ธนาธร เเนะ 4 ข้อ สู้โควิด ระลอก 3 เลิกระบบเจ้าขุนมูลนาย-มองประชาชนเป็นภาระ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6342676
“ธนาธร” ประธานคณะคณะก้าวหน้า เเนะ 4 ข้อ สู้โควิดระลอกใหม่ ชง รบ.ช่วยนายจ้างจ่ายเงิน 50% ยกเลิกระบบ “เจ้าขุนมูลนาย” มองประชาชน เป็นภาระ
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. แฟนเพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความหัวข้อ “
นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แนะ 4 เปลี่ยน สู้วิกฤตโควิด -19 ระลอกใหม่” โดยเนื้อความระบุว่า
ข้อ1.
เปลี่ยนการจัดหาวัคซีน วันนี้ นับเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลเปลี่ยนวิธีการจัดหา ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เพียงไม่กี่เจ้า การเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนเจ้าอื่นๆเป็นเรื่องที่เห็นด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ทีมเจรจา ถ้าทำได้เร็วกว่านี้จะเป็นประโยชน์กับคนไทย
ข้อ 2.
เปลี่ยนการกระจายวัคซีน การฉีดวัคซีนวันนี้แสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ฉีดได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แผนการเตรียมความพร้อมไม่มี รัฐบาลต้องกลับมาตั้งสมติฐานใหม่ ถ้าบริหารจัดการดีๆ บุคลากรต่างๆ ต้องทำได้ดีกว่านี้ การกระจายการฉีดวัคซีนต้องทำได้ดีกว่านี้ เชื่อว่า 10 ล้านเข็มต่อเดือนสามารถทำได้ เรียกร้องให้รัฐบาลระบุเป้าหมายให้ชัด การฉีดวัคซีนต่อวัน ต่อเดือน เป็นอย่างไร
ข้อ 3.
เปลี่ยนมาตรการเยียวยา ณ ตอนนี้ เราเข้าสู่ภาวะกึ่งล็อกดาวน์ แต่ไม่มีมาตรการเศรษฐกิจรองรับซึ่งอันตรายมาก เราควบคุมการค้า แต่ไม่มีมาตรการออกมา ดังนั้น พ.ร.บ เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ตอนนี้ เงินที่เหลือ 2.5 แสนล้าน ต้องนำออกมาใช้อย่างรวดเร็วใน 2 เรื่อง คือป้องกันไม่ให้ลูกจ้างตกงานเพิ่ม รัฐบาลอาจช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยการช่วยจ่ายเงินเดือน 50% แลกกับการที่นายจ้างไม่เลิกจ้าง และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้ารายละ 3,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งโดยสภาวะการคลังยังทำได้
ข้อ 4.
เปลี่ยนทัศนคติผู้บริหารวันนี้ คนไม่เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะพาประชาชนไปรอด เพราะยังเป็นระบบเป็นเจ้าขุนมูลนาย ผู้บริหารยังมองว่าประชาชนเป็นภาระ ทั้งที่เมื่อไปดูการแพร่ระบาด การติดเชื้อนั้นมาจากอภิสิทธิ์ชน และการเลือกปฏิบัติตามแบบของระบบเจ้าขุนมูลนายทั้งสิ้น ผู้บริหารต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า ตนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ประชาชนไม่ใช่ภาระ การบริหารจัดการต้องเท่าเทียมกัน ข้อมูลต้องเปิดเผย และมีความจริงจัง จริงใจในการดูแลประชาชน
https://www.facebook.com/ThailandProgressiveMovement/posts/347049613597974
แนะลงทุนอุตสาหกรรมยา-การแพทย์ อย่างต่ำ 50,000 ล้านบาท สู้ COVID-19 กลายพันธุ์
https://prachatai.com/journal/2021/04/92615
'อนุสรณ์ ธรรมใจ' แนะลงทุนอุตสาหกรรมยา-การแพทย์ สำหรับ COVID-19 กลายพันธุ์และโรคระบาดอุบัติใหม่ อย่างต่ำ 50,000 ล้านบาท จัดตั้งในรูปกองทุน เตือนหากจำนวนผู้ติดเชื้อระลอก 3 เกินกว่า 3,000 รายต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 3 เดือน คาดว่าอุปทานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์น่าจะไม่สามารถรองรับความต้องการในการรักษาได้
18 เม.ย. 2564 นาย
อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยฯ ม. รังสิต กล่าวถึงการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ ของไวรัส COVID-19 จะทำให้วัคซีนที่ใช้กันอยู่ได้ผลน้อยลง และอาจจำเป็นต้องฉีดใหม่ทุกปี สร้างต้นทุนมหาศาลต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่สามารถผลิตวัคซีนเองได้และต้องอาศัยนำเข้าวัคซีน และวิกฤติ COVID-19 เป็นวิกฤตสาธารณะครั้งใหญ่คุกคามประชากรมากกว่า 7 พันล้านคนพร้อม ๆ กันจึงประสบภาวะการขาดแคลนวัคซีน
มีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมยาและวัคซีนซึ่งควรจะลงทุนเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 50,000 หมื่นล้านบาทเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนและขับเคลื่อนให้กลไกตลาดและภาคเอกชนพัฒนาการวิจัยและสร้างนวัตกรรมด้านนี้อย่างจริงจัง ตลาดยาและวัคซีนในประเทศไทยและในระดับโลกนั้นไม่ได้เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ รัฐจำเป็นต้องมีบทบาทส่งเสริม และขณะเดียวกันต้องกำกับไม่ให้เกิดการผูกขาดเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการใช้บริการได้เมื่อจำเป็น เนื่องจากต้นทุนการวิจัยและพัฒนาสูงมากจึงปิดกั้นการเข้าสู่ตลาดของผู้ผลิตรายใหม่สัญชาติไทย บริษัทยาข้ามชาติขนาดใหญ่ควบคุมองค์ความรู้ สิทธิบัตรอย่างสิ้นเชิง ทำให้ประเทศไทยอยู่ในฐานะผู้ซื้อที่ไม่มีอำนาจต่อรองอะไร เวชภัณฑ์ส่วนใหญ่ทางการแพทย์มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตร่วมกัน (Joint Production) เช่น วัคซีน ยารักษา กระบวนการรักษา อุปกรณ์ทางการแพทย์ จะมีความเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบูรณาการทางด้านการรักษาโรคและการจัดการทางด้านสาธารณสุข การแข่งขันในตลาดยาถูกควบคุมด้วยการคุ้มครองสิทธิบัตร การแทรกแซงด้านราคาโดยรัฐ การควบคุมพฤติกรรมในกานใช้ยาและสั่งจ่ายยาเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเป็นมาตรฐาน มีการกระจุกตัวของผู้ผลิตยาและผู้ผลิตอาจทำการควบรวมกิจการกันเพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ลดต้นทุนของการวิจัยและการทำตลาด
งบประมาณอย่างต่ำ 50,000 ล้านบาทเพื่อนำมาส่งเสริมอุดหนุนอุตสาหกรรมยาและจัดตั้งในรูปกองทุนนั้น ต้องนำมาวิจัยและพัฒนา ยาซึ่งเป็นยาสารเคมีและยาชีวภาพ เพราะบริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และอุตสาหกรรมทางด้าน Genomics จะเป็นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด บริษัทวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพจึงมีความสำคัญมากและประเทศไทยนั้นมีความได้เปรียบในเรื่องการมีความหลากหลายทางชีวภาพ ต่อไปบริษัทยาขนาดใหญ่จะจ้างหรือซื้อสิทธิบัตรจากบริษัท Genomics พวกนี้ สิทธิบัตรยาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคายาสูงขึ้น หากมีการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดและไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ และจำเป็นต้องมีการวัคซีนทุกปี อาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงยาหรือวัคซีนรุ่นใหม่ได้ รัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการการบังคับใช้สิทธิบัตร (Compulsory Licensing) ซึ่งเป็นการที่รัฐบาลอนุญาตให้ผู้ผลิตยาที่ไม่ใช่เจ้าของสิทธิบัตรยาผลิตยาหรือนำเข้ายานี้จากประเทศอื่นที่มีราคาถูกกว่า โดยรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของสิทธิบัตรยาเพื่อชดเชยในความเสียหายที่ขายยาหรือวัคซีนไม่ได้ รัฐบาลสามารถนำมาตรการนี้มาใช้ได้ในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดจากโควิดกลายพันธุ์ในอนาคต หรือ รับมือกับโรคระบาดอุบัติใหม่ต่างๆ ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้เงินจากกองทุน 50,000 ล้านบาทที่จัดตั้งขึ้นได้
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพและ Genomics นั้นเป็นเรื่องที่ประเทศมีความได้เปรียบเทียบเชิงเปรียบเทียบบางอย่างอยู่จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพ หากเราไม่ลงทุนอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าวและไม่พัฒนาระบบและกลไกในการจัดการเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ข้อได้เปรียบทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสังคมไทยเท่าไหร่นัก ความพยายามของมนุษย์ในการยกระดับชีวิตของตัวเองเพื่อเอาชนะความแก่ชรา ความเจ็บป่วยและความทุกข์ยากต่างๆ จะเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในอนาคตจากความใส่ใจของมนุษยชาติในเรื่องดังกล่าว การควบคุมฐานรากทางชีววิทยา (Biological Substratum) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำให้มนุษย์อาจเข้าใกล้ความไม่ตายหรือความเป็นอมตะ แต่ความรู้และความเข้าใจของมนุษย์ยังห่างไกลนัก ต้องอาศัยการศึกษาวิจัยอีกมาก การยกระดับความเป็นมนุษย์ให้มีอายุยืนยาว แข็งแรงจนกระทั่งเป็นอมตะ (ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน) สามารถทำผ่านวิธีการสามแนวทาง คือ การทำวิศวกรรมไซบอร์ก (Cyborg Engineering) การทำวิศวกรรมชีวภาพ (Biological Engineering) การทำวิศวกรรมสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์ (Engineering of non-organic beings) ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นว่าก้าวหน้าที่สุด คือ วิศวกรรมไซบอร์ก โดยเฉพาะ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของบริษัทเทสลา และ SpaceX ก็มีโครงการเกี่ยวกับมนุษย์ไซบอร์ก ขณะนี้เราสามารถเชื่อมร่างกายที่เป็นแบบอินทรีย์ (Organic Body) เข้ากับอุปกรณ์แบบอนินทรีย์ (Non-Organic Device) เช่น แขนขาไบโอนิก ดวงตาประดิษฐ์ หัวใจประดิษฐ์ ไตประดิษฐ์ เป็นต้น หุ่นยนต์นาโน สามารถท่องเข้าไปเส้นเลือดของเราเพื่อวินิจฉัยว่ามีปัญหาอะไรในร่างกายและซ่อมแซมอวัยวะส่วนไหน อย่างไรก็ตาม วิศวกรรมไซบอร์กก็ยังมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม เพราะยังคงตั้งต้นจากการใช้สมองแบบอินทรีย์เป็นศูนย์กลางในการควบคุมชีวิตและร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์สามารถทำวิศวกรรมจิตมนุษย์ได้ เมื่อนั้น ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะพลิกโฉมอย่างไม่เหมือนเดิม
ล่าสุดมีข่าวดีว่ามีการผลิตยาเม็ด "
Molnupiravir" ได้ผลดีรักษาผู้ป่วย COVID-19 ระยะแรก ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยบริษัทยารายใหญ่สองแห่งคือ "
Rigibel" ในเยอรมนีและ "
Merck" ในสหรัฐอเมริกาและประสบความสำเร็จในการทดลองทางคลินิกขั้นที่ 1 และ 2 ในมนุษย์ การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในปัจจุบันใกล้สิ้นสุดลงและผลดีมาก หากเป็นไปได้ดีจะวางจำหน่ายในอนาคต ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ด้วยตัวเองที่บ้านและหายใน 5 วันซึ่งสะดวกในการใช้มาก การรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในอนาคตก็เหมือนกับการรักษาโรคหวัดในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ไทยต้องรอนำเข้าและยังไม่แน่ใจว่า คนไทยสามารถจะได้ใช้ยาแบบนี้เมื่อไหร่ การพึ่งพาตัวเองทางด้านยารักษาโรคและวัคซีนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อไทย
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อCOVID-19 ในระลอกสามเกินกว่า 3,000 รายต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 3 เดือน คาดว่าอุปทานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์น่าจะไม่สามารถรองรับความต้องการในการรักษา ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขทั้งระบบ และ อาจทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยสูงขึ้น แม้นผลกระทบของการแพร่ระบาดในไทยหรือทั่วโลกจะไม่ได้ทำลายระบบการผลิตและอุปทาน แต่ระบบการผลิตและการเดินทางขนส่ง การท่องเที่ยวเกิดการชะงักงันจากการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นหลัก ทำให้เกิดการสินค้าบางชนิดจากการหยุดทำงาน หยุดการผลิต เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด กรณีการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ส่งผลต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆมากมายรวมทั้งการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ความต้องการแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์รวมทั้งอุปสงค์ต่อบริการทางการแพทย์ได้พุ่งขึ้นอย่างกว้างกระโดดในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้ และ เราไม่สามารถผลิตแพทย์หรือผลิตการให้บริการได้ทัน การใช้การแพทย์ดิจิทัล การแพทย์ทางไกล การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และระบบสมองกลอัจฉริยะ รวมทั้งการใช้การตรวจเชื้อแบบตู้อัตโนมัติ Self-service จะช่วยบรรเทาภาวะวิกฤติได้ ตอนนี้ได้เริ่มมีสัญญาณของการเริ่มมีการขาดแคลนบริการทางการแพทย์และสาธารสุขบ้างแล้ว เช่น เริ่มมีโรงพยาบาลไม่รับผู้ป่วยและแนะนำให้ไปสังเกตอาการที่บ้าน แพทย์ไม่รับคนไข้เพิ่ม การรอรับการบริการทางสุขภาพและรักษาพยาบาลนานขึ้นกว่าเดิมมาก คุณภาพของบริการด้อยลง เวลาในการตรวจและให้บริการสั้นลง กำหนดเวลาที่ผู้บริการอาจไม่สะดวกเพราะบุคลากรทางการแพทย์งานล้นมือ ภาวการณ์ขาดแคลนแพทย์และบริการสาธารณสุขนี้จะยิ่งเห็นชัดตามโรงพยาบาลจังหวัดตามแนวชายแดนตะวันตกของประเทศ ประเทศไทยต้องป้องกันการเกิดกลายพันธุ์ในประเทศไทยด้วยการฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 500,000 คน และ ฉีดให้ครบ 70% เป็นอย่างน้อยก่อนเปิดประเทศ โดยควรตั้งเป้าทำให้ได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตั้งเป้า 500,000 คนต่อวัน โดยสามารถใช้พื้นที่อื่นๆที่ไม่ใช่โรงพยาบาลในการจัดฉีด และ สามารถให้อาสาสมัครทางด้านสาธารณสุขที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเร่งรัดฉีดได้
JJNY : ธนาธรเเนะ 4ข้อสู้โควิด│แนะลงทุนอุตสาหกรรมยา-การแพทย์│ครูธัญชี้คนกลางคืนเจ็บหนัก│โควิดทำเครียดสูงเสี่ยงฆ่าตัวเอง
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6342676
“ธนาธร” ประธานคณะคณะก้าวหน้า เเนะ 4 ข้อ สู้โควิดระลอกใหม่ ชง รบ.ช่วยนายจ้างจ่ายเงิน 50% ยกเลิกระบบ “เจ้าขุนมูลนาย” มองประชาชน เป็นภาระ
เมื่อวันที่ 18 เม.ย. แฟนเพจเฟซบุ๊กของคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความหัวข้อ “นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า แนะ 4 เปลี่ยน สู้วิกฤตโควิด -19 ระลอกใหม่” โดยเนื้อความระบุว่า
ข้อ1. เปลี่ยนการจัดหาวัคซีน วันนี้ นับเป็นเรื่องดีที่รัฐบาลเปลี่ยนวิธีการจัดหา ไม่กระจุกตัวอยู่แค่เพียงไม่กี่เจ้า การเจรจากับผู้ผลิตวัคซีนเจ้าอื่นๆเป็นเรื่องที่เห็นด้วย ขอเป็นกำลังใจให้ทีมเจรจา ถ้าทำได้เร็วกว่านี้จะเป็นประโยชน์กับคนไทย
ข้อ 2. เปลี่ยนการกระจายวัคซีน การฉีดวัคซีนวันนี้แสดงถึงความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาล ฉีดได้ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น แผนการเตรียมความพร้อมไม่มี รัฐบาลต้องกลับมาตั้งสมติฐานใหม่ ถ้าบริหารจัดการดีๆ บุคลากรต่างๆ ต้องทำได้ดีกว่านี้ การกระจายการฉีดวัคซีนต้องทำได้ดีกว่านี้ เชื่อว่า 10 ล้านเข็มต่อเดือนสามารถทำได้ เรียกร้องให้รัฐบาลระบุเป้าหมายให้ชัด การฉีดวัคซีนต่อวัน ต่อเดือน เป็นอย่างไร
ข้อ 3. เปลี่ยนมาตรการเยียวยา ณ ตอนนี้ เราเข้าสู่ภาวะกึ่งล็อกดาวน์ แต่ไม่มีมาตรการเศรษฐกิจรองรับซึ่งอันตรายมาก เราควบคุมการค้า แต่ไม่มีมาตรการออกมา ดังนั้น พ.ร.บ เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ตอนนี้ เงินที่เหลือ 2.5 แสนล้าน ต้องนำออกมาใช้อย่างรวดเร็วใน 2 เรื่อง คือป้องกันไม่ให้ลูกจ้างตกงานเพิ่ม รัฐบาลอาจช่วยสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อย ด้วยการช่วยจ่ายเงินเดือน 50% แลกกับการที่นายจ้างไม่เลิกจ้าง และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบอย่างถ้วนหน้ารายละ 3,000 บาท ต่อเดือน ซึ่งโดยสภาวะการคลังยังทำได้
ข้อ 4. เปลี่ยนทัศนคติผู้บริหารวันนี้ คนไม่เชื่อมั่นว่า รัฐบาลจะพาประชาชนไปรอด เพราะยังเป็นระบบเป็นเจ้าขุนมูลนาย ผู้บริหารยังมองว่าประชาชนเป็นภาระ ทั้งที่เมื่อไปดูการแพร่ระบาด การติดเชื้อนั้นมาจากอภิสิทธิ์ชน และการเลือกปฏิบัติตามแบบของระบบเจ้าขุนมูลนายทั้งสิ้น ผู้บริหารต้องเปลี่ยนทัศนคติใหม่ว่า ตนต้องเป็นผู้รับผิดชอบ ประชาชนไม่ใช่ภาระ การบริหารจัดการต้องเท่าเทียมกัน ข้อมูลต้องเปิดเผย และมีความจริงจัง จริงใจในการดูแลประชาชน
https://www.facebook.com/ThailandProgressiveMovement/posts/347049613597974
แนะลงทุนอุตสาหกรรมยา-การแพทย์ อย่างต่ำ 50,000 ล้านบาท สู้ COVID-19 กลายพันธุ์
https://prachatai.com/journal/2021/04/92615
'อนุสรณ์ ธรรมใจ' แนะลงทุนอุตสาหกรรมยา-การแพทย์ สำหรับ COVID-19 กลายพันธุ์และโรคระบาดอุบัติใหม่ อย่างต่ำ 50,000 ล้านบาท จัดตั้งในรูปกองทุน เตือนหากจำนวนผู้ติดเชื้อระลอก 3 เกินกว่า 3,000 รายต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 3 เดือน คาดว่าอุปทานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์น่าจะไม่สามารถรองรับความต้องการในการรักษาได้
18 เม.ย. 2564 นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิสภาวิจัยแห่งชาติ สาขาเศรษฐศาสตร์ และ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยฯ ม. รังสิต กล่าวถึงการกลายพันธุ์ไปเรื่อย ๆ ของไวรัส COVID-19 จะทำให้วัคซีนที่ใช้กันอยู่ได้ผลน้อยลง และอาจจำเป็นต้องฉีดใหม่ทุกปี สร้างต้นทุนมหาศาลต่อประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่สามารถผลิตวัคซีนเองได้และต้องอาศัยนำเข้าวัคซีน และวิกฤติ COVID-19 เป็นวิกฤตสาธารณะครั้งใหญ่คุกคามประชากรมากกว่า 7 พันล้านคนพร้อม ๆ กันจึงประสบภาวะการขาดแคลนวัคซีน
มีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องจัดตั้งกองทุนเพื่อลงทุนในอุตสาหกรรมยาและวัคซีนซึ่งควรจะลงทุนเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 50,000 หมื่นล้านบาทเพื่อเป็นกลไกสนับสนุนและขับเคลื่อนให้กลไกตลาดและภาคเอกชนพัฒนาการวิจัยและสร้างนวัตกรรมด้านนี้อย่างจริงจัง ตลาดยาและวัคซีนในประเทศไทยและในระดับโลกนั้นไม่ได้เป็นตลาดแข่งขันสมบูรณ์ รัฐจำเป็นต้องมีบทบาทส่งเสริม และขณะเดียวกันต้องกำกับไม่ให้เกิดการผูกขาดเพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงการใช้บริการได้เมื่อจำเป็น เนื่องจากต้นทุนการวิจัยและพัฒนาสูงมากจึงปิดกั้นการเข้าสู่ตลาดของผู้ผลิตรายใหม่สัญชาติไทย บริษัทยาข้ามชาติขนาดใหญ่ควบคุมองค์ความรู้ สิทธิบัตรอย่างสิ้นเชิง ทำให้ประเทศไทยอยู่ในฐานะผู้ซื้อที่ไม่มีอำนาจต่อรองอะไร เวชภัณฑ์ส่วนใหญ่ทางการแพทย์มักเกี่ยวข้องกับกระบวนการผลิตร่วมกัน (Joint Production) เช่น วัคซีน ยารักษา กระบวนการรักษา อุปกรณ์ทางการแพทย์ จะมีความเชื่อมโยงเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการบูรณาการทางด้านการรักษาโรคและการจัดการทางด้านสาธารณสุข การแข่งขันในตลาดยาถูกควบคุมด้วยการคุ้มครองสิทธิบัตร การแทรกแซงด้านราคาโดยรัฐ การควบคุมพฤติกรรมในกานใช้ยาและสั่งจ่ายยาเป็นเรื่องที่ต้องทำอย่างเป็นมาตรฐาน มีการกระจุกตัวของผู้ผลิตยาและผู้ผลิตอาจทำการควบรวมกิจการกันเพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด ลดต้นทุนของการวิจัยและการทำตลาด
งบประมาณอย่างต่ำ 50,000 ล้านบาทเพื่อนำมาส่งเสริมอุดหนุนอุตสาหกรรมยาและจัดตั้งในรูปกองทุนนั้น ต้องนำมาวิจัยและพัฒนา ยาซึ่งเป็นยาสารเคมีและยาชีวภาพ เพราะบริษัททางด้านเทคโนโลยีชีวภาพจะเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และอุตสาหกรรมทางด้าน Genomics จะเป็นอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างก้าวกระโดด บริษัทวิจัยทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพจึงมีความสำคัญมากและประเทศไทยนั้นมีความได้เปรียบในเรื่องการมีความหลากหลายทางชีวภาพ ต่อไปบริษัทยาขนาดใหญ่จะจ้างหรือซื้อสิทธิบัตรจากบริษัท Genomics พวกนี้ สิทธิบัตรยาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ราคายาสูงขึ้น หากมีการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิดและไวรัสสายพันธุ์อื่นๆ และจำเป็นต้องมีการวัคซีนทุกปี อาจมีประชาชนจำนวนหนึ่งไม่สามารถเข้าถึงยาหรือวัคซีนรุ่นใหม่ได้ รัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการการบังคับใช้สิทธิบัตร (Compulsory Licensing) ซึ่งเป็นการที่รัฐบาลอนุญาตให้ผู้ผลิตยาที่ไม่ใช่เจ้าของสิทธิบัตรยาผลิตยาหรือนำเข้ายานี้จากประเทศอื่นที่มีราคาถูกกว่า โดยรัฐบาลจะต้องจ่ายค่าตอบแทนแก่เจ้าของสิทธิบัตรยาเพื่อชดเชยในความเสียหายที่ขายยาหรือวัคซีนไม่ได้ รัฐบาลสามารถนำมาตรการนี้มาใช้ได้ในสถานการณ์ที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดจากโควิดกลายพันธุ์ในอนาคต หรือ รับมือกับโรคระบาดอุบัติใหม่ต่างๆ ซึ่งรัฐบาลสามารถใช้เงินจากกองทุน 50,000 ล้านบาทที่จัดตั้งขึ้นได้
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าอุตสาหกรรมแห่งอนาคตทางด้านเทคโนโลยีชีวภาพและ Genomics นั้นเป็นเรื่องที่ประเทศมีความได้เปรียบเทียบเชิงเปรียบเทียบบางอย่างอยู่จากฐานความหลากหลายทางชีวภาพ หากเราไม่ลงทุนอย่างจริงจังในเรื่องดังกล่าวและไม่พัฒนาระบบและกลไกในการจัดการเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ข้อได้เปรียบทางด้านความหลากหลายทางชีวภาพก็จะไม่เกิดประโยชน์อะไรกับสังคมไทยเท่าไหร่นัก ความพยายามของมนุษย์ในการยกระดับชีวิตของตัวเองเพื่อเอาชนะความแก่ชรา ความเจ็บป่วยและความทุกข์ยากต่างๆ จะเป็นอุตสาหกรรมใหญ่ในอนาคตจากความใส่ใจของมนุษยชาติในเรื่องดังกล่าว การควบคุมฐานรากทางชีววิทยา (Biological Substratum) เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่ทำให้มนุษย์อาจเข้าใกล้ความไม่ตายหรือความเป็นอมตะ แต่ความรู้และความเข้าใจของมนุษย์ยังห่างไกลนัก ต้องอาศัยการศึกษาวิจัยอีกมาก การยกระดับความเป็นมนุษย์ให้มีอายุยืนยาว แข็งแรงจนกระทั่งเป็นอมตะ (ซึ่งยังต้องใช้เวลาอีกยาวนาน) สามารถทำผ่านวิธีการสามแนวทาง คือ การทำวิศวกรรมไซบอร์ก (Cyborg Engineering) การทำวิศวกรรมชีวภาพ (Biological Engineering) การทำวิศวกรรมสิ่งมีชีวิตอนินทรีย์ (Engineering of non-organic beings) ตอนนี้สิ่งที่เราเห็นว่าก้าวหน้าที่สุด คือ วิศวกรรมไซบอร์ก โดยเฉพาะ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) เจ้าของบริษัทเทสลา และ SpaceX ก็มีโครงการเกี่ยวกับมนุษย์ไซบอร์ก ขณะนี้เราสามารถเชื่อมร่างกายที่เป็นแบบอินทรีย์ (Organic Body) เข้ากับอุปกรณ์แบบอนินทรีย์ (Non-Organic Device) เช่น แขนขาไบโอนิก ดวงตาประดิษฐ์ หัวใจประดิษฐ์ ไตประดิษฐ์ เป็นต้น หุ่นยนต์นาโน สามารถท่องเข้าไปเส้นเลือดของเราเพื่อวินิจฉัยว่ามีปัญหาอะไรในร่างกายและซ่อมแซมอวัยวะส่วนไหน อย่างไรก็ตาม วิศวกรรมไซบอร์กก็ยังมีแนวคิดแบบอนุรักษ์นิยม เพราะยังคงตั้งต้นจากการใช้สมองแบบอินทรีย์เป็นศูนย์กลางในการควบคุมชีวิตและร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่มนุษย์สามารถทำวิศวกรรมจิตมนุษย์ได้ เมื่อนั้น ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะพลิกโฉมอย่างไม่เหมือนเดิม
ล่าสุดมีข่าวดีว่ามีการผลิตยาเม็ด "Molnupiravir" ได้ผลดีรักษาผู้ป่วย COVID-19 ระยะแรก ได้รับการพัฒนาร่วมกันโดยบริษัทยารายใหญ่สองแห่งคือ "Rigibel" ในเยอรมนีและ "Merck" ในสหรัฐอเมริกาและประสบความสำเร็จในการทดลองทางคลินิกขั้นที่ 1 และ 2 ในมนุษย์ การทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 ในปัจจุบันใกล้สิ้นสุดลงและผลดีมาก หากเป็นไปได้ดีจะวางจำหน่ายในอนาคต ผู้ป่วยสามารถรับประทานยาได้ด้วยตัวเองที่บ้านและหายใน 5 วันซึ่งสะดวกในการใช้มาก การรักษาไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในอนาคตก็เหมือนกับการรักษาโรคหวัดในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม ไทยต้องรอนำเข้าและยังไม่แน่ใจว่า คนไทยสามารถจะได้ใช้ยาแบบนี้เมื่อไหร่ การพึ่งพาตัวเองทางด้านยารักษาโรคและวัคซีนเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อไทย
อนุสรณ์ กล่าวอีกว่า หากจำนวนผู้ติดเชื้อCOVID-19 ในระลอกสามเกินกว่า 3,000 รายต่อวัน ติดต่อกันเป็นเวลาเกิน 3 เดือน คาดว่าอุปทานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์น่าจะไม่สามารถรองรับความต้องการในการรักษา ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขทั้งระบบ และ อาจทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการเจ็บป่วยสูงขึ้น แม้นผลกระทบของการแพร่ระบาดในไทยหรือทั่วโลกจะไม่ได้ทำลายระบบการผลิตและอุปทาน แต่ระบบการผลิตและการเดินทางขนส่ง การท่องเที่ยวเกิดการชะงักงันจากการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นหลัก ทำให้เกิดการสินค้าบางชนิดจากการหยุดทำงาน หยุดการผลิต เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด กรณีการขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์ส่งผลต่ออุตสาหกรรมต่าง ๆมากมายรวมทั้งการผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ เป็นต้น ความต้องการแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์รวมทั้งอุปสงค์ต่อบริการทางการแพทย์ได้พุ่งขึ้นอย่างกว้างกระโดดในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้านี้ และ เราไม่สามารถผลิตแพทย์หรือผลิตการให้บริการได้ทัน การใช้การแพทย์ดิจิทัล การแพทย์ทางไกล การใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์ผ่านระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์และระบบสมองกลอัจฉริยะ รวมทั้งการใช้การตรวจเชื้อแบบตู้อัตโนมัติ Self-service จะช่วยบรรเทาภาวะวิกฤติได้ ตอนนี้ได้เริ่มมีสัญญาณของการเริ่มมีการขาดแคลนบริการทางการแพทย์และสาธารสุขบ้างแล้ว เช่น เริ่มมีโรงพยาบาลไม่รับผู้ป่วยและแนะนำให้ไปสังเกตอาการที่บ้าน แพทย์ไม่รับคนไข้เพิ่ม การรอรับการบริการทางสุขภาพและรักษาพยาบาลนานขึ้นกว่าเดิมมาก คุณภาพของบริการด้อยลง เวลาในการตรวจและให้บริการสั้นลง กำหนดเวลาที่ผู้บริการอาจไม่สะดวกเพราะบุคลากรทางการแพทย์งานล้นมือ ภาวการณ์ขาดแคลนแพทย์และบริการสาธารณสุขนี้จะยิ่งเห็นชัดตามโรงพยาบาลจังหวัดตามแนวชายแดนตะวันตกของประเทศ ประเทศไทยต้องป้องกันการเกิดกลายพันธุ์ในประเทศไทยด้วยการฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 500,000 คน และ ฉีดให้ครบ 70% เป็นอย่างน้อยก่อนเปิดประเทศ โดยควรตั้งเป้าทำให้ได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ตั้งเป้า 500,000 คนต่อวัน โดยสามารถใช้พื้นที่อื่นๆที่ไม่ใช่โรงพยาบาลในการจัดฉีด และ สามารถให้อาสาสมัครทางด้านสาธารณสุขที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเร่งรัดฉีดได้