"ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน" เรื่องนี้พอประสบการณ์ชีวิตมากขึ้นก็รู้สึกแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ
มันอาจจะจริงสำหรับบางคนที่ประสบความสำเร็จแต่น้อยมากๆๆๆๆ ส่วนใหญ่จะพ่ายแพ้โชคชะตากันทั้งนั้น
อีกอย่างเรื่องความเพียรพยายามก็เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยเช่นกัน ความเพียรเป็นสิ่งที่ต้องมีต้นทุน ไม่ใช่ว่าใครจะเพียรก็เพียรได้ทุกเรื่อง
ส่วนตัวอย่างคนที่เพียรพยายามสุดๆแล้วมาจบเห่ที่บั้นปลายก็มีเยอะแยะไป
เรื่องนี้ถ้ามองเป็นเรื่องกรรมเก่าในศาสนาพุทธไม่แน่ใจว่าหลักการที่ถูกต้องจริงๆเป็นอย่างไรครับ ในโลกียวิสัยของปุถุชนทั่วไป
เพราะพุทธศาสนาเน้นการกระทำเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันโดยที่ยอมรับเรื่องกรรมเก่าด้วย
แต่กลับไม่ได้บอกว่ากรรมเก่ากรรมใหม่อะไรมีน้ำหนักอย่างไร แล้วโยนว่ากรรมวิสัยเป็นเรื่องอจินไตย
บางคนที่มองในแง่ดีมากๆก็เลยมักบอกว่าทำๆไปอย่าพึ่งโชคชะตา (อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา)
แต่ขณะเดียวก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนบางคนที่ประสบความสำเร็จอาศัยหมอดูชะตาพยากรณ์และฤกษ์ยามเป็นเหตุปัจจัย
โดยส่วนตัวรู้สึกว่าท่วงทำนองชีวิตในชาตินี้น่าจะเป็นผลจากกรรมเก่าในชาติก่อนๆซะมากกว่า
ขณะที่กรรมใหม่ในชาตินี้ส่วนใหญ่มันจะไปส่งผลในอีกกี่ชาติข้างหน้าก็ไม่รู้
ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้
ก็ลองคิดดูว่ากรรมเก่ามันจะมีมหาศาลขนาดไหน ท่วมทับกรรมในชาตินี้ที่เทียบกันแล้วเล็กกระจึ๋งเดียว
ดังนั้นถ้าจะถือหลักการว่า ควรเพียรพยายามให้มากเฉพาะในสิ่งที่มีต้นทุนและโอกาสอำนวยจะดีกว่า
ส่วนเรื่องอื่นๆที่พิจารณาแล้วว่าลำบากยากเข็ญมากๆน่าจะปล่อยวางทำไปตามสบาย
แบบนี้น่าจะดีกว่าไหมสำหรับชีวิตในโลกียวิสัย ที่เอาแค่ไม่ผิดศีล ไม่ก่อบาป ก็น่าจะพอ
ชีวิตในชาตินี้เราสามารถกำหนดได้แค่ไหน
มันอาจจะจริงสำหรับบางคนที่ประสบความสำเร็จแต่น้อยมากๆๆๆๆ ส่วนใหญ่จะพ่ายแพ้โชคชะตากันทั้งนั้น
อีกอย่างเรื่องความเพียรพยายามก็เป็นสิ่งที่มีเหตุปัจจัยเช่นกัน ความเพียรเป็นสิ่งที่ต้องมีต้นทุน ไม่ใช่ว่าใครจะเพียรก็เพียรได้ทุกเรื่อง
ส่วนตัวอย่างคนที่เพียรพยายามสุดๆแล้วมาจบเห่ที่บั้นปลายก็มีเยอะแยะไป
เรื่องนี้ถ้ามองเป็นเรื่องกรรมเก่าในศาสนาพุทธไม่แน่ใจว่าหลักการที่ถูกต้องจริงๆเป็นอย่างไรครับ ในโลกียวิสัยของปุถุชนทั่วไป
เพราะพุทธศาสนาเน้นการกระทำเพื่อประโยชน์ในปัจจุบันโดยที่ยอมรับเรื่องกรรมเก่าด้วย
แต่กลับไม่ได้บอกว่ากรรมเก่ากรรมใหม่อะไรมีน้ำหนักอย่างไร แล้วโยนว่ากรรมวิสัยเป็นเรื่องอจินไตย
บางคนที่มองในแง่ดีมากๆก็เลยมักบอกว่าทำๆไปอย่าพึ่งโชคชะตา (อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา)
แต่ขณะเดียวก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนบางคนที่ประสบความสำเร็จอาศัยหมอดูชะตาพยากรณ์และฤกษ์ยามเป็นเหตุปัจจัย
โดยส่วนตัวรู้สึกว่าท่วงทำนองชีวิตในชาตินี้น่าจะเป็นผลจากกรรมเก่าในชาติก่อนๆซะมากกว่า
ขณะที่กรรมใหม่ในชาตินี้ส่วนใหญ่มันจะไปส่งผลในอีกกี่ชาติข้างหน้าก็ไม่รู้
ก็ในเมื่อพระพุทธเจ้าสอนว่าสงสารนี้กำหนดที่สุดเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้
ก็ลองคิดดูว่ากรรมเก่ามันจะมีมหาศาลขนาดไหน ท่วมทับกรรมในชาตินี้ที่เทียบกันแล้วเล็กกระจึ๋งเดียว
ดังนั้นถ้าจะถือหลักการว่า ควรเพียรพยายามให้มากเฉพาะในสิ่งที่มีต้นทุนและโอกาสอำนวยจะดีกว่า
ส่วนเรื่องอื่นๆที่พิจารณาแล้วว่าลำบากยากเข็ญมากๆน่าจะปล่อยวางทำไปตามสบาย
แบบนี้น่าจะดีกว่าไหมสำหรับชีวิตในโลกียวิสัย ที่เอาแค่ไม่ผิดศีล ไม่ก่อบาป ก็น่าจะพอ