สวัสดีทุกคนในกระทู้ค่ะ
ใครที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ก็คงจะผ่านที่สถานีขุนตานอยู่บ่อยๆ
สถานีนี้เป็นสถานีเล็กๆที่น่ารัก มีบ้านเรียงขึ้นไปบนเนินเขา เหมือนหมู่บ้านเล็กๆที่สงบสุข
ที่นี่มียังใกล้กับที่ตั้งของอุทยานดอยขุนตาลด้วยนะคะ วันนี้จะพาเพื่อนๆไปขึ้นดอยแบบชิวๆกันค่ะ
ทริปนี้ไปรถไฟฟรี ของวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ถึงวันจันทร์เช้าค่ะ
รายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายจะอยู่ด้านล่างนะคะ
เริ่มกันเลย
จับรถไฟฟรี รอบ 13.45 น. ขบวนรถไฟที่ 109 ณ ชานชาลาที่ 10 มาถึงก็บ่ายๆ ก่อนเวลาประมาณ 1 ชม.ไม่คิดว่าวันหยุดยาวคนจะเยอะขนาดนี้ นี่ขนาดเช็คเมื่อวานก่อนขึ้นแล้วว่าเหลือที่นั่ง 288 ที่นั่ง มาถึงปุ๊บ อ้าวเต็มม เต็มแบบจริงจังอ่ะ เต็มจนล้นรถไฟออกมา ลังเลกันอยู่หน้ารถเอาไงดี สรุปเอาว่ะไหนๆก็มาถึงนี่ล่ะ ลุยเลยล่ะกัน
ยืนไปค่ะ หามุมหลบกันได้หามุมหลบกันเองนะ นอกจากที่ยืนไม่ค่อยมีแล้ว เราต้องใช้สกิลบนรถไฟฟ้า เอียงซ้ายเอียงขวาหลบทาง ให้แม่ค้าได้เดินกันด้วย เพิ่งเคยได้นั่งรถไฟรอบกลางวัน ของขายเยอะมาก เยอะมากๆ ถึงขั้นจะเกินงบตั้งแต่ซื้อของกินบนรถไฟกันเลย
เมื่อรถมาถึงชานชาลาที่อยุธยา เกาะขอบหน้าต่างให้ดีๆ เพราะคุณอาจจะพลาดของอร่อยของสถานีนี้ นั่นก็คือไอติมกะทิสีชมพูถ้วยน้อย 5 บาท กะทิหอมมันมากๆค่า
วิวข้างทางจากรถไฟสายเหนือช่วงตอนบ่ายแก่ๆ ยังคงมองเห็นสีเขียวชอุ่มให้มองเพลินตา
เราว่าสกิลคนขายของที่นี่จ๊าบมาก เข้าใจถึงคำว่าทำมาหากินเลย คิดจะขายน้ำก็ใส่ถังหาบหิ้ว คิดจะขายมาม่าก็แบกกระติกน้ำร้อนมากดให้ถึงที่พร้อมบริการแกะห่อเติมน้ำให้ จะขายข้าวก็มีวิธีการแพ็คด้วยเรปใสด้านบน ทำให้เห็นหน้าตาอาหารที่ดูหน้ากินจนเราอดซื้อไม่ได้ ขายไปมาจากหัวขบวนไปถึงท้ายขบวน ไปๆกลับๆ จากสถานีบ้านเกิดตัวเอง เราแอบเห็นฝรั่งสองคนจ้องการขายมาม่าพร้อมบริการอันสุดจะแมนนวลมากๆของพี่ไทย ดูแกจะประทับใจและจะแอบถ่ายรูปไปด้วย แต่ไม่ทัน
กว่าจะมาถึงสถานีปลายทางขุนตานได้ ก็ประมาณ ตีสามกว่าๆ รถไฟเลทไปเกือนชม.นึง นี่เดาว่าน่าจะเพราะคนเยอะมากๆเลยทำให้รถไฟช้า แต่พอมาถึงที่ ความกระตือรือร้นสู่การผจญภัยครั้วใหม่เลยทำให้หายง่วงไปในทันที รีบลุกออกจากรถไฟไปล้างหน้าล้างตาที่สถานี ถ้ามีคนลงด้วยนี่แสดงว่าไปทางเดียวกันแน่ๆ พอไปถามก็ใช่จริงๆ จึงได้เพื่อนร่วมทางมืดๆกันไป พอไปถึงอุทยานเราก็เสียค่าผ่านทางผู้ใหญ่คนละ 20 บาทนักศึกษาคนละ 10 บาท ราคาดีไปอีกก ฝากกระเป๋ากะพี่หน้าประตูแล้วเราก็ไปต่อกัน
การเดินที่นี่ก็นับว่าไกลทีเดียว แต่ทางค่อนข้างจะสะดวก ทางพื้นราบเลยเดินได้ง่ายๆสบายๆเรื่อยๆ
ทางเดินจากสถานีรถไฟถึงอุทยานประมาณ 1.3 โล
ทางเดินจากอุทยานถึงตีนเขาประมาณ 2.5 โล
ทางเดินจากตีนเขาถึงยอดเขาประมาณ 7 โล
จากตีนเขาถึงยอดเขา เราจะแบ่งเป็นย.1 - ย.4
ย.1 จะเป็นทางบันไดขึ้นไปถึงบ้านพัก 1.5 โล
ย.2 จะเป็นทางขึ้นกึ่งบันได ดึ่งทางเรียบ 2.5 โล
ย.3 ส่วนตัวชอบทางนี้มาก เพราะเป็นทางขึ้นเนินเขาเตี้ยๆเรียบๆเดินได้เรื่อยๆ ข้างขวาเลียบเขา ข้างซ้ายเป็นผาที่ลึก ชอบมาก เดินเรื่อยๆอีก 3 โล
ย.4 เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ไว้ส่องทางไกล เป็นจุดที่สูงที่สุดของเขา 1 โล เป็นโลสุดท้ายที่เหนื่อยมากเพราะทางชันแต่ไม่ชันมากถึงขนาดจะถอดใจได้
วันนั้นโชคดีที่มี "ไอ้ขาว" หมาน้อยที่คอยนำทางเรามาตั้งแต่อุทยาน มันรู้เรื่องมากนำทางเราไปจนยอดเขา จนกระทั่งส่งเรากลับบ้านที่สถานีรถไฟกันเลย ขอบคุณมากน้า
ใบไม้สีแดงที่เก็บได้ระหว่างทาง รู้มั้ยในไทยเราใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีช่วงเดือนธันวา คงเยอะกว่านี้เมื่อเดือนมกรา จนไปถึงกุมภา ก่อนที่หน้าร้อนจะเวียนกลับมาอีกครั้ง
แม่บอกว่ามันคือดอกบวบ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เห็นบานอยู่ดอกเดียว สวยดีนะ ชอบบ
ที่นี่พอตะวันเริ่มขึ้นเสียงนกเยอะมากๆขอบอก เสียงนั่นนู้นนี่สลับกัน ไม่ซ้ำแต่ละเสียงเลย นกที่นี่คงมีหลากหลายมาก แต่เรามองไม่เห็นนะ แหะๆ
แวะพักที่จุดพักระหว่างจุดย.3 และย.4 กันก่อน แค่ที่นี่ก็เริ่มเห็นวิวกันเมืองกันแล้ว วู้ววว ตื่นเต้นๆ ถึงจะขึ้นมาไม่ทันพระอาทิตย์แล้วก็เถอะ
ถึงแล้วจุดสูงสุดของเขา จุดยุทธศาสตร์ย.4 วิวที่เห็นแบ่งชัดเจนว่านี่เป็นสองจังหวัด ฝั่งนี้คือวิวลำพูน วิวเมืองจะอยู่ฝั่ง แต่กล้องถ่ายมาไม่เห็นค่ะ วิวมันไกลมาก จริงๆจุดนี่สวยมากภูเขาซ้อนสลับกันไปกว้างกว่านี้มาก คือถ้ามาเห็นด้วยตาคงจะหายเหนื่อยกันไป
ส่วนนี่คือวิวลำปางค่ะ ถึงที่นี่จะมีพื้นที่ชมวิวบนดอยไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอค่ะ
ดอกไม้ที่บานอยู่ต้นนึงบนยอดดอย ขอแชะภาพสักหน่อย
เพิ่งเคยเห็นต้นกล้วยป่า ต้นใหญ่มว้ากกกก ประหนึ่งต้นไม้ใหญ่แถวนั้นเลย ลำต้นนี่ลึกลงไปในเหว ส่วนยอดยังสูงขึ้นมาคร่อมหัวบังแดดให้เราได้อีก น้องบอกว่ากล้วยป่าไม่ออกผลล่ะ
เเละเราก็ลงเขากันมาแล้ว นี่เป็นวิวแถวๆห้องพักของอุทยาน ห้องพักที่นี่น่ารักน่านอนมากๆ ดูสะอาด และมีมุมวิวสวยๆให้เห็นได้หลายจุด เพราะดอยขุนตาลล้อมรอบไปด้วยภูเขาเล็กใหญ่ แม้แต่ที่กางเต้นท์ตรงจุดหน้าอุทยานก็ยังมีวิวภูเขาใหญ่ให้พักชมกันชิวๆไป
เพราะที่นี่คาบเกี่ยวระหว่างสองจังหวัดลำพูนและลำปาง จึงเป็นที่มาของถนนเส้นนี้
และหลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ พวกเราก็ตัดสินใจกลับกันเลยไม่ได้ค้างคืนที่นี่ แต่ถ้าใครจะค้างคืนก็ราคาไม่แพง
ราคาเต้นท์นอน 2-3 คน หลังละ 150 บาท ค่าชุดหมอนผ้าปูผ้าห่มรวมชุดละ 60 บาทต่อคน ราคาไม่แพงเลยและพื้นที่การตั้งเต้นท์ก็อยู่ใกล้กับเจ้าหน้าที่อุทยานปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าใครชอบแบบนอนเป็นหลังที่นี่ก็มีให้พักนะคะ มองจากข้างนอกบ้านสวยเลยทีเดียว โทรสอบถามโดยตรงกับเจ้าหน้าที่อุทยานดอยขุนตาลได้ที่เบอร์ 081-032 -6341
พอลองมาถึงสถานีข้างล่างเราก็ถ่ายรูปยามเย็นเล่นกันสักหน่อย ที่อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย อุโมงค์ขุนตานความยาว 1.5 โลเลย แต่เราลงมาช้า เลยมีเวลาถ่ายรูปไม่นานมาก เพราะรถไฟชั้นสามจะมีเที่ยว 16.45 น.ค่ะ ขบวนที่ 52 ราคาตั๋ว 261 บาท มาซื้อได้ที่สถานีได้เลย รอบเย็นกว่านี้ก็มีนะ ประมาณ หกโมงเย็นถึงทุ่มนึง แต่รถไฟรอบเย็นไปมากกว่านี้จะมีแบบด่วนพิเศษมีชั้นสองแล้วก็ตั๋วนอนค่ะ
ทางเดินขึ้นอุทยานขุนตาลจากสถานีรถไฟขุนตาน
ขออธิบายทางขึ้นอุทยานขุนตาลจากสถานีรถไฟขุนตานนิดนึง คือ ตอนที่เรามารถไฟฟรีมันถึงปลายทางเที่ยวดึก เวลาเดินขึ้นเขาเลยไม่เห็นทางแถมน่ากลัวนิดๆ พอสว่างแล้วค่อยจับทางได้ง่ายหน่อย เราเดินขึ้นมาจากทางต้อนรับทางเข้าอุทยาน เมื่อขึ้นมานิดนึงจะมีประตูวัดทางซ้ายมือ ขวามือจะเป็นป้ายบอกทางให้ไปอุทยานประมาณ 1.3 โล เดินขึ้นไปเลยค่ะ พอเดินขึ้นไปจะเจอทางแยกเล็กๆ แยกไปขวาจะเป็นศาลที่อุโมงค์ค่ะ ให้เดินไปทางซ้ายเรื่อยๆ
พอเดินมาทางซ้ายถูกจะเจออีกป้ายที่ว่าท่านกำลังเดินเข้าสู่อุทยาน ให้เดินต่อไปทางขวาเรื่อยๆเล้ย เพราะเหนือป้ายมันจะมีทางแยกขึ้นไปทางซ้ายคิดว่าน่าจะไปวัด
พอเดินไปถูกทางจะเป็นทางมีไม้กั้น ถนนเห็นชัดก็จริงแต่ไม้กั้นก็ดูเก่า เดินตอนกลางคืนน่ากลัวมากๆ เดินระวังด้วยนะคะ เพราะตรงข้ามฝั่งที่กั้นเป็นเหวลึกพอสมควรล่า
ถ้าเดินมาถูกทางจะมีป้ายบอกเรื่อยๆ และจุดพักพวกมานั่งให้นั่งพักได้ มีทั้งทางเดินขึ้นบันไดและเดินเท้า จนทะลุป่าไปถนนใหญ่ที่รถวิ่งเป็นถนนลาดยาง พอถึงถนนก็ง่ายแล้วค่ะ จะมีป้ายบอกทางให้ขึ้นไปอุทยานชัดเจนเลย เย้
สรุปงบที่ใช้จริงๆที่ใช้กับทริปนี้อีกครั้ง
ค่าเข้าอุทยาน 20 บาท
ค่ารถไฟกลับชั้นสาม 261 บาท
ค่ากินแหลก 200 บาท
เป็นอะไรที่เหมาะมากๆ สำหรับคนขี้เบื่ออยากหนีไปภูเขาสักที่ เพราะสะดวก และใช้เงินไม่มาก มีเวลานั่งรถนานๆให้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยล่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงหน้านี้น้า <3
ขอขอบคุณทุกกระทู้ที่เคยรีวิวไว้มาก่อนด้วยค่ะ เพราะท่านเราจึงรู้และได้ตามมา
อันนี้เพิ่มเติมการเดินขึ้นจากทางรถไฟไปอุทยานด้วยการเดินเท้าเพิ่มอีกนิดค่ะ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามมาได้ที่หลังไมค์นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้หรือทางIG https://www.instagram.com/pompamgo/ ค่ะ
[CR] รีวิวขึ้นดอยขุนตาล แบบงบน้อยๆ 500 บาทก็หนีไปผจญภัยได้
ใครที่นั่งรถไฟไปเชียงใหม่ก็คงจะผ่านที่สถานีขุนตานอยู่บ่อยๆ
สถานีนี้เป็นสถานีเล็กๆที่น่ารัก มีบ้านเรียงขึ้นไปบนเนินเขา เหมือนหมู่บ้านเล็กๆที่สงบสุข
ที่นี่มียังใกล้กับที่ตั้งของอุทยานดอยขุนตาลด้วยนะคะ วันนี้จะพาเพื่อนๆไปขึ้นดอยแบบชิวๆกันค่ะ
ทริปนี้ไปรถไฟฟรี ของวันเสาร์ กลับวันอาทิตย์ถึงวันจันทร์เช้าค่ะ
รายละเอียดสำหรับค่าใช้จ่ายจะอยู่ด้านล่างนะคะ
เริ่มกันเลย
จับรถไฟฟรี รอบ 13.45 น. ขบวนรถไฟที่ 109 ณ ชานชาลาที่ 10 มาถึงก็บ่ายๆ ก่อนเวลาประมาณ 1 ชม.ไม่คิดว่าวันหยุดยาวคนจะเยอะขนาดนี้ นี่ขนาดเช็คเมื่อวานก่อนขึ้นแล้วว่าเหลือที่นั่ง 288 ที่นั่ง มาถึงปุ๊บ อ้าวเต็มม เต็มแบบจริงจังอ่ะ เต็มจนล้นรถไฟออกมา ลังเลกันอยู่หน้ารถเอาไงดี สรุปเอาว่ะไหนๆก็มาถึงนี่ล่ะ ลุยเลยล่ะกัน
ยืนไปค่ะ หามุมหลบกันได้หามุมหลบกันเองนะ นอกจากที่ยืนไม่ค่อยมีแล้ว เราต้องใช้สกิลบนรถไฟฟ้า เอียงซ้ายเอียงขวาหลบทาง ให้แม่ค้าได้เดินกันด้วย เพิ่งเคยได้นั่งรถไฟรอบกลางวัน ของขายเยอะมาก เยอะมากๆ ถึงขั้นจะเกินงบตั้งแต่ซื้อของกินบนรถไฟกันเลย
เมื่อรถมาถึงชานชาลาที่อยุธยา เกาะขอบหน้าต่างให้ดีๆ เพราะคุณอาจจะพลาดของอร่อยของสถานีนี้ นั่นก็คือไอติมกะทิสีชมพูถ้วยน้อย 5 บาท กะทิหอมมันมากๆค่า
วิวข้างทางจากรถไฟสายเหนือช่วงตอนบ่ายแก่ๆ ยังคงมองเห็นสีเขียวชอุ่มให้มองเพลินตา
เราว่าสกิลคนขายของที่นี่จ๊าบมาก เข้าใจถึงคำว่าทำมาหากินเลย คิดจะขายน้ำก็ใส่ถังหาบหิ้ว คิดจะขายมาม่าก็แบกกระติกน้ำร้อนมากดให้ถึงที่พร้อมบริการแกะห่อเติมน้ำให้ จะขายข้าวก็มีวิธีการแพ็คด้วยเรปใสด้านบน ทำให้เห็นหน้าตาอาหารที่ดูหน้ากินจนเราอดซื้อไม่ได้ ขายไปมาจากหัวขบวนไปถึงท้ายขบวน ไปๆกลับๆ จากสถานีบ้านเกิดตัวเอง เราแอบเห็นฝรั่งสองคนจ้องการขายมาม่าพร้อมบริการอันสุดจะแมนนวลมากๆของพี่ไทย ดูแกจะประทับใจและจะแอบถ่ายรูปไปด้วย แต่ไม่ทัน
กว่าจะมาถึงสถานีปลายทางขุนตานได้ ก็ประมาณ ตีสามกว่าๆ รถไฟเลทไปเกือนชม.นึง นี่เดาว่าน่าจะเพราะคนเยอะมากๆเลยทำให้รถไฟช้า แต่พอมาถึงที่ ความกระตือรือร้นสู่การผจญภัยครั้วใหม่เลยทำให้หายง่วงไปในทันที รีบลุกออกจากรถไฟไปล้างหน้าล้างตาที่สถานี ถ้ามีคนลงด้วยนี่แสดงว่าไปทางเดียวกันแน่ๆ พอไปถามก็ใช่จริงๆ จึงได้เพื่อนร่วมทางมืดๆกันไป พอไปถึงอุทยานเราก็เสียค่าผ่านทางผู้ใหญ่คนละ 20 บาทนักศึกษาคนละ 10 บาท ราคาดีไปอีกก ฝากกระเป๋ากะพี่หน้าประตูแล้วเราก็ไปต่อกัน
การเดินที่นี่ก็นับว่าไกลทีเดียว แต่ทางค่อนข้างจะสะดวก ทางพื้นราบเลยเดินได้ง่ายๆสบายๆเรื่อยๆ
ทางเดินจากสถานีรถไฟถึงอุทยานประมาณ 1.3 โล
ทางเดินจากอุทยานถึงตีนเขาประมาณ 2.5 โล
ทางเดินจากตีนเขาถึงยอดเขาประมาณ 7 โล
จากตีนเขาถึงยอดเขา เราจะแบ่งเป็นย.1 - ย.4
ย.1 จะเป็นทางบันไดขึ้นไปถึงบ้านพัก 1.5 โล
ย.2 จะเป็นทางขึ้นกึ่งบันได ดึ่งทางเรียบ 2.5 โล
ย.3 ส่วนตัวชอบทางนี้มาก เพราะเป็นทางขึ้นเนินเขาเตี้ยๆเรียบๆเดินได้เรื่อยๆ ข้างขวาเลียบเขา ข้างซ้ายเป็นผาที่ลึก ชอบมาก เดินเรื่อยๆอีก 3 โล
ย.4 เคยเป็นจุดยุทธศาสตร์ไว้ส่องทางไกล เป็นจุดที่สูงที่สุดของเขา 1 โล เป็นโลสุดท้ายที่เหนื่อยมากเพราะทางชันแต่ไม่ชันมากถึงขนาดจะถอดใจได้
วันนั้นโชคดีที่มี "ไอ้ขาว" หมาน้อยที่คอยนำทางเรามาตั้งแต่อุทยาน มันรู้เรื่องมากนำทางเราไปจนยอดเขา จนกระทั่งส่งเรากลับบ้านที่สถานีรถไฟกันเลย ขอบคุณมากน้า
ใบไม้สีแดงที่เก็บได้ระหว่างทาง รู้มั้ยในไทยเราใบไม้จะเริ่มเปลี่ยนสีช่วงเดือนธันวา คงเยอะกว่านี้เมื่อเดือนมกรา จนไปถึงกุมภา ก่อนที่หน้าร้อนจะเวียนกลับมาอีกครั้ง
แม่บอกว่ามันคือดอกบวบ แต่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร เห็นบานอยู่ดอกเดียว สวยดีนะ ชอบบ
ที่นี่พอตะวันเริ่มขึ้นเสียงนกเยอะมากๆขอบอก เสียงนั่นนู้นนี่สลับกัน ไม่ซ้ำแต่ละเสียงเลย นกที่นี่คงมีหลากหลายมาก แต่เรามองไม่เห็นนะ แหะๆ
แวะพักที่จุดพักระหว่างจุดย.3 และย.4 กันก่อน แค่ที่นี่ก็เริ่มเห็นวิวกันเมืองกันแล้ว วู้ววว ตื่นเต้นๆ ถึงจะขึ้นมาไม่ทันพระอาทิตย์แล้วก็เถอะ
ถึงแล้วจุดสูงสุดของเขา จุดยุทธศาสตร์ย.4 วิวที่เห็นแบ่งชัดเจนว่านี่เป็นสองจังหวัด ฝั่งนี้คือวิวลำพูน วิวเมืองจะอยู่ฝั่ง แต่กล้องถ่ายมาไม่เห็นค่ะ วิวมันไกลมาก จริงๆจุดนี่สวยมากภูเขาซ้อนสลับกันไปกว้างกว่านี้มาก คือถ้ามาเห็นด้วยตาคงจะหายเหนื่อยกันไป
ส่วนนี่คือวิวลำปางค่ะ ถึงที่นี่จะมีพื้นที่ชมวิวบนดอยไม่มากนัก แต่ก็ถือว่าเพียงพอค่ะ
ดอกไม้ที่บานอยู่ต้นนึงบนยอดดอย ขอแชะภาพสักหน่อย
เพิ่งเคยเห็นต้นกล้วยป่า ต้นใหญ่มว้ากกกก ประหนึ่งต้นไม้ใหญ่แถวนั้นเลย ลำต้นนี่ลึกลงไปในเหว ส่วนยอดยังสูงขึ้นมาคร่อมหัวบังแดดให้เราได้อีก น้องบอกว่ากล้วยป่าไม่ออกผลล่ะ
เเละเราก็ลงเขากันมาแล้ว นี่เป็นวิวแถวๆห้องพักของอุทยาน ห้องพักที่นี่น่ารักน่านอนมากๆ ดูสะอาด และมีมุมวิวสวยๆให้เห็นได้หลายจุด เพราะดอยขุนตาลล้อมรอบไปด้วยภูเขาเล็กใหญ่ แม้แต่ที่กางเต้นท์ตรงจุดหน้าอุทยานก็ยังมีวิวภูเขาใหญ่ให้พักชมกันชิวๆไป
เพราะที่นี่คาบเกี่ยวระหว่างสองจังหวัดลำพูนและลำปาง จึงเป็นที่มาของถนนเส้นนี้
และหลังจากอาบน้ำอาบท่ากันเสร็จ พวกเราก็ตัดสินใจกลับกันเลยไม่ได้ค้างคืนที่นี่ แต่ถ้าใครจะค้างคืนก็ราคาไม่แพง
ราคาเต้นท์นอน 2-3 คน หลังละ 150 บาท ค่าชุดหมอนผ้าปูผ้าห่มรวมชุดละ 60 บาทต่อคน ราคาไม่แพงเลยและพื้นที่การตั้งเต้นท์ก็อยู่ใกล้กับเจ้าหน้าที่อุทยานปลอดภัยแน่นอน แต่ถ้าใครชอบแบบนอนเป็นหลังที่นี่ก็มีให้พักนะคะ มองจากข้างนอกบ้านสวยเลยทีเดียว โทรสอบถามโดยตรงกับเจ้าหน้าที่อุทยานดอยขุนตาลได้ที่เบอร์ 081-032 -6341
พอลองมาถึงสถานีข้างล่างเราก็ถ่ายรูปยามเย็นเล่นกันสักหน่อย ที่อุโมงค์ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย อุโมงค์ขุนตานความยาว 1.5 โลเลย แต่เราลงมาช้า เลยมีเวลาถ่ายรูปไม่นานมาก เพราะรถไฟชั้นสามจะมีเที่ยว 16.45 น.ค่ะ ขบวนที่ 52 ราคาตั๋ว 261 บาท มาซื้อได้ที่สถานีได้เลย รอบเย็นกว่านี้ก็มีนะ ประมาณ หกโมงเย็นถึงทุ่มนึง แต่รถไฟรอบเย็นไปมากกว่านี้จะมีแบบด่วนพิเศษมีชั้นสองแล้วก็ตั๋วนอนค่ะ
ทางเดินขึ้นอุทยานขุนตาลจากสถานีรถไฟขุนตาน
ขออธิบายทางขึ้นอุทยานขุนตาลจากสถานีรถไฟขุนตานนิดนึง คือ ตอนที่เรามารถไฟฟรีมันถึงปลายทางเที่ยวดึก เวลาเดินขึ้นเขาเลยไม่เห็นทางแถมน่ากลัวนิดๆ พอสว่างแล้วค่อยจับทางได้ง่ายหน่อย เราเดินขึ้นมาจากทางต้อนรับทางเข้าอุทยาน เมื่อขึ้นมานิดนึงจะมีประตูวัดทางซ้ายมือ ขวามือจะเป็นป้ายบอกทางให้ไปอุทยานประมาณ 1.3 โล เดินขึ้นไปเลยค่ะ พอเดินขึ้นไปจะเจอทางแยกเล็กๆ แยกไปขวาจะเป็นศาลที่อุโมงค์ค่ะ ให้เดินไปทางซ้ายเรื่อยๆ
พอเดินมาทางซ้ายถูกจะเจออีกป้ายที่ว่าท่านกำลังเดินเข้าสู่อุทยาน ให้เดินต่อไปทางขวาเรื่อยๆเล้ย เพราะเหนือป้ายมันจะมีทางแยกขึ้นไปทางซ้ายคิดว่าน่าจะไปวัด
พอเดินไปถูกทางจะเป็นทางมีไม้กั้น ถนนเห็นชัดก็จริงแต่ไม้กั้นก็ดูเก่า เดินตอนกลางคืนน่ากลัวมากๆ เดินระวังด้วยนะคะ เพราะตรงข้ามฝั่งที่กั้นเป็นเหวลึกพอสมควรล่า
ถ้าเดินมาถูกทางจะมีป้ายบอกเรื่อยๆ และจุดพักพวกมานั่งให้นั่งพักได้ มีทั้งทางเดินขึ้นบันไดและเดินเท้า จนทะลุป่าไปถนนใหญ่ที่รถวิ่งเป็นถนนลาดยาง พอถึงถนนก็ง่ายแล้วค่ะ จะมีป้ายบอกทางให้ขึ้นไปอุทยานชัดเจนเลย เย้
สรุปงบที่ใช้จริงๆที่ใช้กับทริปนี้อีกครั้ง
ค่าเข้าอุทยาน 20 บาท
ค่ารถไฟกลับชั้นสาม 261 บาท
ค่ากินแหลก 200 บาท
เป็นอะไรที่เหมาะมากๆ สำหรับคนขี้เบื่ออยากหนีไปภูเขาสักที่ เพราะสะดวก และใช้เงินไม่มาก มีเวลานั่งรถนานๆให้คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยล่ะ
ขอบคุณทุกคนที่อ่านมาถึงหน้านี้น้า <3
ขอขอบคุณทุกกระทู้ที่เคยรีวิวไว้มาก่อนด้วยค่ะ เพราะท่านเราจึงรู้และได้ตามมา
อันนี้เพิ่มเติมการเดินขึ้นจากทางรถไฟไปอุทยานด้วยการเดินเท้าเพิ่มอีกนิดค่ะ
หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติมถามมาได้ที่หลังไมค์นะคะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น