ดอยขุนตาลในวันที่มีสายฝน เมฆหมอก 2021

สวัสดีค่ะ ในสถานการณ์โควิดแบบนี้ เราไม่สามารถเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศได้ หลายๆคนคงรู้สึกอัดอั้น และอยากเที่ยวเต็มที วันนี้ จขกท มีที่เที่ยวมาแนะนำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความสงบและธรรมชาติ เดินทางเข้าป่าไปตามหาอากาศดีๆที่ไม่มีในเมืองกรุง....

จุดเริ่มต้นของการเดินทางในครั้งนี้ คือ การที่ เราตั้งคำถามกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า ว่าจริงๆแล้วเราควรจะอุดอู้อยู่แต่ในห้องหรือออกไปหาที่ใหม่ๆ ก็คือความเบื่อนั้นเอง  ^^'' โดยเป้าหมายในครั้งนี้คือ ดอยขุนตาน ดอยที่อยู่ระหว่างรอยต่อเขตของ จังหวัดลำพูนและ ลำปาง อยู่ในอุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ซึ่งในอุทยานนี้จะมีการแบ่งพื้นที่ชัดเจน 
จุดแรกเมื่อขึ้นไปถึงจะเป็นลานกางเต้นท์ จุดชมดาว
เดินขึ้นไปอีก ประมาณ 1.5 กิโลเมตร เจ้าหน้าที่เรียกว่า ย.1 เป็นที่ตั้งบ้านพักรับรอง
เดินต่ออีกประมาณ 800 เมตร จะเป็น สวนสน ย. 2  จะเป็นจุดกางเต้นท์ ซึ่ง จขกท ตั้งใจมากางเต้นท์ที่จุดนี้ เพราะต่อจากนี้ ย.3 กับ ย.4 ไม่สามารถกางเต้นท์ได้  ส่วนจุดดูพระอาทิตย์ขึ้นนั้นต้องเดินจาก ย.2 ไป ย. 4 ประมาณ 4 กิโลเมตร 

จขกท มีเป้าหมายในครั้งนี้คือ การเดินทาง ตั้งแคมป์และตื่นเช้าเพื่อไปดูพระอาทิตย์ที่ สวนสน ย.4 พร้อมกับกาแฟร้อนๆสักแก้ว  แต่แล้วเมื่ออกเดินทาง แผนทุกอย่างก็พัง (แต่แลกมากับบรรยากาศที่เราไม่คิดว่าจะได้เจอ) 

เริ่มต้นเลย การเดินทางครั้งนี้มีเพื่อนร่วมเดินทางทั้ง 2 คน คือ จขกท กับเพื่อนผู้หญิงอีกคน กลายเป็น ทริปของสาวโสดไปโดยปริยาย 5555

เราเลือกวิธีเดินทางไปที่ขุนตานโดน การเดินทางด้วย รถไฟ จาก สถานีกรุงเทพ ไปลงที่ สถานีรถไฟขุนตาน (เป็นสถานีที่มีอุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวถึง 1,362.15 เมตร ) 
เนื่องจากสถานการณ์โควิดทำให้รอบรถไฟมีไม่มากนัก โดยวันที่ จขกท เดินทางมีแค่ 2 รอบเท่านั้น โดยสามารถเช็ครอบและจองได้ที่ https://www.dticket.railway.co.th/DTicketPublicWeb/home/Home   
จขกท เลือกรอบ 19:35 ซึ่งจะไปถึง สถานีดอยขุนตาน ตอน 7:40 

Let Go!!!!!


เริ่มต้นออกเดินทาง วันที่ 4 เมษายน 2021 หลายๆคนคงงง ว่าทำไมถึงไปดอยช่วงหน้าร้อน มันจะดีเหรอ? ไม่อยากจะบอกว่า จขกท ก็คิด 55555 แต่เมื่อเรื่มแผนแล้วก็อยากไปให้เร็วๆ และหลังจากวันที่ 20 เมษายน - 20 มิถุนายน ทางอุทยานจะปิดเพื่อให้ธรรมชาติได้ฟื้นฟู 

เรามาถึงสถานีรถไฟก่อนเวลาออกประมาณ 1 ชม. และแน่นอนว่า มันจะออกเลทไปอีกประมาณ ครึ่งชม. รพหว่งานั้น จขกท ก็ได้เตรียมการหาซื้อเสบียงเพื่อที่จะได้ไปอดตายก่อนถึงดอยขุนตาน 
สิ่งที่แนะนำให้เตรียมคือ
1.อาหาร เพราะถ้าคุณเลือกที่จะไปตั้งเต้นท์ที่จุด สวนสน ย.2 นั้นหมายความว่า คุณจะไม่ได้มีโอกาส สั่งอาหารร้านหรู หรือจิปกาแฟสด แต่คุณจะต้องทำเองทั้งหมด เพราะบนนั้นไม่มีอะไรเลย แม่แต่ไฟฟ้า!! (แต่มีห้องน้ำนะจ๊ะ)
2.เต้นท์ ในส่วนนี้ที่อุทยานมีให้เช่า สามารถติดต่อสอบถามราคาได้ ก่อนขึ้น ย. ที่จุดให้ข้อมูล มีให้เช่าทั้งเต้นท์ ถุงนอน เสื่อ เตาแก๊ส (แต่เราจะเตรียมไปเองก็ได้ โดย จขกท เตรียมไปเอง) 
3. ไฟฉาย 
4. เสื้อคลุมกันหนาว 
5. ถุงนอน
6. เตาปิคนิค 
7.ทิชชู่แห้งและเปียก

แค่นี้มั้ง นึกไม่ออก ทริปเดินป่าด้วยตัวเองครั้งแรกเหมือนกัน 55555

เอาล่ะ เริ่มใหม่ ไปปป ออกเดินทาง!!!! 

เป็นการเดินทางด้วยรถไฟที่ยาวนานครั้งแรกในชีวิต แอบตื่นเต้น แต่หลังจากได้ลองแล้ว ก็อยากให้ทุกคนไปลองมั้งจริงๆนะ 55555 อยากให้รับรู้ด้วยตัวเอง 

เอาหนังสือมาด้วย เผื่อใครเข้าใจผิด ไม่ได้พกมาอ่านฆ่าเวลานะ เอามาเป็นพร๊อบ ถ่ายรูป 55555

รถไฟออกจากรุงเทพเวลาประมาณ 2 ทุ่มนิดๆ หลังจาก นั่งๆ นอนๆ มา 13 ชม. ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีปลายทาง ดอยขุนตาน 

หลังจากที่มาถึงสิ่งแรกที่ทำเลย คือ ล้างหน้าแปรงฟัน แถวนั้นจะมีแม่ค้าขายพวกอาหารที่สามารถพกขึ้นไปกินระหว่างเดินทางได้ เราสามารถเลือกซื้อได้ หลังจาก ล้างหน้าและตุนเสบียงแล้ว เราก็พร้อมจะออกเดินทางแล้ว 

โดยเราสามารถเดินจากสถานีดอยขุนตานเพื่อขึ้นไปที่ อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาน ได้เลย แค่ 1.3 กิโลเมตรเท่านั้น 
ระหว่างเดินขึ้นอุทยานเราไม่ได้ถ่ายรูปเลย แต่บรรยากาศค่อนข้างดี ไม่ร้อน แต่เหมือนจะมีฝน ซึ่งหลังจากที่มาถึง ทางเข้า อุทยาน เราก็ได้ทราบจากเจ้าหน้าที่ว่า ช่วงนี้มีพายุ ฝน ฟ้า คะนอง ฝนตกทั้งคืน ตั้งแต่เมื่อวาน !!! 
ตัดภาพมาที่พวกดิฉันก็คือ เอาแล้ว งานจะเข้าไหม ฟลายชีปไม่มี กาวชีปไม่มี มีเพียงเต้นท์โง่ๆกันได้แค่น้ำค้าง จะรอดไหมน้อ แต่ก็เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน ขนาดนี้แล้ว  สู้!!

หลังจากรับข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะให้ถุงสำหรับเก็บขยะลงมาด้วย เป็นการไม่รบกวนธรรมชาติ อย่าลืม นำลงมาด้วยนะค่ะ แค่เพียงเปลือกลูกอมก็ต้องเก็บลงมานะ!!

จากนั้น เราก็เริ่มต้นเดินจาก จุดให้ข้อมูล เพื่อ ขึ้นไป กางเต้นท์ที่ ย.2 ระยะทางโดยประมาณ 3 กิโลเมตร นิดๆเท่านั้น 

ด้วยความที่ไม่ได้วอร์มร่างกายมาก่อน 3 กิโลเมตรนั้น ช่างยาวไกล ^^" จขกท ไม่มีแม้แรงที่จะหยิบกล้องมาถ่ายรูป ต้องขออภัย มีแค่แวะบางจุดเท่านั้น (แต่ขากลับเพลิดเพลินแน่นอน^_^)

หลังจากเดินมาสักพัก ก็ถึงจุด ย.1  เดินต่อไปเรื่อยๆ เราก็มาถึงแล้วจุด ย.2 โดย ที่นี่ จะมีที่บ้านหม่อมอยู่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้เแจ้งว่า หากคืนนี้มีฝนตก เราสามารถเข้ามาหลบฝนที่นี่ได้ โดย ณ วันนั้น มีแค่ จขกท กับเพื่อน และ อีก 1 คู่ ซึ่ง พวกเค้าเลือกที่จะกางเต้นท์ด้านหลังที่ลานหม่อม แต่เราผู้ไปเจียมบอดี้ ขนาดนี้แล้วไปกลัวค่ะ ขึ้นไปปป  นอกจากนี้ยังมีอีก 1 คู่ที่เค้ามาค้างตั้งแต่เมื่อวานและจะอยู่ต่ออีก 1 คืน รวมวันนั้นมีผู้ร่วมชะตากรรมทั้งหมด 6 คน

กางเต้นท์เสร็จแล้วเรียบร้อย และใช่ค่ะ นี่คือเต้นท์โง่ๆที่พวกเรามั่นใจนัก ว่ามันจะคุ้มกันเราได้ 55555 
เราเดินทางขึ้นมาถึงประมาณ 12:15 นาที หลังจากกินข้าวไปอีกนิดหน่ิยเราก็นอนพักเอาแรง เนื่องจากตอนอยู่บนรถไฟแทบไม่ได้นอนเลย 


เอาอีกสักรูป อุตส่าห์แบกมา 55555 

หลังจากนั้นเราก็ตื่นมาช่วงประมาณ 16:50  เพราะอยู่บนเขาหรือป่าว แต่ท้องฟ้าอึมครึมมาก เราได้แต่ ภาวนาว่าวันนี้ฝนจะไม่ตก หลังจากตื่นนอน เราก็เริ่ม ทำกับข้าว นั้นก็คือ มาม่า จ้าาาาา ไม่มีมากกว่านั้น 55555 
อมยิ้ม07
 มุมกล้องทำให้อ้วนนะคะ ไม่ได้ร้อนตัว บอกไว้เฉยๆ 55555 

หลังจากกินอิ่ม คว่มมืดก็เริ่มมาเยือน พร้อมกันฟ้าที่เริ่มมีเม็ดฝนเล็กๆโปรยลงมา เราตัดสินใจ ล้างหน้า แปรงฟัน และแน่นอนเราไม่ได้อาบน้ำ 55555 แต่ แต่ว่าเรามีทิชชู่เปียกน้าา เราเช็ดตัวแล้วว ไม่นานนัก หลังจากเราเข้าเต้นท์ ช่วงประมาณ 4 ทุ่ม ฝนเริ่มเทลงมา และไม่มีทีท่าว่าจะหยุดด้วย และเรายังเหลืออีกหลายชม.กว่าจะเช้า เมื่อเป็นอย่างนั้น เราจึงถามเพื่อนว่า เอาไง ลงไปหลบฝนข้างล่างไหม ปรากฎว่า เพื่อนหลับค่ะ หลับแบบ ช่างมัน เปียกก็เปียก นอนได้ เย็นดี 55555 เอ๊า เอา ก็เอา ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศ หลังจากนอนอยู่อย่างนั้น จนน้ำซึมเข้ามา เปียกตั้งแต่ ถุงนอนไปจนถึงกางเกงใน แต่เราก็ไม่ลุกค่ะ หลับ 55555 รู้ตัวอีกทีก็ตี 4 แล้ว แต่ฝนก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย แผนในการขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นเป็นอันว่าต้องล้มเลิกไป เสียใจมาก รอจนกระทั่ง 8:30 ฝนยังตกอยู่แต่เม็ดเล็กลง เราเองก็อยากเข้าห้องน้ำ ในที่สุดจึงตัดสินใจ เปิดเต้นท์ออกมา และนี่คือ สิ่งที่เราไม่คาดว่าจะได้เห็นเลยจริงๆ ในการตั้งแคมป์ช่วงหน้าร้อน 

เรารู้สึกได้ถึงกลิ่นฝน กลิ่นดิน และรู้สึกดีสุดๆ ไม่คิดเลยว่าเราจะได้มาสัมผัสบรรยากาศแบบนี้ หลายๆคนอาจจะมองว่าก็ธรรมดา แต่สำหรับ จขกท มันคือช่วงเวลาที่ดีมาก ลองนึกภาพว่าคุณสูบดมมลพิษ ได้ยินแต่เสียงแตร และผู้คนโหวกเหวก รีบตื่นเช้ามาเจอคนเบียดเสียบกันบนรถไฟฟ้า โดยเจ้านายที่ก็รับเงินเดือนเหมือนกัน (แต่มากกว่า) มาคอยด่าทุกวัน แล้ววันนึง คุณตื่นขึ้นมาท่ามกลางบรรยากาศที่สงบ มีแต่เสียงฝนกับแมลง มองไปทางไหนก็มีแต่หมอกแบบนี้ มันคือการได้ปลดปล่อยจริงๆ 

นอกเรื่องล่ะ 55555 หลังจากที่เราตื่นมาพร้อมบรรยากาศดีๆแบบนี้ เราก็เริ่มกิจกรรมต่อไป จากการจิบกาแฟดูพระอาทิตย์ เปลี่ยนมาเป็น จิบกาแฟท่ามกลางสายฝนและเมฆหมอก
แม้จะยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม และยังอยากอยู่ต่ออีก แต่เพราะเราจำเป็นต้องลงไปที่สถานีรถไฟ เพื่อไปให้ทัน รถไฟท้องถิ่นที่จะไปเชียงใหม่รอบ 13:30 เราจึงต้องเก็บสัมภาระในขณะที่ฝนยังโปรยอยู่ 

ตลอดทางลงนั้น บรรยากาศดีมากๆ

หลังจากลงมาถึงสถานี เราก็รอรถไฟท้องถิ่นเพื่อเดินทางไปเชียงใหม่ ทักทายเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอนาน 
หลังจากนั้น ก็ เดินทางกลับ กรุงเทพ ด้วย  เครื่องบิน 

สรุปค่าใช้จ่าย 
ค่าตั๋วรถไฟ 301 บาท/คน 
ค่าเข้าอุทยาน 50 บาท/คน
ค่าอาหารเครื่องดื่มตลอดการเดินทาง ตกอยู่ที่ 300 บาท/คน
ค่ารถไฟท่องถิ่น 15 บาท/คน
ค่าตั๋วเครื่องบิน 495 บาท/คน 
รวมทั้งหมด 1,161 บาท 

อ๊ะ เดี๋ยวก่อน ค่าตั๋วรถไฟกับค่าเครื่องบินราคาใกล้เคียงกันทำไมไม่นั่งเครื่องล่ะ สบายกว่าอีก ? 
อย่างที่บอกค่ะ ว่าเราต้องการประสบการณ์ มีหลายคนบอกแล้วไม่ฟัง ต้องลองเองค่ะ 

การเดินทางแต่ล่ะครั้ง อย่ารอโอกาส อย่ารอความพร้อม อย่ารอเพื่อนฝูง บางครั้งการจะออกเดินทาง ไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากมายเลย ไม่จำเป็นต้องมีเหตุผลให้ออกเดินทาง เพียงแค่ความคิดเล็กๆว่า เราอยากจะไป เราอยากจะทำเท่านั้น ลงมือเลย หลังจากนั้น ไม่ว่ามันจะเป็นอย่างที่หวังหรือไม่ ธรรมชาติจะเป็นคนบอกคุณเอง  แม้จะไม่ได้เจอสิ่งที่คิด หรือผิดหวังเพราะไม่เป็นอย่างที่คาด แต่การเดินทาง ใครเค้ามองกันแค่ที่จุดหมายล่ะ? เค้ามองที่ระหว่างทางต่างหาก บางคนอาจได้เจอมิตรภาพ ระหว่างการเดินทาง  ประสบการณ์ใหม่  และอีกตั้งหลายอย่าง

ฉะนั้น อย่ารอ หรือ หาข้ออ้างให้ตัวเอง ออกเดินทางเถอะค่ะ เรียนรู้จากการก้าวเดินของตัวเองดีที่สุด 

สุดท้ายนี้ ผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี่ ด้วยนะค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่