆเหมือนเดิม ก็เข้าใจแหละบางทีการหายมันเกิดได้หลายกรณี อาจจะหายจริงๆ หรือบางทีไม่มีคนเซนรับพัสดุก็เป็นได้ ซึ่งจากที่เปลี่ยนมาหลายเจ้าเค้าไม่ค่อยซัพพอร์ทเราในกรณีนี้ค่ะ ก็ดันทุรังใช้ไปเกือบปี จนวันนึงรู้สึกว่าเริ่มไม่คุ้มค่ากับราคาค่าส่งเพราะจ่ายไปก็เยอะ แต่เวลาก็ยังไม่ได้เร็วขึ้นเท่าไหร่ แถมปัญหาของหายก็ยังมีเรื่อยๆ เลยขอไม่ไปต่อดีกว่า
เราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆจนมาเจอ FastShip เอาจริงๆก็ไม่ค่อยคุ้นชื่อเท่าไหร่ค่ะตอนนั้น แต่สะดุดตรงที่บอกว่าลูกค้าใหม่ลดราคาค่าส่งนี่แหละก็เลยขอลองหน่อย ถ้าดีก็ใช้ต่อ ไม่ดีก็จะได้ไม่เฮิร์ทเท่าไหร่เพราะได้ส่วนลดมาไรงี้
เราลองใช้ขนส่ง FastShip มาได้สักประมาณปีกว่าๆแล้ว ใช้ไปใช้มากลายเป็นลูกค้าVIPไปซะงั้น
ข้อดีเลยคือราคาขนส่งถูกกว่าหลายเจ้ามากๆนะ ลองเชคดูเรทราคาแต่ละเจ้าได้เลย ราคาเจ็บปวดหัวใจสุดๆ เพราะเราส่งทีก็คือไป USA ไกลม้ากก เจ้าอื่นส่งทีราคาก็ประมาณ7พันถึง9พัน ส่วนเจ้านี้ถูกกว่าเกือบครึ่ง เหลือ4พันกว่าๆ ราคามันสมเหตุสมผลดี แถมได้เลข Tracking ไวมาก พอสร้าง shipment ปุ๊บเราจะได้เลขแทร็คกิ้งปั๊ป เอาไว้เช็คสถานะสินค้าเราได้เลย สะดวกมาก
ส่วนเรื่องของหายก็ยังแอบมีนะคะ แต่พอเราไปแจ้งกับทาง CS เเล้วก็เอาหลักฐานไปยื่น สรุปก็คือได้เงินคืนมา3พันบาทค่ะ โอนตรงเข้าบัญชีเราเลย ก็ถือเป็นการรับผิดชอบของชิปปิ้งที่เราไม่ยังไม่เจอจากเจ้าอื่นนะ
ข้อเสียก็คือช่วงเทศกาล CS ติดต่อค่อนข้างยากค่ะ บางทีเรารีบๆก็เครียดอ่ะ หรือบางทีติดต่อไลน์@ไปก็ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจนแอบหงุดหงิดอยู่เหมือนกัน ส่วนเวลาปกติที่ไม่ใช่เทศกาลหรือช่วงที่คนส่งเยอะๆก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ทุกวันนี้ก็เลยคิดแบบหยวนๆกันไป
เดี๋ยวนี้หลายๆขนส่งเค้ามีบริการไปรับของที่บ้านแล้วด้วย (Door to Door) ทำให้เราไม่เสียเวลา แล้วยิ่งคนขายของหนักๆใหญ่ๆแบบเรา ขืนให้ไปส่งเองมีหวังไหล่ทรุดค่ะไม่ก็รถยางแตกก่อน5555 สมัยที่ยังไม่ได้ขายแบบ FBA เราก็ไปส่งของเองเลย เพราะจำนวนมันไม่ได้เยอะ ส่งเองตามออเดอร์ แต่พอเปลี่ยนมาขายแบบนี้เราเลยต้องใช้บริการขนส่งที่สามารถมารับที่บ้านได้ อย่างที่บอกเราส่งของไปสต็อคทีก็ 15-20 kg.
เอ้อลืมบอกนอกจากหลักๆเราจะขายที่Amazonเเล้วเราก็ยังขายตามแพล็ตฟอร์มอื่นๆอีกด้วยลูกค้าก็ยังคงเป็นคนต่างชาติเหมือนเดิมค่ะ ทางFastShip เค้ามีบริการนึงที่เราใช้อยู่ก็คือ Fast Box บริการนี้จะเหมาะกับเเม่ค้าที่ไม่ค่อยมีเวลาอย่างเราบางทีก็ต้องออกไปคุยกับซัพพลายเออร์ หรือไปธุระต่างจังหวัดบ่อยๆ บริการนี้คือเราจะส่งของไปสต็อคที่ FastShip ก่อน เเล้วเค้าจะมีบริการ เเพคของ ส่งของให้เราเลย โดยที่เราไม่ต้องมานั่งเเพคเอง เเค่เราส่งข้อมูลไปว่ามีออเดอร์เข้ามา เค้าก็จะจัดการให้เราเลย ใครธุรกิจรัดตัวแบบเราก็ลองใช้บริการนี้ดูได้นะ
ปกติแล้วทาง FastShip เค้าจะไม่ได้มีบริการถ่ายรูปส่งสินค้าให้นะคะ ยกเว้นแค่บางกรณีค่ะ ตอนนั้นเรามีปัญหานิดหน่อยเพราะว่าฝากลูกน้องให้ไปช่วยส่งของแทน เรากลัวว่าจะส่งของผิดเลยวานให้ทาง FastShip ช่วยส่งรูปมาให้รีเชคอีกที เค้าก็ส่งมาให้ดู ประทับใจที่เค้าใส่ใจลูกค้าดี
สำหรับใครที่อาจจะไม่รู้ว่าการส่งของไปต่างประเทศนี่มีขั้นตอนยังไงบ้างหรือว่ามีอะไรที่ควรรู้บ้าง วันนี้เราก็จะมาบอกแบบคร่าวๆด้วยนะคะ จริงๆมันก็ไม่ยากหรอก ก็คล้ายๆที่ไทยนี่แหละแต่มันก็มีบางอย่างที่เราต้องศึกษาเพิ่มเหมือนกัน
1.ตรวจสอบกฎระเบียบของศุลกากร/แนบใบกำกับสินค้าที่เป็นภาษาอังกฤษ
ศุลกากรเป็นด่านแรกของการส่งพัสดุไปต่างประเทศเลยค่ะ ถ้าพลาดจุดนี้ไป ก็จะเกิดปัญหาตามมาแน่นอน เราจำเป็นต้องมีใบกำกับสินค้าที่ถูกต้องและสมบูรณ์ เพราะเจ้าหน้าที่ศุลกากรจำเป็นต้องใช้ใบกำกับสินค้าในการประเมินภาษีและอากรที่อาจจะมี กรอกใบกำกับสินค้าให้ครบถ้วนและถูกต้องจะช่วยหลีกเลี่ยงความล่าช้าได้ และไม่ว่าต้นทางหรือปลายทางจะเป็นประเทศอะไร ก็ต้องกรอกเอกสารต่างๆเป็นภาษาอังกฤษเท่านั้น
2.แสดงคำอธิบายพัสดุให้ชัดเจน
เวลาเราส่งของไปต่างประเทศเราควรระบุคำอธิบายหน้ากล่องหรือหน้าซองให้ชัดเจนนะคะว่าของด้านในคืออะไรจะได้สะดวกต่อขั้นตอนภายใน เพราะในบางประเทศปลายทาง เค้าจะมีข้อจำกัดเรื่องการบางอย่างเข้าประเทศ หากเราไม่ระบุรายละเอียดของสิ่งของที่อยู่ข้างในให้ชัดเจน พัสดุของเราอาจจะโดนตีกลับมาอีกครั้ง ทำให้เสียเวลาในการจัดส่ง
3.แพ็คพัสดุให้เรียบร้อย
ถ้าสินค้าของเราแตกหักง่าย เราจำเป็นที่ต้องเเพ็คพัสดุให้มิดชิด ใส่อุปกรณ์กันกระเเทก เพราะเราไม่รู้ว่าในช่วงที่พัสดุของเราเข้ากระบวนการขนส่ง อาจจะเกิดการกระทบกระแทกทำให้พัสดุเสียหายได้ เพราะฉะนั้นเราต้องเซฟตั้งเเต่ขั้นตอนของการแพ็คเลยค่ะ
4.การเลือกขนส่ง
ขั้นตอนนี้ก็สำคัญมากเเต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อยากให้ทุกคนลองใช้บริการไปเรื่อยๆค่ะ เเล้วจะเจอเจ้าที่ถูกใจเอง ต้องเลือกขนส่งที่ราคาคุ้มค่า จัดส่งไว และบริการดี เพราะนี่คือหัวใจหลักของการเลือกใช้บริการเลย เสียเงินทั้งทีก็ต้องให้ผลลัพธ์มันคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหน่อย
สำหรับวันนี้ก็ประมาณนี้ค่ะ มาบ่นๆให้ฟังพร้อมกับแนะนำให้เพื่อนๆสำหรับใครที่อยากขายของใน Amazon FBA
หรือเพื่อนๆคนไหนเคยเจอปัญหาอะไรกันบ้าง สามารถมาเล่าสู่กันฟังได้เลยนะคะ ใครที่เริ่มทำธุรกิจแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นก็ลองศึกษาดูได้เลยนะคะ ถ้าอันไหนเราสามารถให้คำปรึกษาได้เราจะช่วยอย่างเต็มที่เลยค่ ะ หัวอกเเม่ค้าเหมือนกัน ไปแล้วค่ะหวังว่ากระทู้นี้จะมีประโยชน์นะคะ^^
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้