เล่ห์รักหัวใจ ตกกระไดพลอยโจน ตอนที่ 1

นี่อะไรกัน วันพรุ่งนี้ก็เป็นวันเกิดของฉัน แล้วฉันก็จะสามสิบแล้วซินะ และถ้าปีนี้ฉันยังไม่ได้แต่งงาน ฉันคงมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านคานทองวิลล่าแน่ๆ เลย ตามที่หมอดูเขาเคยดูดวงฉันไว้ ถึงแม้ฉันจะสวยปานนางฟ้า นิสัยดีอย่างกับนางเอกในนิยาย หน้าที่การงานก็เป็นถึงขั้นผู้จัดการ ที่ไม่ได้น้อยหน้า น้อยตาใครๆ เลย แต่ทำไมไม่เห็นจะมีหนุ่มหน้าไหน เข้ามาจีบสักคน แค่ตอนนี้หาแฟนยังยาก นับภาษาอะไรจะหา "ผอสระอัว" สักคน ไม่ได้การแล้วฉันจะต้องทำอะไรสักอย่าง

"นี่ยัยก้อย" ฉันกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์มือถือ ที่ยายเพื่อนตัวแสบกว่าจะรับได้ก็นานแสนนาน

"อะไรกันยัยหมอก" นังเพื่อนตัวแสบเอ่ยรับแบบเหวี่ยงๆ

.... แหม ไอ้เพื่อนคนนี้ นี่ตั้งแต่มันแต่งงานแต่งการไปล่ะ หายหัวเข้ากลีบเมฆเชียว... 

"พรุ่งนี้วันเกิดฉัน"

"เออจำได้ จะโทรมาทวงของขวัญล่วงหน้าหรือไง"

"เปล่า มีเรื่องสำคัญจะปรึกษา" ฉันอึกอักสักครู่ก่อนที่จะตัดสินใจตอบ

"อีกสองชั่วโมงได้ไหม" เสียงตอบอู้ๆ อี้ ดูจากน้ำเสียงยัยก้อยมันน่าจะยุ่งจริงๆ แหละ

"ทำอะไรอยู่ล่ะ อย่าบอกว่ากำลังจู๋จี๋กับสามีอยู่" ได้พูดล้อเลียนเพื่อนบ้างทำให้ฉันสบายใจขึ้นเยอะ

"บ้า ใครจะไปทำอะไรกัน กลางวันแสกๆ ฉันอยู่ที่สปากับคุณเพชร ภรรยาคุณเล็กจำได้ไหม"

"สปา เดี๋ยวนี้แกหัดเข้าสปงสปาแล้วเหรอ"

.... นังก้อยนี่นะเข้าสปานี่นะ โลกนี้ท่าจะแตกไปแล้ว! ...

"นี่ก็เกือบจะได้เวลาเลิกงานแล้วสินะ เอาไว้เจอกันตอนแกเลิกงานนะ อีกสองชั่วโมง ที่เดิมนะ"

มันบอกแค่นั้นก่อนที่จะวางหูไป

-------------------------------------------- 

สองชั่วโมงผ่านไป ช้าอย่างกับชั่วกัปชั่วกันต์ ฉันมานั่งรอยัยก้อย อยู่เป็นนานสองนานที่ร้านกาแฟ Sommita ร้านของยัยส้ม สมมิตา เพื่อนสนิท ตั้งแต่ชั้นมัธยมต้น ซึ่งเป็นร้านประจำของเรา ที่เวลาว่างเมื่อไหร่เพื่อนๆ ก็จะมาหมกตัว สุมหัวกันอยู่ที่นี่ เป็นประจำ นี่ก็เลยเวลานัดมาเกือบจะชั่วโมงแล้วนะ ยัยก้อย นะยัยก้อย เมื่อไหร่จะมาสักที

"ขอโทษทีที่มาช้า"

... เสียงมันแหวมาแต่ไกล รีบขอโทษขอโพย สงสัยจะกลัวฉันด่า ... 

“ยัยก้อย" ฉันทักเพื่อนสนิทเสียงหลง จนคนในร้านพากันหันมามอง

"เบาๆ สิแก ฉันอายเขา"

เพื่อนสนิทที่มีชื่อจริงที่ไพเราะว่า นางสาว เอ๊ย ลืมไปว่ามันชิ่ง หนีไปแต่งงานเมื่อสองปีที่แล้ว มันเลยต้องเปลี่ยนจาก นางสาวแก้วสุดา เป็นนางแก้วสุดา

"นี่ฉันไม่ได้เจอแกแค่สองสามเดือน แกเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้เหรอแก"

ฉันมองยัยก้อยที่เมื่อก่อน ผมเผ้ามันไม่เคยปะทะสเปรย์ กับไดร์ยเป่าผมมาก่อน มาวันนี้ผมยาวสลวยสวยเก๋ ถูกตกแต่งมาอย่างดี ใบหน้าเรียบเนียนของมัน ที่มีมันเคยทาแต่แป้งเด็ก กับลิปสติกสีชมพูอ่อนๆ ที่ริมฝีปาก วันนี้มีสีสันสวยงาม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป เสื้อผ้าทันสมัยที่สวมใส่เผยให้ร่างแบบบางดูสวยเก๋อย่างกับเป็นคนละคน

"ก็ตอนนี้ฉันแต่งงานแล้วนี่ ไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยอย่างแต่ก่อน อีกอย่างคุณเพชรเขาชวนไปที่สปาของเธอบ่อยๆ เลยออกมาเป็นแบบนี้"

"ก้อย ฉันดีใจว่ะ ที่เห็นแกมีความสุขอย่างเต็มที่เสียที"

ฉันมองหน้าเพื่อนซี้ ที่คบหารู้ใจกันมาตั้งแต่สมัยชั้นประถมศึกษา

"แล้วนี่คุณใหญ่เขาว่ายังไงเรื่องที่แก สวยขึ้น สวยขึ้นทุกวัน"

"ปกติฉันก็ไม่ได้ทำบ่อยๆ หรอก ถ้าวันไหนไปช่วยงานคุณเพชรที่สปา ก็จะเป็นอย่างนี้กลับบ้านทุกวัน คุณใหญ่เขาก็ได้แต่ยิ้มๆ "

ก้อยออกตัวเขินๆ คุณใหญ่ หรือคุณชาติชาย ดำรงค์ตระกูล นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ เจ้าของกิจการรีสอร์ต และสนามกอล์ฟ หลายแห่งของประเทศ คุณใหญ่อายุมากกว่ายัยก้อย เกือบจะสิบปี ที่เมื่อสามปีที่แล้วคุณใหญ่ มาติดต่อธุรกิจที่บริษัทของเรา ที่เพื่อนของฉัน นางสาวแก้วสุดา ผู้จัดการฝ่ายมาร์เก็ตติ้งก์ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแล ในส่วนงานโฆษณา รีสอร์ตของคุณใหญ่

หลังจากที่พบกันเพียงหกเดือน คุณใหญ่ก็ขอมันแต่งงาน

"เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องของฉัน มาพูดเรื่องขอแกดีกว่า ไอ้ธุระด่วนที่แกเร่งให้ฉันมาหาแกนี่มันเรื่องอะไรกัน"

ยัยก้อยก้มลงดื่มกาแฟเย็นอย่างกระหาย

"แกก็รู้ว่าพรุ่งนี้วันเกิดครบรอบสามสิบปีของฉัน" ฉันบอกเสียงอ่อย

"เอ่อฉันรู้ ก็แกเกิดปีเดียวกับฉัน แล้วไง"

"ไม่แล้วไงหรอก แกจำได้ไหม ที่ฉันเคยบอกแกว่า ฉันเคยไปดูหมอดู เขาบอกว่าถ้าฉันไม่ได้แต่งงานภายในอายุสามสิบฉันก็จะ"

"ขึ้นคาน!"

ก้อยพูดต่อ พร้อมกับหัวเราะในคอ

"ต๊าย แกนี่พูดจาหยาบคาย เขาเรียกว่า ครองตัวเป็นโสดตลอดชีวิตย่ะ"

"โธ่ฉันก็คิดว่าแกจะมีปัญหาเรื่องอะไร ที่มันคอขาดบาดตายกว่านี้"

"ก้อย นี่ล่ะปัญหาคอขาดบาดตายที่สุดแล้ว ในชีวิตของฉันแล้ว" ฉันเริ่มโมโห

"หมอก ฉันว่าแกหมกมุ่น ไปกับคําทำนายของหมอดูมากเกินไปหรือเปล่า ฉันว่าแกน่าจะโฟกัสเรื่องงานวันเกิดของแกในวันพรุ่งนี้ดีกว่านะ"

แก้วสุดาเอื้อมมือมาตบเบาๆ ที่หลังมือฉัน อย่างปลอบใจ

"แกไม่อยากรู้เหรอว่า เพื่อนซี้คนนี้จะจัดงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดสามสิบปีของแกอย่างไร"

ไอ้เพื่อนซี้นี่นะ มันมานั่งหน้าตาแอ๊บแบ๊ว แต่เน้นคำว่าสามสิบแบบไม่เกรงใจ

"ไม่เอาฉันไม่อยากรู้ ที่จริงฉันไม่อยากมีหรอกไอ้งานวันเกิดนี้น่ะ" ฉันงอแง

"ไม่ได้นะแก ฉันอุตส่าห์ขอคุณใหญ่จัดงานของแกที่รีสอร์ตริมทะเล พร้อมที่พักสำหรับเพื่อนๆ ทุกคน และที่สำคัญ คนที่มาก็มีแต่เพื่อนสนิทๆ ในกลุ่มเราแค่นั้นแหละ"

ยัยแก้วสุดาพยายามพูดห้อมล้อมให้ฉันใจอ่อน

"เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน วันนี้วันศุกร์ แกก็ทำงานเสร็จแล้ว แทนที่ฉันจะไปรับแกที่คอนโดวันพรุ่งนี้เช้า ฉันว่าเราไปกันวันนี้เลยดีไหม"

ไอ้เพื่อนคนนี้ เห็นมันเรียบร้อย หงิมๆ อย่างนี้ แต่พอเวลาที่มันจะทำอะไรห่ามๆ บ้าๆ บอๆ มันก็ไม่ต่างอะไรกับฉันเหมือนกัน นี่แหละมั้งที่ทำให้เราเป็นเพื่อนกันได้มานานขนาดนี้

"ฉันขี้เกียจเถียงกับแกแล้ว ถ้าแกอยากจะลากฉันไปไหน หรือเอาไปปู้ยี่ปู้ยำที่ไหน ก็ตามใจแกก็แล้วกัน"

"ยัยหมอกฉันจะพาแกไปงานเลี้ยงฉลองวันเกิดแกนะ ไม่ได้พาแกไปฆ่า"

-------------------------------------- 

"Happy Birthday To You ..."

เสียงร้องประสานเสียงหลงคีย์ของกลุ่มคนปลายเสียง ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ ทำให้ฉันยิ้มออกมาได้ ความอบอุ่นเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ

"สุขสันต์วันเกิดนะคะพี่หมอก"

เสียงของฟ้าใส น้องสาวคนเดียวของฉันดังก้องขึ้น หลังเพลงจบ และตามด้วยเสียงหลายๆ เสียงที่แย่งกันกรอกเสียงลงโทรศัพท์จนหูฉันเกือบดับ

"สุขสันต์วันเกิดนะลูก"

และแล้วคุณนายบานชื่นก็ครอบครองโทรศัพท์จนได้

"ขอบคุณค่ะแม่ และฝากกราบสวัสดีพ่อด้วยนะคะ"

ไม่เคยมีอะไรในโลกนี้มาแทนที่ครอบครัวของฉันได้ ฉันโชคดีที่มีท่านรองศาสตราจารย์ มั่นคง รักษ์ซื่อสัตย์ เป็นพ่อ มีคุณนายบานชื่นเป็นแม่ ที่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นตลอดเวลาเกือบสามสิบปีท่านทั้งสองยืนอยู่เคียงข้างฉันตลอดเวลา

"แม่กับพ่อ" คุณนายบานชื่น พูดได้แค่นั้น เสียงใสๆ ก็ดังแทรกขึ้น

"ฟ้า พี่กรณ์ กับหลานในท้อง"

"จ้า.. แม่กับพ่อ ยัยฟ้า ตากรณ์ และหลานในท้อง ขอให้ม่านหมอก ลูกของแม่ มีความสุขมากๆ นะจ้ะ และที่สำคัญขอให้เจอเนื้อคู่สักทีนะจ๊ะ พ่อกับแม่อยากมีหลานหลายๆ คนเอาไว้ฝากผีฝากไข้"

"แม่นะแม่ เริ่มต้นก็ดีนะ ซึ้งจับจิต แต่มาตกม้าตายอีกตอนท้ายนี่แหละ"

"เอาน่าหมอกอย่าทำเสียงอ่อยแบบนั้นสิ แม่รู้ว่าสักวันลูกต้องพบกับคนที่ลูกรอคอย"

"ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นหรือเปล่าสิแม่"

ฉันถอนหายใจก่อนจะปรับเสียงให้สดใสกว่าเดิม

"ฟ้าเป็นอย่างไรบ้าง ใกล้จะคลอดแล้วสินะ"

"หมอบอกว่าจะคลอดได้ทุกเวลา พวกเราทั้งหมดก็ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่กันแล้วล่ะ"

คุณนายบานชื่นวางหูไปนานแล้ว ฉันถึงค่อยๆ ลุกออกจากเตียงอย่างช้าๆ อย่างเกียจคร้าน ซึ่งเมื่อคืนกว่าที่คุณนายแก้วสุดา จะขับรถพาฉัน มาถึงรีสอร์ตก็ดึกมากแล้ว แถมยัยก้อยก็ยังจะต้องมานั่งดื่มไวน์ เป็นเพื่อนคุยให้กับฉันจนดึกดื่นอีก เช้านี้ฉันถึงได้ตื่นมาแล้ว ก็เกิดอาการปวดหัวตึบๆ

ฉันค่อยๆ เดินไปแหวกม่านที่หน้าต่างห้องพักออก เพื่อรับแสงแดดยามสาย แล้วเปิดประตูบานเลื่อนออก ก่อนที่จะเดินออกมาที่เฉลียงด้านหน้าของห้องพัก ที่ทอดตัวออกไปทางชายหาด เพื่อที่จะรับลมทะเลเย็นๆ ที่พัดมาปะทะใบหน้าเบาๆ หาดทรายขาวทอดตัวยาวลงสู่ทะเลสีฟ้าใส กว้างไกลสุดสายตา เสียงคลื่นสาดซัด ดังคล้ายเสียงเพลงจากสวรรค์  

แต่มันก็แปลกประหลาดที่ว่า ภาพวิวสวยพันล้าน ที่อยู่ตรงหน้า ยังไม่ทำให้ฉันกระชุ่มกระชวย ได้เท่ากับสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตรงหน้า ที่มองปราดเดียว มันก็สามารถทำให้ฉัน สดชื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน

ในขณะที่ฉันหลงใหลกับความงดงามที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อยู่นั้น ร่างกำยำของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลัง วิ่งออกกำลังอยู่บนชายหาด ที่ไม่ไกลจากห้องพักของฉันนัก เขาวิ่งผ่านหน้าฉันไปอย่างช้าๆ ทำให้ฉันเห็นความงดงามของร่างเปลือยเปล่าท่อนบน ที่เผยให้เห็นกล้ามเนื้อแน่น

ดังต้องมนต์สะกดทำให้ฉันมองตาม ชายผู้นั้นไปอย่างช่วยไม่ได้ ตั้งแต่เกิดมาฉันก็ไม่ได้ หลงใหลได้ปลื้ม กับผู้ชายคนไหนมาก่อน แต่สำหรับชายคนนี้ ฉันไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าอะไร ดลใจให้ฉันออกเดินตามหาเขาคนนั้น

ฉันเดินตามชายหาดมาเรื่อยๆ จนถึงสระว่ายน้ำริมชายหาด ที่ตอนนี้พนักงานรีสอร์ตหลายคน สาละวนจัดโต๊ะเก้าอี้ ที่ถ้าให้ฉันเดา ก็คงเดาได้ว่าพวกเขากำลังจัดสถานที่สำหรับงานวันเกิดของฉันในคืนนี้นั่นเอง

ในขณะที่ฉันกำลังมองคนงานจัดโต๊ะเก้าอี้อยู่นั้น ในตรงกันข้ามของสระว่ายน้ำ ฉันเห็นผู้ชายคนนั้น กำลังยืนคุยอยู่กับก้อย ที่ตอนนี้ก้อยก็ดันหันมาเห็นฉันอีก และยังโบกมือทักทายฉันด้วย ทำให้เขาคนนั้นหันมามองฉัน 

... แต่ฉับพลันภาพตรงหน้าก็ดับมืดลง ...

-------------------------------------------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่